เวทีสาธารณะเปิด (ร่าง) สรุปผลการศึกษา
“โครงการวิจัยการตรวจสอบคุณสมบัติ
และปัจจัยความพร้อมของชุมชนในการดำเนินการสถานีวิทยุชุมชนของประเทศไทย”
พร้อม 6 ข้อเสนอเบื้องต้นต่อ กสทช.
วันที่ 27 ก.ค.56 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ คณะการสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.)
ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
(กสทช.) จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นเวทีสาธารณะ “โครงการวิจัย
การตรวจสอบคุณสมบัติ
และปัจจัยความพร้อมของชุมชนในการดำเนินการสถานีวิทยุชุมชนของประเทศไทย”
โดยมีตัวแทนวิทยุชุมชนทั่วประเทศกว่า 200
คนเข้าร่วมรับฟังและให้ข้อเสนอแนะต่อ ร่างผลการวิจัยอย่างคึกคัก
งานวิจัยดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก
กสท.โดยใช้ระยะเวลาศึกษาจำนวน 6 เดือน (ระหว่างเดือนมี.ค.-ก.ย.56)
ตามวัตถุประสงค์ 1.ศึกษาคุณสมบัติ
และปัจจัยความพร้อมของชุมชนที่จะดำเนินการเป็นผู้ประกอบกิจการกระจายเสียง
หรือกิจการโทรทัศน์ประเภทบริการชุมชนที่มีประสิทธิภาพ 2.ศึกษากรอบแนวทาง
รูปแบบ วิธีการหารายได้ของผู้ประกอบกิจการบริการชุมชนของประเทศไทย และ
3.ศึกษากรอบแนวทาง กลไก การกำหนดหลักเกณฑ์
และวิธีการส่งเสริมชุมชนที่มีความพร้อมให้เป็นผู้มีคุณสมบัติในการขอรับใบ
อนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ประเภทบริการชุมชน
การศึกษาได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลในภาคเหนือ ภาคกลาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ รวม 4 ภาค ผ่าน 2 กลุ่มตัวอย่าง
ประกอบด้วย
1.กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานีวิทยุในด้านการบริหารจัดการสถานีวิทยุ
จำนวน 20 สถานีใน 4 ภาค และ2.กลุ่มผู้ฟังวิทยุชุมชน จำนวน 200 คน ใน 4 ภาค
โดยการเก็บข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก
และวิธีการสังเกตการสัมภาษณ์บุคลากรของวิทยุชุมชน ตลอดจนผู้รับฟังรายการ
หลังจากได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณแล้ว
ทีมวิจัยแต่ละภาคได้ประมวลสรุปผลการศึกษาและนำเสนอข้อมูลในเวทีประชุมกลุ่ม
ย่อย เพื่อตรวจสอบยืนยันข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม
ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า
งานวิจัยนี้ได้นำกรอบแนวคิดการบริหารจัดการทางธุรกิจเพื่อมาใช้อธิบายการ
ดำเนินของวิทยุชุมชน
ซึ่งมักเป็นประเด็นที่วิทยุธุรกิจนำมากล่าวอ้างเสมอว่าวิทยุชุมชนเป็น
อุดมคติ ทำไม่ได้จริงในสังคมไทย
อย่างไรก็ตามการบริหารจัดการวิทยุชุมชนแตกต่างจากการบริหารจัดการ
องค์กรรูปแบบอื่นอย่างมาก
เพราะการบริหารจัดการโดยทั่วไปเป็นวิธีคิดเชิงธุรกิจที่ต้องการใช้ทรัพยากร
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่ากับการลงทุน
การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจมีต้นทุนต่ำ
ทั้งทุนด้านเวลา งบประมาณ และกำลังคน แต่ให้ผลตอบแทนสูง
แต่การบริหารจัดการวิทยุชุมชนมุ่งเน้นการสร้างทุนทางสังคมมากกว่าตัวเงิน
ดังนั้นการบริหารจัดการวิทยุชุมชนเป็นทักษะที่สำคัญในการดำเนินงานวิทยุ
ชุมชนจึงจำเป็นต้องมีทิศทาง
และวิธีการที่สอดคล้องกับความหมายที่แท้จริงของวิทยุชุมชนที่เน้นหลักการ
ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และถ้าบริหารจัดการไม่ถูกต้อง
อาจทำให้การดำเนินงานหลงทิศ ผิดเป้าหมาย เกิดปัญหา อุปสรรค
นำไปสู่ความขัดแย้ง จนอาจต้องหยุดกระจายเสียงหรือปิดสถานีในที่สุด
สำหรับ ร่างผลจากการศึกษาการตรวจสอบคุณสมบัติ
ปัจจัยความพร้อมของชุมชนในการดำเนินการสถานีวิทยุชุมชนในประเทศไทย พบว่า
สถานีวิทยุชุมชนมีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักการดำเนินของสถานีวิทยุชุมชน คือ
ชุมชนเป็นเจ้าของ ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ
และดำเนินงานในรูปแบบอาสาสมัคร เพื่อประโยชน์ชุมชน
โครงสร้างการบริหารจัดการของสถานี ประกอบด้วยหัวหน้าสถานี
คณะกรรมการสถานี และอาสาสมัครฝ่ายต่างๆ
ทุกสถานีมีรายได้ซึ่งมาจากการสนับสนุนของชุมชนเป็นหลัก
ออกอากาศโดยไม่มีโฆษณาเพราะไม่แสวงหาผลกำไรในเชิงธุรกิจ
เพื่อรักษาความเป็นอิสระ
และเป็นปากเสียงของชุมชนการดำเนินงานของวิทยุชุมชนเพื่อมุ่งตอบสนองความต้อง
การของชุมชนและรักษาผลประโยชน์
ซึ่งสะท้อนผ่านสัดส่วนของรายการที่ชุมชนผลิตเองหรือรับรายการจากที่อื่นหาก
เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับชุมชน
มุ่งเน้นนำเสนอข้อมูลข่าวสารของชุมชนเป็นหลัก
รวมทั้งการมีบทบาทสนับสนุนช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆของชุมชน
ส่วนปัจจัยความพร้อมของชุมชนในการดำเนินการสถานีวิทยุชุมชนในภาคเหนือ ซึ่งวิเคราะห์ตามกรอบ 5 M นั้น สรุปได้ดังนี้
1. ความพร้อมด้านบุคลากร (Man) ซึ่งประกอบไปด้วย หัวหน้าสถานี
คณะกรรมการสถานี อาสาสมัครฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายผู้จัดรายการวิทยุ
ฝ่ายการเงินและบัญชี ฝ่ายเทคนิค เป็นต้น
พบว่าสถานีวิทยุชุมชนมีบุคลากรมาช่วยงานด้วยใจ ในลักษณะอาสาสมัคร
ไม่มีค่าตอบแทน
ยกเว้นบางแห่งที่มีเจ้าหน้าที่ประจำของสถานีที่ได้รับค่าตอบแทน
แต่ก็ใช้เป็นรูปสวัสดิการมากว่าเป็นเงินเดือน บุคลากรที่มาทำงานวิทยุชุมชน
จึงต้องมีคุณสมบัติประการแรกคือ เป็นคนดีซึ่งได้แก่ เป็นบุคคลที่เสียสละ
รับผิดชอบต่อหน้าที่ของส่วนรวม มีความซื่อสัตย์สุจริต และคุณสมบัติรองลงมา
คือ มีความรู้ความสามารถในการงานที่ตนรับผิดชอบ และ
มีความเข้าใจหลักการของวิทยุชุมชน ตามลำดับ
ส่วนการได้มาของหัวหน้าสถานีและคณะกรรมการของสถานีนั้น นิยมใช้วิธีการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หัวหน้าสถานีวิทยุชุมชน หรือคณะกรรมการโดยส่วนใหญ่มักเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชนอยู่แล้ว และมีศักยภาพในการดึงความร่วมมือหรือการมีส่วนร่วมมาสนับสนุนงานของสถานี วิทยุชุมชนได้
2. ความพร้อมด้านการเงิน (Money)
พบว่าสิ่งที่ชุมชนให้การสนับสนุนวิทยุชุมชนมากที่สุด คือ ด้านการเงิน
โดยเงินที่สนับสนุนนั้นได้มาจากสมาชิกในชุมชนเป็นหลัก และรองลงมาคือ
หน่วยงานหรือองค์กรที่ก่อตั้งสถานีวิทยุชุมชน
รูปแบบที่วิทยุชุมชนนิยมใช้ในการระดมทุนหารายได้เข้าสถานีมากที่สุด คือ
การจัดกิจกรรมทางศาสนา หรือ กิจกรรมประจำปีของชุมชน
สถานีวิทยุชุมชนจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน ได้แก่ ค่าไฟฟ้าของสถานี
ค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ค่าซ่อมแซมเครื่องส่ง
และค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ประจำของสถานี
เมื่อสอบถามถึงความต้องการในการช่วยเหลือหรือสนับสนุนด้านการเงินให้
เกิดความพร้อมในการดำเนินการวิทยุชุมชน
พบว่า สถานีวิทยุชุมชนต้องการให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
สนับสนุนด้านเงินทุนแก่สถานีวิทยุชุมชนตามกฎหมายมากที่สุด
โดยควรสนับสนุนในสัดส่วนระหว่างกสทช.และชุมชน ร้อยละ50:50
ของรายจ่ายทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 80,000 - 100,000 บาท/ปี
เพื่อคงความเป็นอิสระในการดำเนินงานของวิทยุชุมชน
และการพึ่งพาตนเองของวิทยุชุมชน
3. ความพร้อมด้านเนื้อหา (Material) พบว่า
ผังรายการของสถานีในช่วงแรกจะมาจากการประชุมพิจารณาหรือกำหนดโดยคณะกรรมการ
สถานี แต่พอสถานีได้ดำเนินการออกอากาศไปได้ระยะหนึ่ง
ก็จะมีการปรับเปลี่ยนผังรายการตามข้อเสนอแนะจากผู้ฟังด้วย
เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้ฟัง
โดยรายการส่วนใหญ่ที่บรรจุอยู่ในผังรายการของสถานีนั้น
คนในชุมชนจะเป็นผู้ผลิตรายการเอง ซึ่งมีร้อยละ 60 ส่วนอีกร้อยละ 40 นั้น
เป็นรายการที่ถ่ายทอดสัญญาณหรือรับมาจากที่อื่น
ซึ่งคณะกรรมการของสถานีก็จะเป็นผู้พิจารณากันว่า
เนื้อหาของรายการที่รับมาจากที่อื่นนั้นต้องเป็นประโยชน์กับชุมชน
หากวิเคราะห์เนื้อหาและรูปแบบของรายการ จะพบว่า
เนื้อหารายการส่วนใหญ่จะนำเสนอเนื้อหาที่เป็นความบันเทิงในด้านศิลปวัฒนธรรม
และภูมิปัญญาของท้องถิ่นมากกว่ารายการประเภทอื่นๆ ส่วนผู้จัดรายการนั้น
พบว่า เป็นคนในชุมชน กลุ่มนักเรียน นักศึกษามากที่สุด
รองลงมาคือผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น หมอ ครู ตำรวจ และสุดท้าย คือ
นักปราชญ์ท้องถิ่น ผู้นำศาสนา เป็นต้น
ปัญหาของการจัดรายการวิทยุที่พบมากที่สุด คือ ด้านเวลาของผู้จัดรายการ
ที่ขาดความต่อเนื่องในการมาจัดรายการวิทยุ
และผู้จัดรายการก็ขาดทักษะในการจัดรายการวิทยุด้วย
ดังนั้นเมื่อสอบถามถึงความต้องการในการพัฒนารายการ
ผู้จัดรายการวิทยุชุมชนจะมีความต้องการอันดับหนึ่ง คือ
ต้องการได้รับการอบรมในด้านการจัดรายการวิทยุหรือการเป็นผู้ประกาศ รองลงมา
คือ การควบคุมเทคนิค การบันทึกเทปและการตัดต่อ และอันดับสุดท้ายคือ
การเขียนบทวิทยุ และหน่วยงานที่เหมาะสมจะให้เป็นผู้จัดการอบรม คือ กสทช.
หรือ สถาบันการศึกษา หรือสถาบันวิชาชีพในระดับท้องถิ่น
4. ความพร้อมด้านเทคนิค (Machine) จากผลการวิจัยพบว่า
บุคลากรของวิทยุชุมชนมีการเรียนรู้ด้านเทคนิคกันเอง
ซึ่งการเรียนรู้ด้านเทคนิคนี้
จะเป็นความรู้และทักษะในการจัดการดูแลเกี่ยวกับเทคนิคในเบื้องต้น เช่น
การควบคุมเสียง การดูแลควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องส่ง เป็นต้น
ส่วนความรู้และทักษะด้านเทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น ได้แก่
การซ่อมแซมเครื่องส่งเมื่อเสีย
บุคลากรของสถานีวิทยุชุมชนยังไม่สามารถจัดการได้
ต้องส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้จัดการ ซึ่งอยู่ภายนอกชุมชน
และมีจำนวนจำกัด
เมื่อสอบถามถึงความต้องการให้ช่วยเหลือหรือสนับสนุนความพร้อมด้าน
เทคนิค ผลปรากฏว่า วิทยุชุมชนต้องการให้
กสทช.สนับสนุนให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่ให้บริการคำปรึกษาและออกตรวจ
เครื่องส่งเป็นระยะ รองลงมาคือ อบรมให้ความรู้ด้านเทคนิค และสุดท้าย คือ
ให้ กสทช.สนับสนุนด้านการเงินในการซ่อมแซมบำรุงเครื่องส่ง
เพราะการซ่อมแซมเครื่องส่งในแต่ละครั้งนั้นเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก
ส่วนปัญหาคลื่นแทรก คลื่นทับซ้อนซึ่งมาจากสถานีวิทยุแห่งอื่นนั้น
ถือเป็นปัญหาใหญ่และพบบ่อยมากที่สุดของวิทยุชุมชน
มีถึงร้อยละ 50 หรือครึ่งหนึ่งของปัญหาด้านเทคนิคทั้งหมด
ดังนั้นสถานีวิทยุชุมชนจึงเสนอมายัง
กสทช.ให้ช่วยจัดระเบียบคลื่นความถี่ตามกฎหมายอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ในการให้วิทยุชุมชนบันทึกรายการไว้เป็นหลักฐานตามกฎหมายนั้น
จากผลการวิจัยพบว่า
ส่วนใหญ่เกือบทุกสถานีจะมีการบันทึกรายการไว้ในคอมพิวเตอร์
และซีดีหรือดีวีดีตามลำดับ
แต่มีบางสถานีเท่านั้นที่ไม่สามารถบันทึกรายการได้ โดยให้เหตุผลว่า
ไม่มีงบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์ที่จะบันทึก
และบุคลากรของสถานีก็ขาดทักษะในการบันทึกรายการ
5. ความพร้อมด้านการบริหารจัดการ (Management) พบว่า
วิทยุชุมชนมีระบบการบริหารจัดการผ่านการประชุมของคณะกรรมการสถานีอย่าง
น้อย 1-3 เดือนต่อครั้งมากที่สุด และรองลงมาคือ
มีการประชุมของคณะกรรมการเมื่อมีเหตุจำเป็นหรือเรื่องเร่งด่วนเกี่ยวกับ
สถานี
ซึ่งประเด็นที่ปรึกษาหารือกันในที่ประชุมของคณะกรรมการส่วนใหญ่หรือมากที่
สุด ก็คือ เรื่องการบริหารจัดการ รองลงมาคือ เรื่องการจัดรายการวิทยุ
และสุดท้ายเรื่องการจัดการด้านเทคนิค ตามลำดับ โดยการประชุมแต่ละครั้ง
จะมีเลขานุการคณะกรรมการ
หรือคณะกรรมการในการประชุมหมุนเวียนช่วยกันจดบันทึกการประชุมไว้ด้วย
นอกจากสถานีวิทยุชุมชนจะมีการบริหารจัดการสถานีผ่านการประชุมของคณะ
กรรมการอยู่เป็นประจำแล้ว กลุ่มผู้ฟังทางบ้านก็สามารถแสดงความคิดเห็นหรือ
ให้ข้อเสนอแนะปรับปรุงการทำงานของสถานีวิทยุชุมชนผ่านช่องทางต่างๆได้ด้วย
โดยผู้ฟังทางบ้านจะแสดงความคิดเห็นผ่านตัวผู้จัดรายการวิทยุหรือคณะกรรมการ
ของสถานี เมื่อพบเจอกันในชุมชนมากที่สุด รองลงมา คือ
เสนอแนะผ่านในรายการวิทยุ และสุดท้ายผ่านทางเว็บไซต์ของสถานี
การบริหารจัดการทางด้านการเงิน
สถานีวิทยุชุมชนจะมีการบันทึกเป็นรายรับรายจ่ายเพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้
โดยชุมชนสามารถตรวจสอบผ่านเอกสารซึ่งแสดงไว้ที่สถานี
หรือการแจ้งผ่านรายการของสถานีในช่วงเวลาก่อนปิดสถานีทุกวัน
หรือแจ้งให้ทราบในการประชุมของคณะกรรมการ
นอกจากนั้นโครงการวิจัยฯ
ได้ศึกษากลยุทธ์การจูงใจของสถานีเพื่อให้ชุมชนสนับสนุนการดำเนินงานสถานี
วิทยุชุมชน โดยวิเคราะห์ตามกรอบ 4P ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. สถานที่ตั้ง (Place)
พบว่าสถานีวิทยุชุมชนตั้งอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะ
เดินทางไปมาได้สะดวก
เอื้อต่อการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมหรือสนับสนุนงานของวิทยุ
ชุมชน เช่น ตั้งในที่ทำการองค์กรของชุมชน หรือศาสนาสถาน เป็นต้น
2. ผลิตภัณฑ์ (Product) พบว่า รูปแบบและเนื้อหารายการวิทยุนั้น
กลุ่มผู้ฟังมองว่าดีอยู่แล้ว สามารถตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนได้
โดยสามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ
รวมทั้งได้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับชุมชนด้วย ดังนั้น
ผู้ฟังจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดรายการวิทยุ และผังรายการ
ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดมาจากคณะกรรมการของสถานีและผู้จัดรายการวิทยุเป็นหลัก
ส่วนเหตุผลในการติดตามรับฟังรายการมาโดยตลอดนั้น
เพราะลีลาของผู้จัดรายการที่มีความเป็นกันเอง เป็นคนในชุมชน
และใช้ภาษาถิ่นในการจัดรายการวิทยุ จึงทำให้เข้าใจง่ายเป็นหลัก รองลงมา คือ
รูปแบบรายการมีความน่าสนใจ
และเปิดโอกาสให้ผู้ฟังทางบ้านมีส่วนร่วมในรายการด้วย
3. การสนับสนุนด้านราคา (Price) พบว่า ชุมชนให้การสนับสนุนวิทยุชุมชน
ในรูปการบริจาคเงินมากที่สุด รองลงมาคือการบริจาคสิ่งของ
สุดท้ายคือการเสนอตัวเป็นอาสาสมัครช่วยงานวิทยุชุมชนในด้านต่างๆ
โดยการสนับสนุนด้านเงินมักเป็นรายครั้งหรือตามความสะดวกในโอกาสต่างๆ เช่น
งานทอดผ้าป่าของสถานี การบริจาคในรูปแบบสิบลดหนึ่งของคริสตจักร
เป็นต้นเหตุผลในการสนับสนุนเพราะผู้ฟังเห็นว่ารายการวิทยุมีคุณภาพและมี
ประโยชน์ต่อชุมชน สถานีมีบทบาทเป็นปากเป็นเสียง
ทำหน้าที่ช่วยเหลืองานของชุมชน
ผู้ฟังต้องการรักษาสถานีซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชุมชน
รวมทั้งต้องการให้กำลังใจคณะกรรมการและผู้จัดรายการของสถานีที่เสียสละเพื่อ
งานส่วนรวมมาโดยตลอด
4. กลยุทธ์จูงใจให้คนสนับสนุนสถานี (Promotion) พบว่า
กลยุทธ์ในการสร้างแจงจูงใจให้คนในชุมชนหันมาสนับสนุนสถานีวิทยุชุมชนมากขึ้น
ประกอบไปด้วย 1. ประเด็นในการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ฟังสนับสนุน
ซึ่งควรเป็นประเด็นเกี่ยวกับชาติ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น
รองลงมาคือ ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิของบุคคล
โดยเฉพาะบุคคลที่ด้อยโอกาสในสังคม เช่น เด็ก สตรี ผู้พิการ เป็นต้น
และ 2. กลยุทธ์ที่จะทำให้มีรายได้จากการระดมทุนมากขึ้น ซึ่งได้แก่
การประกาศรายชื่อผู้สนับสนุนผ่านทางสถานี
การเขียนรายชื่อผู้บริจาคลงบนสิ่งของ และสุดท้าย คือ
การออกไปถ่ายทอดสดกิจกรรมงานต่างๆ ของชุมชน
เพื่อให้ชุมชนมองว่าวิทยุชุมชนช่วยเหลืองานของชุมชนมาโดยตลอด
คอยอยู่เคียงข้างชุมชนเสมอ
ส่วนการคงความเป็นอัตลักษณ์หรือตัวตนของวิทยุชุมชน
เพื่อให้ชุมชนสนับสนุนวิทยุชุมชนต่อไปหรือมากขึ้น คือ
ควรเน้นความสามารถของผู้จัดรายการ การสร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้นำสถานี
และสุดท้ายคือ
การเพิ่มการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยเฉพาะการรณรงค์เรื่องสิทธิชุมชน
ทั้งนี้ร่างสรุปผลงานวิจัยยังมีข้อเสนอเบื้องต้นต่อ กสทช. ดังนี้
1. เสนอให้ กสทช. ดำเนินการแก้ไขปัญหาคลื่นความถี่แทรก/ทับซ้อนโดยเร่งด่วน เพราะเป็นปัญหาร่วมกันของสถานีวิทยุชุมชนทั่วประเทศ
2.
แนวทางในการแก้ปัญหาคลื่นความถี่ทับซ้อนระหว่างสถานีวิทยุชุมชนกับสถานี
ธุรกิจ เสนอให้ กสทช.
เป็นผู้เจรจากับสถานีธุรกิจที่คลื่นความถี่ทับซ้อนกับคลื่นของวิทยุชุมชน
เนื่องจากสถานีวิทยุชุมชนเป็นสถานีขนาดเล็ก
ไม่มีกำลังในการต่อรองกับสถานีธุรกิจได้
3. เสนอให้ กสทช. ทบทวนข้อกำหนดทางเทคนิคและกำลังส่งของสถานีวิทยุชุมชน ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติ
4. การขอรับใบอนุญาต เป็นประเด็นปัญหาร่วมกันของสถานีกลุ่มตัวอย่าง
ซึ่งตัวแทนสถานีสะท้อนว่า
ขั้นตอนและกระบวนการขอรับใบอนุญาตเป็นภาระแก่สถานีเป็นอย่างมากและไม่สอด
คล้องกับแนวทางปฏิบัติของสถานีวิทยุชุมชนที่ทำงานในรูปแบบอาสาสมัคร
ซึ่งผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนการปฏิบัติทางราชการ
สถานีกลุ่มตัวอย่างเกือบทุกสถานีประสบปัญหาเรื่องการกรอกเอกสาร
การหาเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนตามที่ กสทช.กำหนด การแก้ไขเอกสาร
การส่งเอกสารเพิ่มเติม และค่าใช้จ่ายในการตรวจเครื่องส่ง
รวมถึงมีสถานีกลุ่มตัวอย่างหนึ่งสถานีที่ประสบปัญหาขึ้นทะเบียนไม่ทันในช่วง
เวลาที่ กสทช. กำหนด คือ สถานีวิทยุชุมชนรือเสาะเรดิโอ จ.นราธิวาส
ซึ่งมีสาเหตุจากช่องทางการสื่อสารของ กสทช.
ที่เน้นการสื่อสารผ่านเว็บไซต์และหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นช่องทางที่สถานีส่วน
ใหญ่เข้าไม่ถึง
ประกอบกับสถานีอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและมีปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
และภาษาหลักในการสื่อสารของชุมชนซึ่งเป็นภาษาถิ่น (ภาษายาวี)
ทำให้การได้ข้อมูลข่าวสารไม่เพียงพอและไม่ทันท่วงที
ซึ่งมีผลให้ไม่สามารถขอรับใบอนุญาตที่ตามประกาศ กสทช. ที่กำหนด
5. เสนอให้ กสทช. จัดให้มีการฝึกอบรมเสริมศักยภาพ 3 ด้าน คือ ก.
ด้านการจัดรายการ ข. ด้านเทคนิค ค. ด้านการบริหารจัดการสถานี โดย
กสทช.ช่วยสนับสนุนค่าอบรมและค่าเดินทางให้กับสถานีวิทยุชุมชน
รวมถึงจัดทำคู่มือประกอบการอบรม
เพื่อให้ตัวแทนสถานีวิทยุชุมชนที่เข้าร่วมการอบรมสามารถนำกลับมาเผยแพร่และ
ส่งต่อความรู้ให้กับอาสาสมัครของสถานีคนอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. เสนอให้ กสทช.
คุ้มครองสิทธิของผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชน
รวมถึงให้ความรู้/ข้อมูลข่าวสารกับสถานีที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ
บริการชุมชน เพื่อให้สถานีมีความรู้ความเข้าใจและสามารถรักษาสิทธิของตนได้
เสนอให้ กสทช.
ทำความเข้าใจธรรมชาติของสถานีวิทยุชุมชนที่ดำเนินการโดยระบบอาสาสมัคร
ซึ่งบางครั้งมีภารกิจทำให้ไม่สามารถจัดรายการได้ตามที่กำหนดในผังรายการ
หมายเหตุ: คลิกอ่านความคิดเห็นของ รศ.ดร.พนา ทองมีอาคม อดีตกรรมการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ต่องานวิจัยนี้ได้ที่ วิจัยตรวจสอบคุณสมบัติปัจจัยความพร้อมของชุมชนฯ (วิทยุชุมชน)
ที่มา: ประชาธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น