บทนำ
เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวว่า มารดาวัย 77 ปีชาวจีน ได้ยื่นฟ้องบุตรสาว
หลังจากเธอปฏิเสธที่จะดูแลมารดาอีกต่อไป
โดยศาลเมืองอู๋ซีได้ตัดสินให้ลูกต้องไปเยี่ยมแม่ของเธอทุกๆ 2
เดือนเป็นอย่างน้อย มิฉะนั้นจะต้องจ่ายค่าชดเชย
ทั้งนี้ศาลได้ตัดสินให้เป็นไปตากฎหมายใหม่คือกฎหมายการคุ้มครองผู้สูงอายุ
ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา
ผู้เขียนอ่านข่าวนี้แล้วเห็นว่ามีประเด็นเกี่ยวข้องกับปัญหาทางนิติปรัชญา
แฝงอยู่จึงอยากตั้งเป็นข้อสังเกตเผื่อว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อการอภิปรายถก
เถียงต่อไปในสังคมไทย
1. ควรหรือไม่ที่จะมีการบังคับทางศีลธรรมโดยกฎหมาย
หนึ่งในบรรดาคำถามสำคัญในทางนิติปรัชญาที่ยังโต้เถียงกันอยู่ทุกวันนี้
คือควรหรือไม่ที่รัฐจะบังคับให้ประชาชนในสังคมมีศีลธรรมโดยผ่านทางการคับใช้
กฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ควรหรือไม่ที่จะให้การกระทำที่ผิดศีลธรรมเป็นความผิดทางอาญาไปด้วย
ปัญหานี้เกิดขึ้นมาหลายทศวรรษแล้วที่ประเทศอังกฤษ โดยสมัยก่อน
พฤติกรรมรักร่วมเพศ (Homosexuality) เป็นความผิดอาญา
ต่อมาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา 1 ชุด โดยมี John Wolfenden เป็นประธาน โดยคณะกรรมาธิการชุดนี้ได้จัดทำรายงานขึ้นมา 1 ฉบับ เป็นที่รู้จักกันดีในนาม Wolfenden
Report โดยเสนอว่าไม่ควรให้พฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นความผิดอาญาอีกต่อไป
โดยให้เหตุผลว่าควรแยกเรื่อง “บาป” (sin) ออกจาก “อาชญากรรม”
ในเรื่องที่แม้จะไม่ถูกศีลธรรมส่วนตัว แต่ก็ไม่ใช่ธุระของกฎหมาย (not the
law’s business)[1]
หลังจากที่รายงานฉบับนี้ทำออกมารัฐสภาก็แก้ไขกฎหมายยกเลิกความผิดฐาน
รักร่วมเพศในอีกไม่กี่ปีต่อมา หลังไรก็ตาม
รายงานฉบับนี้ได้สร้างประเด็นถกเถียงปัญหาทางนิติปรัชญา
จนกลายเป็นวิวาทะระหว่างผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านรายงานนี้
และเป็นประเด็นใหญ่ที่วงการกฎหมายกฎหมายทั่วโลกต่างพากันให้ความสำคัญโดยผู้
คัดค้านได้แก่ ผู้พิพากษา Patrick Devlin กับผู้สนับสนุนคือศาสตราจารย์ H.A.L. Hart แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ผู้พิพากษา Devlin เห็นว่า รัฐอำนาจที่จะตรากฎหมายบังคับเรื่องศีลธรรม และหน้าที่ของกฎหมายอาญาคือการบังคับเรื่องศีลธรรม[2]
นอกจากนี้ สังคมมีสิทธิที่จะปกป้องศีลธรรมของส่วนรวมด้วย
หากปล่อยให้มีการกระทำผิดศีลธรรม สังคมนั้นอาจล่มสลายได้ ในขณะที่
ศาสตราจารย์ Hart เห็นด้วยกับนักปรัชญาชาวอังกฤษ อย่างจอห์น สจ๊วต มิลล์
(John Stuart Mill) ที่เห็นว่า
ผู้ปกครองจะเข้ามารุกล้ำหรือจำกัดเสรีภาพของประชาชนได้ต่อเมื่อการกระทำนั้น
เป็นภัยหรืออันตรายแก่ผู้อื่น[3]
หากการกระทำใดไม่เป็นอันตรายแก่ผู้อื่นแล้ว
รัฐไม่ควรตราให้การกระทำนั้นเป็นความผิดอาญาแม้ว่ากระทำนั้นจะไม่ถูกศีลธรรม
ก็ตาม นอกจากนี้ Hart
ยังให้เหตุผลอีกว่าการมีศีลธรรมนั้นควรเป็นเรื่องของความสมัครใจ
การอบรมสั่งสอนมากกว่าการบังคับหรือการลงโทษทางกฎหมายหากละเว้นไม่กระทำ[4]
ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรมนั้นจัดว่าเป็นปัญหา
หนึ่งที่สำคัญที่สุดในทางนิติปรัชญาและเป็นปัญหาละเอียดอ่อนที่มีทั้งผู้
สนับสนุนและคัดค้าน
2. ปัญหาของกฎหมายจีน
หลังจากที่จีนเปิดตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้นเป็นผลให้
ประเทศจีนมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้านและหนึ่งในนั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงทาง
สังคมวัฒนธรรม
การที่จีนออกกฎหมายบังคับให้ลูกต้องไปเยี่ยมพ่อแม่นั้นเกิดคำถามตามมามากมาย
ว่า อะไรคือมูลฐานของกฎหมายฉบับนี้ๆจะมีผลใช้บังคับได้จริงหรือ
หากพิจารณาในมุมของ Devlin จีนมีความชอบธรรมที่จะตรากฎหมายฉบับนี้
เพื่อให้คนจีนมีความกตัญญูรู้คุณของพ่อแม่
หรือให้มีความเคารพนับถือผู้หลักผู้ใหญ่
การปล่อยปละละเลยไม่สนใจปัญหานี้นานๆเข้าอาจทำให้สังคมเสื่อมลง
แต่หากพิจารณาในมุมของ Mill และ ศาสตราจารย์ Hart แล้ว
กฎหมายฉบับนี้เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของปัจเจกชน
อีกทั้งการบังคับให้ปฎิบัติตามกฎหมายก็มิได้แสดงถึงความเป็นผู้มีศีลธรรมแต่
อย่างใด
เนื่องจากการไปเยี่ยมพ่อแม่นั้นอาจมิได้มาจากใจที่แท้จริงแต่มาจากความกลัว
จากการถูกกฎหมายลงโทษ
ปัญหาการบังคับศีลธรรมโดยใช้กฎหมายหรือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย
กับศีลธรรมนั้นเป็นปัญหาที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและโต้
แย้งเสมอ และอาจไม่ยุติด้วยการทำประชามติเพราะก็จะมีข้อโต้แย้งเรื่อง
“เสียงข้างมากลากไป” อีก
3. ปัญหากฎหมายกับศีลธรรมในสังคมไทย
หันมาดูกฎหมายไทยบ้าง มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง
กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๒
ตามประกาศนี้ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 4 วัน ได้แก่
วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
โดยมีข้อยกเว้นกรณีการขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
เพื่อเป็นการส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวในประเทศไทยและกระตุ้นเศรษฐกิจของ
ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ประกาศนี้ก็แฝงคำถามที่ชวนสงสัยดังนี้
ประการแรก อะไรคือวัตถุประสงค์ของกฎหมายฉบับนี้
ในเบื้องแรกเห็นได้ชัดว่า
กฎหมายฉบับนี้มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี
เพราะประกาศนี้ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาพุทธ 4 วัน
การห้ามขายเพียง 4 วันใน 1 ปีไม่พอที่จะให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้นมาได้
ฉะนั้นประกาศนี้จึงมิได้ออกมาโดยอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลทางสุขภาพ
จึงชวนคิดต่อไปว่า หรือว่าประกาศฉบับนี้มีเหตุผลทางศีลธรรมรองรับ กล่าวคือ
เพื่อต้องการให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี จึงจำเป็นต้องห้ามขายเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ในวันดังกล่าว แต่มีคำถามว่า
การจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีจำเป็นต้องอาศัยแรงบังคับของกฎหมายเพื่อให้ชาว
พุทธต้องไม่ละเมิดศีลข้อที่ 5 สุราเมรัยหรือไม่
การที่ชาวพุทธจะงดเว้นจากการดื่มเหล้าในวันสำคัญทางศาสนาหรือวันอื่นๆก็ตาม
ควรมาจากจิตใจมโนธรรมสำนึกของผู้นั้นจะดีกว่า การงดซื้อเหล้าเพราะ
“กลัวกฎหมาย” กับการงดซื้อเหล้าเพราะ “กลัวผิดศีลข้อที่ 5”
ย่อมสะท้อนพื้นฐานทางจิตใจที่ต่างกันอย่างแน่นอน
อีกทั้งการงดซื้อเหล้าเพียงแค่ 4 วันใน 365 วัน
ก็มิได้ทำให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีขึ้นมาได้
ประการที่สอง
กฎหมายนี้มีข้อยกเว้นคือให้ขายได้ในโรงแรมโดยให้เหตุผลว่าต้องการกระตุ้น
เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวซึ่งดูเหมือนว่ารัฐให้คุณค่า
“ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” มากกว่า “ความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี” ใช่หรือไม่
และในกรณีที่ทั้งสองอย่างไปด้วยกันไม่ได้ รัฐเลือกสนับสนุนอย่างแรกมากกว่า
ประการที่สาม ประกาศนี้น่าจะสะท้อนความอ่อนแอของวงการพระสงฆ์
ที่ไม่สามารถทำหน้าที่เผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาได้แม้แต่เรื่อง
พื้นฐานอย่างศีล 5
จนกระทั่งรัฐต้องยื่นมือเข้ามาบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
แต่กลับกลายเป็นว่า “รัฐ” กำลังทำหน้าที่แทน “พระสงฆ์”
นอกจากนี้
สังคมไทยก็ไม่หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเผชิญปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง
กฎหมายกับศีลธรรมว่าควรมีความเกี่ยวข้องกันมากน้อยแค่ไหนเพียงไร
ในอนาคตสังคมไทยอาจเผชิญกับปัญหาเรื่องการยกเลิกโทษประหารชีวิต การุณยฆาต
(Euthanasia) การเรียกร้องให้มีการยอมรับการสมรสของเพศเดียวกัน (same sex
marriage) ควรทำให้การพนัน (การเปิดบ่อนพนัน) เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายหรือไม่
หรือแม้กระทั่งปัญหาว่าการสมรสซ้อน (Bigamy) สมควรเป็นความผิดอาญาหรือไม่
ซึ่งหลายประเทศถือว่าเป็นความผิดอาญา
บทส่งท้าย
ทั้งกฎหมายจีนและกฎหมายไทยเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงวิธีคิดเกี่ยว
กับการบังคับ “ศีลธรรม” โดยผ่านกลไกของ “กฎหมาย” กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เป็นการยืมมือกฎหมายบังคับให้ “พลเมือง” เป็น “คนดี”นั่นเอง แต่คำถามมีว่า
การบังคับใช้กฎหมายแบบนี้บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ แน่นอน
กฎหมายย่อมมีพื้นฐานมาจากศีลธรรมและแยกออกจากศีลธรรมไม่ได้
แต่กฎหมายไม่สามารถบังคับให้เป็นคนดี หรือพุทธศาสนาสนิกชนที่ดีได้
ศีลธรรมหรือคุณธรรมเป็นเรื่องของการปลูกฝังอบรมมาตั้งแต่ครอบครัวและใน
โรงเรียนมายาวนาน อย่างที่ Immanuel Kant อธิบาย เจตจำนงเสรี (Free will)
เป็นรากฐานของศีลธรรมโดยที่ไม่มีปัจจัยภายนอก (ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ)
เข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของบุคคลนั้น
ประการสุดท้าย น่าคิดว่ากฎหมายจีนฉบับนี้สะท้อนปัญหาอะไร
สะท้อนความล้มเหลวของนโยบายให้มีลูกคนเดียว (One child policy)
เพราะหากมีลูกหลายคน ก็สามารถแบ่งผลัดหน้าที่ไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ได้
หรือสะท้อนด้านมืดของระบบทุนนิยมที่คนในวัยทำงาน (ถูกบังคับกลายๆ)
ต้องมุ่งหาเงินและดาหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่ปล่อยให้คนแก่ชราอยู่เฝ้าบ้านเพียง
ลำพัง หรือสะท้อนความหมดอิทธิพลของปรัชญาตะวันออกอย่างลัทธิขงจื้อ
จึงทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ในสังคมจีน
และในอนาคตสังคมไทยจะมีการออกกฎหมายแบบนี้หรือไม่เป็นปัญหาที่น่าคิด
วันนี้คุณกลับไปเยี่ยมพ่อแม่แล้วหรือยัง!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น