แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา: ว่าด้วยเรื่องข้าวที่เข้าปาก

ที่มา ประชาไท


 
สับสนอลหม่านกันมาหลายอาทิตย์แล้วด้วยเรื่องข้าว  ในฐานะคนกินข้าวที่เรื่องมาก คือ ชอบรู้ที่มาของข้าวไม่กินข้าวแข็ง ข้าวเก่าเนื้อยุ่ย และอาจเหม็นสาบ ข้าวมีมดไต่ มอดกัดบ้างไม่ว่ากันและทำงานอยู่ใกล้คนที่พอจะรู้เรื่องการปลูกข้าว เก็บข้าว ก็ขออนุญาตประมวลความรู้แบบพื้นๆ ว่าข้าวที่เรากิน จากแปลงสู่ปากนั้นมันมาอย่างไรที่หวังว่าจะช่วยให้คนกินข้าวพอจะมีความรู้ใน การเลือกกินและพิจารณาข่าวให้เกิดความสงบใจไม่ตกตึ่นกันเกินงาม
 
เริ่มต้นจากประเภทข้าวแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือข้าวนาปี กับข้าวนาปรัง ข้าวนาปีก็ปลูกกันกรกฎาคมช่วงนี้แหละครับ แล้วไปเกี่ยวช่วงพฤศจิกายนธันวาคม ช่วงนี้นิยมปลูกข้าวหอมอยู่สองพันธุ์คือข้าวหอมมะลิ และ กข. 15 ก็คือข้าวหอมมะลิที่นำไปปรับปรุงพันธุ์โดยการฉายรังสีนอกนั้นก็มีข้าวพื้น เมือง เช่น เหลืองปะทิว ขาวตาแห้ง สังข์หยด  พิษณุโลก 1 เหนียวอุบล เหนียวสันป่าตอง เจ๊กเชย 1 ฯลฯ ข้าวพันธุ์ที่ปลูกนาปีต้องเป็นข้าวไวแสง ส่วนข้าวนาปรังก็จะได้เก็บเกี่ยว กันช่วงพฤษภาคม มิถุนายน สิงหาคม พันธุ์ข้าวเป็นข้าวไม่ไวแสง มีข้าวหอมที่นิยมปลูกคือหอมปทุม หรือปทุมธานี 1และพันธุ์ผสมต่าง ๆ จากกรมการข้าว และสถานีวิจัยพันธุ์ข้าวต่าง ๆ เช่น พันธุ์ชัยนาทสุพรรณบุรี กข.เลขมาก ๆ ระยะหลัง เช่น กข.31 37 39 41 47 49 51 ฯลฯ พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นข้าวค่อนข้างแข็งแล้วก็ส่งออกเกือบหมด  
 
คนไทยจำนวนหนึ่งชอบกินข้าวหอมและนุ่มแต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ชอบข้าว แข็ง ซึ่งก็มีทั้งที่เป็นข้าวพื้นบ้านก็มีและข้าวที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ก็มี เดี๋ยว นี้ข้าวพื้นบ้านหาซื้อยากพวกพ่อค้าก็เอาข้าวพันธุ์ปรับปรุงใหม่แล้วอ้างว่า เป็นขาวตาแห้ง เป็นต้น
 
มาดูเรื่องกระบวนการทำนาอย่างย่นย่อนะครับ เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ทำนาหว่าน มีบ้างจ้างรถดำนาแต่ก็ต้นทุนสูงยังจำกัดอยู่มาก ก่อนเริ่มต้นก็ต้องฆ่าหญ้าหัวคันนาด้วยไกลโฟเสท แล้วจึงเตรียมดิน ไถดินตีเทือก แช่เมล็ด 1 คืนให้งอกเป็นปุ่ม แล้วหว่านเมล็ดเฉลี่ยก็ใช้พันธุ์ข้าวสูงถึง 25-30 กิโลกรัมต่อไร่   หว่านแล้วประมาณ 1 อาทิตย์ วันก็ต้องใส่สารเคมีคุมหญ้าพวกโพรพานิลบิวตาคลอร์ อันนี้เรียกคุมเปียก ถ้าไม่คุมหญ้ามันโตไวกว่าข้าว ส่วนใหญ่เวลาฉีดสารคุมหญ้าชาวนาก็มักผสมยาป้องกันศัตรูพืชจำพวกอบาเม็กติ นคลอไพริฟอส หรือไซเปอร์เมทรินด้วย ต่อมาอีกสัก 4-5 วันดูว่าคุมอยู่ไหมหากไม่อยู่ก็ต้องคุมซ้ำอีกรอบ เรียกว่าคุมแห้ง ต่อมาก็ปล่อยน้ำเข้าหญ้าก็จะเริ่มตายข้าวเริ่มเป็นต้นโตมาหน่อยก็มีศัตรู จำพวกหนอนเจาะยอด ก็ต้องจัดการ พอข้าวแตกกอศัตรูก็จะเป็นจำพวกหนอนกอ แมลงบั่ว เพลื้ยกระโดด ก็ต้องคอยดูคอยฉีด หากแปลงข้าง ๆเจอแมลงลงแล้วเค้าฉีด ก็ต้องฉีดดักด้วยเดี๋ยวมันยกพลกันมา ทั้งรอบการผลิตก็หว่านปุ๋ย2-3 ครั้ง ที่อายุ 25 วันและราว 60 วัน ส่วนใหญ่ในการหว่านปุ๋ยก็หว่านคาร์โบฟูรานไปด้วยแล้วหลังจากหว่านปุ๋ย 2-3 วันก็ต้องฉีดฆ่าแมลงเพราะข้าวมันจะเขียวงามล่อแมลง พอข้าวตั้งท้องก็บำรุงด้วยฮอร์โมนอีก  โดยรวมแล้วจำนวนครั้งของการฉีดพ่นกำจัดศัตรูข้าวและโรค ก็ขึ้นกับว่ามีการระบาดมากน้อยเพียงใด ฉีดอะไรบ้างเนี่ยมันยาวมากครับคร่าวๆ ร่วม 300 ยี่ห้อ แต่แยกแยะดูแล้วเป็นชื่อสามัญราว 20 กว่าชนิดทั้งกำจัดวัชพืชแมลงศัตรูพืช และโรคพืช รายละเอียดต้องติดตามตอนหน้านะครับ 
 
พอข้าวอายุครบ 95-120 วันก็ได้เวลาเก็บเกี่ยวอายุข้าวก็ขึ้นกับพันธุ์ข้าวนะครับ พวกไวแสงก็หนักหน่อย 120 กว่าวันพวกไม่ไวแสงก็อายุสั้นลงมา เดี๋ยวนี้ตระกูล กข.เลขมาก ๆมีการพัฒนาไปถึงขั้นอายุเพียง 70 กว่าวันตอบสนองสถานการณ์น้ำท่วมน้ำมาไวได้ดี การเก็บเกี่ยวในปัจจุบันเกือบร้อยทั้งร้อยก็ใช้รถเกี่ยวพร้อมนวดขนข้าวขึ้น รถไปโรงสีเลย หรือจุดรับจำนำเลย ผลผลิตข้าวนาปีเกี่ยวในฤดูแล้งก็จะมีปัญหาความชื้นน้อยกว่าข้าวนาปรังซึ่ง ส่วนใหญ่เกี่ยวในฤดูฝนซึ่งค่าความชื้นเฉลี่ยราว20-25 %
 
ทีนี้มาดูการจัดการหลังเก็บเกี่ยวเรื่องก็มาอยู่ที่โรงสี โกดังของโรงสี โกดังกลางที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) เช่าเก็บข้าวแล้วครับ
 
การเก็บข้าวเก็บเป็นข้าวเปลือกจะดีที่สุดครับข้าวเก็บได้นานเสื่อมสภาพ ช้า สมัยแต่ก่อนโรงสีเค้ารับซื้อข้าวก็เก็บกันเป็นข้าวเปลือกเป็นส่วนใหญ่ทะยอ ยสีเป็นข้าวสารขาย มีออร์เดอร์ก็ค่อยสีข้าว แล้วต้องเก็บข้าวที่ความชื้นไม่เกิน14-15 % ดังนั้นจากราคารับจำนำตันละ15,000 บาทหักค่าความชื้นออกชาวนาเจ้าของข้าวก็จะได้ราคาราว ๆ 10,000 – 13,000บาทต่อตันโรงสีซื้อข้าวมาก็ต้องมาเสียค่าใช้จ่ายในการอบข้าวก่อนเก็บ หรือสี คือจะสีข้าวทั้งเปียกๆ ไม่ได้นะครับต้องอบให้ความชื้นเหลือไม่เกิน 14-15 % ไม่งั้นข้าวหักเสียหายเยอะ 
 
ข้าวที่เก็บก็มีศัตรูเช่นกันไม่ว่าจะเก็บเป็นข้าวเปลือกหรือข้าวสาร ศัตรูข้าวเปลือกมันพวกด้วงข้าวเปลือกผีเสื้อข้าวเปลือกวางไข่มาตั้งแต่ข้าว ยังอยู่ในนาศัตรูข้าวสารก็เหมือนกันก็พวกด้วง พวกมอดหน้าตาหลายแบบ พวกผีเสื้อข้าวสาร  แล้วยังมีพวกหนูอีก การป้องกันก็โดยการรมก๊าซก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วในเวลานี้มีหลัก ๆ อยู่สองตัวคือ เมธิลโบรไมด์กับฟอสฟีนซึ่งหากใช้ถูกวิธีก็ไม่มีอันตราย ไม่มีการตกค้างยาวนาน  อคส.เองก็ระบุให้มีการรมยาป้องกันข้าวเสียหายในโรงเก็บอย่างน้อย2 เดือนครั้ง ส่วนข้อมูลบอกเล่าภาคสนามก็ว่าส่วนใหญ่แล้วรมยาประมาณ15 วันครั้งหรือตามแต่จะเห็นมอดระบาดมาก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าสารสองกลุ่มที่ ใช้มันไม่ค่อยมีปัญหาตกค้าง ยกเว้นแต่เมธิลโบรไมด์ประชาคมโลกเค้ามีข้อผูกพันให้เลิกใช้เร็วๆ นี้ด้วยมันเป็นก๊าซตัวหนึ่งที่มีผลทำลายชั้นโอโซน ส่วนว่ามีการใช้สารเคมีอื่น ๆนอกเหนือไปจากสองตัวนี้หรือไม่ก็ยากจะตรวจสอบนะครับ ไว้มีหลักฐานแล้วค่อยมาว่ากัน 
 
ข้าวในโครงการรับจำนำระยะสองสามปีมานี้เก็บเป็นข้าวสารนะครับ คือโรงสีตรวจสอบคุณภาพข้าววัดความชื้นชั่งข้าว รับข้าวเปลือกมาคณะทำงานท้องที่ออกใบประทวนให้ชาวนาไปขึ้นเงิน โรงสีจัดการสีข้าว ได้ข้าวต้นถ้าเป็นข้าวขาว470 กก.ต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 410 กก.ต่อตัน นำส่งโกดังกลางที่อคส. เช่าเก็บ รายได้ก็จะมาจากค่าสีข้าวหัก รำ แกลบ  และข้าวเต็มเม็ดเหลือจากนำส่งคลังรัฐหากได้ข้าวคุณภาพดีปริมาณข้าวต้นสูง หรือซื้อชาวนากดๆ หน่อย หากมีโกดังให้เช่าก็ได้ค่าเช่าโกดังต่อตันข้าวสารอีกด้วย 
 
ตัวเลขจากรองผู้อำนวยการอคส.ออกมาบอกว่าปริมาณสต๊อกข้าวสารของรัฐบาลใน ส่วนที่ อคส. ดูแลมีประมาณ17-18 ล้านตันข้าวสารโดยเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำนาปี 54/55 ประมาณ 2.3 ล้านตันจากโครงการรับจำนำนาปรัง ปี 55 ประมาณ7.2 ล้านตัน และจากโครงการรับจำนำนาปีปี55/56 ประมาณ 8 ล้านตัน  คำถามก็คือ แล้วข้าวที่เรากิน ๆกันเนี่ยมันมาจากไหน ก็ข้าวส่วนใหญ่มันยังอยู่ในโกดังที่รัฐบาลเช่าเก็บข้าวนี่ครับไปเช็คตัวเลข ผลผลิตข้าวเปลือกทั้งข้าวขาวและข้าวหอมมะลิจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรปี 2554 ผลผลิตข้าวเปลือก  29 ล้านตัน ปี 2555 อีกเกือบ31 ล้านตัน สีเป็นข้าวสารก็เหลือน้ำหนักประมาณครึ่งนึงเป็นข้าวสารปี 2554 ราว15 ล้านตัน ปี 2555  16ล้านตัน เรากินข้าวกันปีละประมาณ 8-10ล้านตัน ตัวเลขส่งออกรวมข้าวขาวข้าวหอมปทุม และข้าวหอมมะลิ ปี 2554  10.8 ล้านตัน ปี 2555 7 ล้านตัน นี่ทำตัวเลขบวกลบแบบง่ายเกินไปนะครับเพราะถ้าจะทำให้ละเอียดตัองแยกข้าวออก มาเป็นรายเดือนแยกให้เห็นข้าวนาปีนาปรังซึ่งใช้เวลา  แต่ตัวเลขกลม ๆ ง่าย ๆก็พอจะบอกได้ว่าผลผลิตข้าวที่ได้ เมื่อหักที่กินในประเทศ และส่งออกแล้วก็พอดี ๆ เลยยิ่งมึนงงหนักว่าไอ้ตัวเลขข้าวสารเหลือเก็บในโกดังมันยังไงกันหรือว่า ข้าวที่เรากินมาจากไหนกัน  สมมุติฐานหลักหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเดาอย่างตั้งหลักก็คือคงมีการแอบขาย ข้าว เวียนข้าวเข้าโครงการรับจำนำ รวมไปถึงการนำข้าวจากต่างประเทศมาสีขายหรือสวมสิทธิรับจำนำไม่น้อยทีเดียว
 
ทีนี้มาเข้าเรื่องข้าวเน่าข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวรมควันพิษ นี่มันยังไง อย่างที่กล่าวมาก่อนแล้วว่าการเก็บข้าวนั้นเก็บเป็นข้าวเปลือกดีที่สุดข้าว เปลือกเมื่อกระเทาะเปลือกออกเป็นข้าวสารมันก็เป็นแป้งแหละครับ แป้งดูดความชื้นมันก็เก็บยากกว่า หรือมีมอดแมลงมากัดกินก็ยิ่งเป็นแป้งเป็นผงแป้งดูดความชื้นได้ดียิ่งขึ้นก็ ยิ่งเน่าเสียง่ายอาการเน่าก็คือ ข้าวป่นเปื่อยจับกันเป็นก้อนมีสีเหลือง ๆ ข้าวเน่าเนี่ยมองเห็นด้วยตานะครับ  พวกบริษัทข้าวถุงเค้าก็คงไม่คิดสั้นเอา มาบรรจุถุงขายคือมันประเจิดประเจ้อเกินไปส่วนว่าจะปนไปกับข้าวแจกบ้างก็เป็น เป็นเคราะห์ซ้ำของคนรับข้าวแจกทีนี้เน่าอีกแบบคือ มันชื้นแล้วก็เป็นรา พวกอะฟลาท๊อกซินอันนี้ยิ่งอันตรายครับ หากสะสมก็เป็นสารก่อมะเร็งนี่ก็มองเห็นด้วยตาอีก ข้าวก็อาการประมาณข้าวเน่า คือ ข้าวเกาะกันเป็นก้อนมีกลิ่นอับ มีสีคล้ำ  เท่าที่ตามดูข่าวก็ยังไม่พบเห็นว่ามีใครซื้อข้าวถุงแล้วเจอข้าวเน่าเป็น เรื่องเป็นราวนะครับ
 
ส่วนข้าวเสื่อมสภาพข้าวสารเก็บนานคุณภาพก็คงต้องเปลี่ยนไปตามเวลา ยิ่งข้ามปียิ่งไม่ดี มันดูดความชื้นมันก็ร่วนขึ้น  เปราะ ไม่นุ่มไม่หอม กินไม่อร่อยอาจมีชื้นมีกลิ่นอับไม่ถึงกับเน่า แม้เก็บในไซโลโกดังเกรดเอ มีการระบายอากาศที่ดีแต่จะให้ดีมากต้องคุมอุณหภูมิซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมากจะ คาดหวังให้โกดังเช่าเก็บลงทุนขนาดนั้นก็เป็นเรื่องเหนือจริงไปนิด 
 
มาถึงข้าวรมก๊าซ ทางราชการก็ออกมายืนยันว่าสารหรือก๊าซที่ราชการแนะนำให้ใช้สองชนิดนั้น มันเป็นสารระเหย มีการตกค้างน้อยหรือแทบไม่ตกค้าง ทางกรมวิชาการเกษตรเค้าแจกแจงดังนี้ครับ การรมข้าวสารจะใช้เมทิลโบรไมด์ในอัตรา32 กรัมต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 50 กรัมต่อข้าวสาร 1 ตัน ระยะเวลาในการรม 24 ชั่วโมง และจะระเหยหมดไปทันทีที่เปิดพลาสติก สารชนิดนี้เป็นที่นิยม ใช้เพราะเบากว่าอากาศจะใช้การระเหยขึ้นด้านบน สามารถแทรกในช่องว่างระหว่างเม็ดข้าวได้และราคาถูกกว่าสารชนิดอื่น ส่วนสารฟอสฟินเป็นสารที่มีความเป็นพิษสูง ลักษณะ ของฟอสฟินจะเป็นเม็ดเล็กๆลักษณะการทำงานคล้ายลูกเหม็น จะใช้การระเหิดจากที่สูงสู่ที่ต่ำการรมข้าวสารใช้ฟอสฟินในอัตรา 2-3 เม็ด ต่อข้าวสาร 1ตัน (น้ำหนักเม็ดละ 3 กรัม) หรือฟอสฟิน 9-10 กรัมต่อข้าวสาร 1 ตัน ระยะเวลาการรม 5-7 วันหลังจากการรมแล้วต้องมีระยะเวลาการถ่ายเทก๊าซ 12 ชั่วโมง วิธีการนี้จะใช้เวลานานกว่าเมทิลโบรไมด์ จึงได้รับความนิยมน้อยกว่า สารพวกนี้จะตายได้ก็จากการสูดดมเข้าไปตรงๆ  ดังนั้นความเป็นอันตรายมากที่สุดของสารพวกนี้จะอยู่ที่ขั้นตอนการรมเป็น สำคัญนก หนู แมว หลุดเข้าไปในระหว่างการมตายแบบเฉียบพลันทันที เท่าที่นักวิชาการเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(ไทยแพน) ค้นงานศึกษาแบบเร็ว ๆ พบว่ามีรายงานของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ (NIH)พบว่าผู้ที่ทำงานสัมผัสเกี่ยวข้องกับเมธิลโบรไมด์มีความเสี่ยงจะเป้นมะ เร็งในกระเพาะอาหารมากกว่าผู้ไม่เคยสัมผัสเลยย้ำนะครับพบแค่ผู้ที่มีโอกาส สัมผัส ไม่ใช่ผู้บริโภคจากการตกค้าง 
 
หากเก็บข้าวนานก็ต้องรมก๊าซมากครั้งขึ้นก็เป็นไปได้ว่าความเสี่ยง เรื่องการตกค้างในอาจมีมากขึ้นแต่ที่น่าเป็นไปได้มากกว่าคือการตกค้างในระบบ นิเวศและสิ่งแวดล้อมด้วยว่าก๊าซพวกนี้มันระเหยไปก็ไปจับกับความชื้นในอากาศ ตกเป็นฝนกลับลงมาพื้นโลกไปจนถึงการดื้อยาของศัตรูข้าว ทำให้ต้องหาทางจัดการด้วยวิธีการที่อาจเสี่ยงขึ้น  
 
เมื่อมีข่าวลือ ข่าวร้ายเกิดขึ้นทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ องค์การอาหารและยา เก็บตัวอย่างข้าวในท้องตลาด 57ตัวอย่างไปตรวจในแลปหาสารตกค้างหลายกลุ่มพบว่ามีการตกค้าง 26ตัวอย่างในระดับ 0.9-21 ppm  ซึ่งไม่เกินค่ามาตรฐานของไทยที่กำหนดไว้ที่ 50 ppm  ซึ่งก็เบาใจได้บ้างว่าเท่าที่ตรวจพบก็ไม่ได้อันตรายมาตรฐานของไทยญี่ปุ่น และสหรัฐ
 
แต่เรื่องน่ากังวลก็อาจมีได้เหมือนกันเพราะบางประเทศกำหนดให้ค่า มาตรฐานที่ตกค้างได้สูงสูด (MRL) ต่ำกว่าที่เรากำหนด ตัวอย่างเช่น อินเดียกำหนดไว้ที่ 25 ppm จีน 5 ppm และไต้หวันที่กำหนดไว้ที่1 ppm เท่านั้น ถ้าเป็นแบบนี้ก็อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกของเราในระยะยาวได้เหมือนกัน (ppm : part per million หมายความว่า 1 ส่วนในล้านส่วนในกรณีนี้หน่วยเป็นกิโลกรัม 1 ppm ก็คือ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
 
ขณะเดียวกันทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับเครือข่ายไทยแพนก็ได้ ไปเก็บตัวอย่างมาตรวจบ้างเหมือนกันเป็นการร่วมตรวจสอบอีกทางหนึ่งครับ ผลน่าจะออกอาทิตย์หน้า 
 
อย่างไรก็ตามนับว่าเป็นเรื่องดีที่มีการตื่นตัวกันทำให้หน่วยราชการที่ เกี่ยวข้องมาทำหน้าที่อย่างแข็งขัน และหวังว่าจะมีการตรวจสอบเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และจะให้ดีรัฐบาลก็ควรเร่งระบายข้าวออกมาน่ะครับก่อนมันจะเสื่อมไปกว่านี้ หรือไปถึงขั้นเน่า แล้วยังต้องรมก๊าซอยู่เรื่อย  
 
พอแค่นี้ก่อนนะครับ  หวังว่าข้อเขียนนี้จะช่วยกระตุ้นความ สงสัยใคร่รู้ที่นำไปสู่การค้นหาข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง  และหวัง ว่าเหตุการณ์ข้าวนี้จะส่งเสริมให้ผู้บริโภคตื่นตัวอย่างมีคุณภาพศึกษาค้น คว้าตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านพัฒนาเป็นขบวนการผู้บริโภคที่ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบการทำหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการให้หลักประกันอาหารปลอดภัยอย่างจริง จัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น