สับสนอลหม่านกันมาหลายอาทิตย์แล้วด้วยเรื่องข้าว
ในฐานะคนกินข้าวที่เรื่องมาก คือ ชอบรู้ที่มาของข้าวไม่กินข้าวแข็ง
ข้าวเก่าเนื้อยุ่ย และอาจเหม็นสาบ ข้าวมีมดไต่
มอดกัดบ้างไม่ว่ากันและทำงานอยู่ใกล้คนที่พอจะรู้เรื่องการปลูกข้าว
เก็บข้าว ก็ขออนุญาตประมวลความรู้แบบพื้นๆ ว่าข้าวที่เรากิน
จากแปลงสู่ปากนั้นมันมาอย่างไรที่หวังว่าจะช่วยให้คนกินข้าวพอจะมีความรู้ใน
การเลือกกินและพิจารณาข่าวให้เกิดความสงบใจไม่ตกตึ่นกันเกินงาม
เริ่มต้นจากประเภทข้าวแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือข้าวนาปี
กับข้าวนาปรัง ข้าวนาปีก็ปลูกกันกรกฎาคมช่วงนี้แหละครับ
แล้วไปเกี่ยวช่วงพฤศจิกายนธันวาคม
ช่วงนี้นิยมปลูกข้าวหอมอยู่สองพันธุ์คือข้าวหอมมะลิ และ กข. 15
ก็คือข้าวหอมมะลิที่นำไปปรับปรุงพันธุ์โดยการฉายรังสีนอกนั้นก็มีข้าวพื้น
เมือง เช่น เหลืองปะทิว ขาวตาแห้ง สังข์หยด พิษณุโลก 1 เหนียวอุบล
เหนียวสันป่าตอง เจ๊กเชย 1 ฯลฯ
ข้าวพันธุ์ที่ปลูกนาปีต้องเป็นข้าวไวแสง ส่วนข้าวนาปรังก็จะได้เก็บเกี่ยว
กันช่วงพฤษภาคม มิถุนายน สิงหาคม พันธุ์ข้าวเป็นข้าวไม่ไวแสง
มีข้าวหอมที่นิยมปลูกคือหอมปทุม หรือปทุมธานี 1และพันธุ์ผสมต่าง ๆ
จากกรมการข้าว และสถานีวิจัยพันธุ์ข้าวต่าง ๆ เช่น พันธุ์ชัยนาทสุพรรณบุรี
กข.เลขมาก ๆ ระยะหลัง เช่น กข.31 37 39 41 47 49 51 ฯลฯ
พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นข้าวค่อนข้างแข็งแล้วก็ส่งออกเกือบหมด
คนไทยจำนวนหนึ่งชอบกินข้าวหอมและนุ่มแต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ชอบข้าว
แข็ง
ซึ่งก็มีทั้งที่เป็นข้าวพื้นบ้านก็มีและข้าวที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ก็มี เดี๋ยว
นี้ข้าวพื้นบ้านหาซื้อยากพวกพ่อค้าก็เอาข้าวพันธุ์ปรับปรุงใหม่แล้วอ้างว่า
เป็นขาวตาแห้ง เป็นต้น
มาดูเรื่องกระบวนการทำนาอย่างย่นย่อนะครับ เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ทำนาหว่าน
มีบ้างจ้างรถดำนาแต่ก็ต้นทุนสูงยังจำกัดอยู่มาก
ก่อนเริ่มต้นก็ต้องฆ่าหญ้าหัวคันนาด้วยไกลโฟเสท แล้วจึงเตรียมดิน
ไถดินตีเทือก แช่เมล็ด 1 คืนให้งอกเป็นปุ่ม
แล้วหว่านเมล็ดเฉลี่ยก็ใช้พันธุ์ข้าวสูงถึง 25-30 กิโลกรัมต่อไร่
หว่านแล้วประมาณ 1 อาทิตย์
วันก็ต้องใส่สารเคมีคุมหญ้าพวกโพรพานิลบิวตาคลอร์ อันนี้เรียกคุมเปียก
ถ้าไม่คุมหญ้ามันโตไวกว่าข้าว
ส่วนใหญ่เวลาฉีดสารคุมหญ้าชาวนาก็มักผสมยาป้องกันศัตรูพืชจำพวกอบาเม็กติ
นคลอไพริฟอส หรือไซเปอร์เมทรินด้วย ต่อมาอีกสัก 4-5
วันดูว่าคุมอยู่ไหมหากไม่อยู่ก็ต้องคุมซ้ำอีกรอบ เรียกว่าคุมแห้ง
ต่อมาก็ปล่อยน้ำเข้าหญ้าก็จะเริ่มตายข้าวเริ่มเป็นต้นโตมาหน่อยก็มีศัตรู
จำพวกหนอนเจาะยอด ก็ต้องจัดการ พอข้าวแตกกอศัตรูก็จะเป็นจำพวกหนอนกอ
แมลงบั่ว เพลื้ยกระโดด ก็ต้องคอยดูคอยฉีด หากแปลงข้าง
ๆเจอแมลงลงแล้วเค้าฉีด ก็ต้องฉีดดักด้วยเดี๋ยวมันยกพลกันมา
ทั้งรอบการผลิตก็หว่านปุ๋ย2-3 ครั้ง ที่อายุ 25 วันและราว 60 วัน
ส่วนใหญ่ในการหว่านปุ๋ยก็หว่านคาร์โบฟูรานไปด้วยแล้วหลังจากหว่านปุ๋ย 2-3
วันก็ต้องฉีดฆ่าแมลงเพราะข้าวมันจะเขียวงามล่อแมลง
พอข้าวตั้งท้องก็บำรุงด้วยฮอร์โมนอีก
โดยรวมแล้วจำนวนครั้งของการฉีดพ่นกำจัดศัตรูข้าวและโรค
ก็ขึ้นกับว่ามีการระบาดมากน้อยเพียงใด ฉีดอะไรบ้างเนี่ยมันยาวมากครับคร่าวๆ
ร่วม 300 ยี่ห้อ แต่แยกแยะดูแล้วเป็นชื่อสามัญราว 20
กว่าชนิดทั้งกำจัดวัชพืชแมลงศัตรูพืช และโรคพืช
รายละเอียดต้องติดตามตอนหน้านะครับ
พอข้าวอายุครบ 95-120
วันก็ได้เวลาเก็บเกี่ยวอายุข้าวก็ขึ้นกับพันธุ์ข้าวนะครับ
พวกไวแสงก็หนักหน่อย 120 กว่าวันพวกไม่ไวแสงก็อายุสั้นลงมา เดี๋ยวนี้ตระกูล
กข.เลขมาก ๆมีการพัฒนาไปถึงขั้นอายุเพียง 70
กว่าวันตอบสนองสถานการณ์น้ำท่วมน้ำมาไวได้ดี
การเก็บเกี่ยวในปัจจุบันเกือบร้อยทั้งร้อยก็ใช้รถเกี่ยวพร้อมนวดขนข้าวขึ้น
รถไปโรงสีเลย หรือจุดรับจำนำเลย
ผลผลิตข้าวนาปีเกี่ยวในฤดูแล้งก็จะมีปัญหาความชื้นน้อยกว่าข้าวนาปรังซึ่ง
ส่วนใหญ่เกี่ยวในฤดูฝนซึ่งค่าความชื้นเฉลี่ยราว20-25 %
ทีนี้มาดูการจัดการหลังเก็บเกี่ยวเรื่องก็มาอยู่ที่โรงสี โกดังของโรงสี โกดังกลางที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) เช่าเก็บข้าวแล้วครับ
การเก็บข้าวเก็บเป็นข้าวเปลือกจะดีที่สุดครับข้าวเก็บได้นานเสื่อมสภาพ
ช้า
สมัยแต่ก่อนโรงสีเค้ารับซื้อข้าวก็เก็บกันเป็นข้าวเปลือกเป็นส่วนใหญ่ทะยอ
ยสีเป็นข้าวสารขาย มีออร์เดอร์ก็ค่อยสีข้าว
แล้วต้องเก็บข้าวที่ความชื้นไม่เกิน14-15 %
ดังนั้นจากราคารับจำนำตันละ15,000
บาทหักค่าความชื้นออกชาวนาเจ้าของข้าวก็จะได้ราคาราว ๆ 10,000 –
13,000บาทต่อตันโรงสีซื้อข้าวมาก็ต้องมาเสียค่าใช้จ่ายในการอบข้าวก่อนเก็บ
หรือสี คือจะสีข้าวทั้งเปียกๆ ไม่ได้นะครับต้องอบให้ความชื้นเหลือไม่เกิน
14-15 % ไม่งั้นข้าวหักเสียหายเยอะ
ข้าวที่เก็บก็มีศัตรูเช่นกันไม่ว่าจะเก็บเป็นข้าวเปลือกหรือข้าวสาร
ศัตรูข้าวเปลือกมันพวกด้วงข้าวเปลือกผีเสื้อข้าวเปลือกวางไข่มาตั้งแต่ข้าว
ยังอยู่ในนาศัตรูข้าวสารก็เหมือนกันก็พวกด้วง พวกมอดหน้าตาหลายแบบ
พวกผีเสื้อข้าวสาร แล้วยังมีพวกหนูอีก
การป้องกันก็โดยการรมก๊าซก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วในเวลานี้มีหลัก ๆ
อยู่สองตัวคือ เมธิลโบรไมด์กับฟอสฟีนซึ่งหากใช้ถูกวิธีก็ไม่มีอันตราย
ไม่มีการตกค้างยาวนาน
อคส.เองก็ระบุให้มีการรมยาป้องกันข้าวเสียหายในโรงเก็บอย่างน้อย2
เดือนครั้ง ส่วนข้อมูลบอกเล่าภาคสนามก็ว่าส่วนใหญ่แล้วรมยาประมาณ15
วันครั้งหรือตามแต่จะเห็นมอดระบาดมาก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าสารสองกลุ่มที่
ใช้มันไม่ค่อยมีปัญหาตกค้าง
ยกเว้นแต่เมธิลโบรไมด์ประชาคมโลกเค้ามีข้อผูกพันให้เลิกใช้เร็วๆ
นี้ด้วยมันเป็นก๊าซตัวหนึ่งที่มีผลทำลายชั้นโอโซน
ส่วนว่ามีการใช้สารเคมีอื่น
ๆนอกเหนือไปจากสองตัวนี้หรือไม่ก็ยากจะตรวจสอบนะครับ
ไว้มีหลักฐานแล้วค่อยมาว่ากัน
ข้าวในโครงการรับจำนำระยะสองสามปีมานี้เก็บเป็นข้าวสารนะครับ
คือโรงสีตรวจสอบคุณภาพข้าววัดความชื้นชั่งข้าว
รับข้าวเปลือกมาคณะทำงานท้องที่ออกใบประทวนให้ชาวนาไปขึ้นเงิน
โรงสีจัดการสีข้าว ได้ข้าวต้นถ้าเป็นข้าวขาว470 กก.ต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 410
กก.ต่อตัน นำส่งโกดังกลางที่อคส. เช่าเก็บ รายได้ก็จะมาจากค่าสีข้าวหัก รำ
แกลบ
และข้าวเต็มเม็ดเหลือจากนำส่งคลังรัฐหากได้ข้าวคุณภาพดีปริมาณข้าวต้นสูง
หรือซื้อชาวนากดๆ หน่อย
หากมีโกดังให้เช่าก็ได้ค่าเช่าโกดังต่อตันข้าวสารอีกด้วย
ตัวเลขจากรองผู้อำนวยการอคส.ออกมาบอกว่าปริมาณสต๊อกข้าวสารของรัฐบาลใน
ส่วนที่ อคส. ดูแลมีประมาณ17-18
ล้านตันข้าวสารโดยเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำนาปี 54/55 ประมาณ 2.3
ล้านตันจากโครงการรับจำนำนาปรัง ปี 55 ประมาณ7.2 ล้านตัน
และจากโครงการรับจำนำนาปีปี55/56 ประมาณ 8 ล้านตัน คำถามก็คือ
แล้วข้าวที่เรากิน ๆกันเนี่ยมันมาจากไหน
ก็ข้าวส่วนใหญ่มันยังอยู่ในโกดังที่รัฐบาลเช่าเก็บข้าวนี่ครับไปเช็คตัวเลข
ผลผลิตข้าวเปลือกทั้งข้าวขาวและข้าวหอมมะลิจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรปี
2554 ผลผลิตข้าวเปลือก 29 ล้านตัน ปี 2555 อีกเกือบ31 ล้านตัน
สีเป็นข้าวสารก็เหลือน้ำหนักประมาณครึ่งนึงเป็นข้าวสารปี 2554 ราว15
ล้านตัน ปี 2555 16ล้านตัน เรากินข้าวกันปีละประมาณ 8-10ล้านตัน
ตัวเลขส่งออกรวมข้าวขาวข้าวหอมปทุม และข้าวหอมมะลิ ปี 2554 10.8 ล้านตัน
ปี 2555 7 ล้านตัน
นี่ทำตัวเลขบวกลบแบบง่ายเกินไปนะครับเพราะถ้าจะทำให้ละเอียดตัองแยกข้าวออก
มาเป็นรายเดือนแยกให้เห็นข้าวนาปีนาปรังซึ่งใช้เวลา แต่ตัวเลขกลม ๆ ง่าย
ๆก็พอจะบอกได้ว่าผลผลิตข้าวที่ได้ เมื่อหักที่กินในประเทศ
และส่งออกแล้วก็พอดี ๆ
เลยยิ่งมึนงงหนักว่าไอ้ตัวเลขข้าวสารเหลือเก็บในโกดังมันยังไงกันหรือว่า
ข้าวที่เรากินมาจากไหนกัน
สมมุติฐานหลักหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเดาอย่างตั้งหลักก็คือคงมีการแอบขาย
ข้าว เวียนข้าวเข้าโครงการรับจำนำ
รวมไปถึงการนำข้าวจากต่างประเทศมาสีขายหรือสวมสิทธิรับจำนำไม่น้อยทีเดียว
ทีนี้มาเข้าเรื่องข้าวเน่าข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวรมควันพิษ นี่มันยังไง
อย่างที่กล่าวมาก่อนแล้วว่าการเก็บข้าวนั้นเก็บเป็นข้าวเปลือกดีที่สุดข้าว
เปลือกเมื่อกระเทาะเปลือกออกเป็นข้าวสารมันก็เป็นแป้งแหละครับ
แป้งดูดความชื้นมันก็เก็บยากกว่า
หรือมีมอดแมลงมากัดกินก็ยิ่งเป็นแป้งเป็นผงแป้งดูดความชื้นได้ดียิ่งขึ้นก็
ยิ่งเน่าเสียง่ายอาการเน่าก็คือ ข้าวป่นเปื่อยจับกันเป็นก้อนมีสีเหลือง ๆ
ข้าวเน่าเนี่ยมองเห็นด้วยตานะครับ พวกบริษัทข้าวถุงเค้าก็คงไม่คิดสั้นเอา
มาบรรจุถุงขายคือมันประเจิดประเจ้อเกินไปส่วนว่าจะปนไปกับข้าวแจกบ้างก็เป็น
เป็นเคราะห์ซ้ำของคนรับข้าวแจกทีนี้เน่าอีกแบบคือ มันชื้นแล้วก็เป็นรา
พวกอะฟลาท๊อกซินอันนี้ยิ่งอันตรายครับ
หากสะสมก็เป็นสารก่อมะเร็งนี่ก็มองเห็นด้วยตาอีก ข้าวก็อาการประมาณข้าวเน่า
คือ ข้าวเกาะกันเป็นก้อนมีกลิ่นอับ มีสีคล้ำ
เท่าที่ตามดูข่าวก็ยังไม่พบเห็นว่ามีใครซื้อข้าวถุงแล้วเจอข้าวเน่าเป็น
เรื่องเป็นราวนะครับ
ส่วนข้าวเสื่อมสภาพข้าวสารเก็บนานคุณภาพก็คงต้องเปลี่ยนไปตามเวลา
ยิ่งข้ามปียิ่งไม่ดี มันดูดความชื้นมันก็ร่วนขึ้น เปราะ ไม่นุ่มไม่หอม
กินไม่อร่อยอาจมีชื้นมีกลิ่นอับไม่ถึงกับเน่า แม้เก็บในไซโลโกดังเกรดเอ
มีการระบายอากาศที่ดีแต่จะให้ดีมากต้องคุมอุณหภูมิซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมากจะ
คาดหวังให้โกดังเช่าเก็บลงทุนขนาดนั้นก็เป็นเรื่องเหนือจริงไปนิด
มาถึงข้าวรมก๊าซ
ทางราชการก็ออกมายืนยันว่าสารหรือก๊าซที่ราชการแนะนำให้ใช้สองชนิดนั้น
มันเป็นสารระเหย มีการตกค้างน้อยหรือแทบไม่ตกค้าง
ทางกรมวิชาการเกษตรเค้าแจกแจงดังนี้ครับ
การรมข้าวสารจะใช้เมทิลโบรไมด์ในอัตรา32 กรัมต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ
50 กรัมต่อข้าวสาร 1 ตัน ระยะเวลาในการรม 24 ชั่วโมง
และจะระเหยหมดไปทันทีที่เปิดพลาสติก สารชนิดนี้เป็นที่นิยม
ใช้เพราะเบากว่าอากาศจะใช้การระเหยขึ้นด้านบน
สามารถแทรกในช่องว่างระหว่างเม็ดข้าวได้และราคาถูกกว่าสารชนิดอื่น
ส่วนสารฟอสฟินเป็นสารที่มีความเป็นพิษสูง ลักษณะ
ของฟอสฟินจะเป็นเม็ดเล็กๆลักษณะการทำงานคล้ายลูกเหม็น
จะใช้การระเหิดจากที่สูงสู่ที่ต่ำการรมข้าวสารใช้ฟอสฟินในอัตรา 2-3 เม็ด
ต่อข้าวสาร 1ตัน (น้ำหนักเม็ดละ 3 กรัม) หรือฟอสฟิน 9-10 กรัมต่อข้าวสาร 1
ตัน ระยะเวลาการรม 5-7 วันหลังจากการรมแล้วต้องมีระยะเวลาการถ่ายเทก๊าซ 12
ชั่วโมง วิธีการนี้จะใช้เวลานานกว่าเมทิลโบรไมด์
จึงได้รับความนิยมน้อยกว่า สารพวกนี้จะตายได้ก็จากการสูดดมเข้าไปตรงๆ
ดังนั้นความเป็นอันตรายมากที่สุดของสารพวกนี้จะอยู่ที่ขั้นตอนการรมเป็น
สำคัญนก หนู แมว หลุดเข้าไปในระหว่างการมตายแบบเฉียบพลันทันที
เท่าที่นักวิชาการเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(ไทยแพน)
ค้นงานศึกษาแบบเร็ว ๆ พบว่ามีรายงานของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ
(NIH)พบว่าผู้ที่ทำงานสัมผัสเกี่ยวข้องกับเมธิลโบรไมด์มีความเสี่ยงจะเป้นมะ
เร็งในกระเพาะอาหารมากกว่าผู้ไม่เคยสัมผัสเลยย้ำนะครับพบแค่ผู้ที่มีโอกาส
สัมผัส ไม่ใช่ผู้บริโภคจากการตกค้าง
หากเก็บข้าวนานก็ต้องรมก๊าซมากครั้งขึ้นก็เป็นไปได้ว่าความเสี่ยง
เรื่องการตกค้างในอาจมีมากขึ้นแต่ที่น่าเป็นไปได้มากกว่าคือการตกค้างในระบบ
นิเวศและสิ่งแวดล้อมด้วยว่าก๊าซพวกนี้มันระเหยไปก็ไปจับกับความชื้นในอากาศ
ตกเป็นฝนกลับลงมาพื้นโลกไปจนถึงการดื้อยาของศัตรูข้าว
ทำให้ต้องหาทางจัดการด้วยวิธีการที่อาจเสี่ยงขึ้น
เมื่อมีข่าวลือ ข่าวร้ายเกิดขึ้นทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
องค์การอาหารและยา เก็บตัวอย่างข้าวในท้องตลาด
57ตัวอย่างไปตรวจในแลปหาสารตกค้างหลายกลุ่มพบว่ามีการตกค้าง
26ตัวอย่างในระดับ 0.9-21 ppm ซึ่งไม่เกินค่ามาตรฐานของไทยที่กำหนดไว้ที่
50 ppm
ซึ่งก็เบาใจได้บ้างว่าเท่าที่ตรวจพบก็ไม่ได้อันตรายมาตรฐานของไทยญี่ปุ่น
และสหรัฐ
แต่เรื่องน่ากังวลก็อาจมีได้เหมือนกันเพราะบางประเทศกำหนดให้ค่า
มาตรฐานที่ตกค้างได้สูงสูด (MRL) ต่ำกว่าที่เรากำหนด ตัวอย่างเช่น
อินเดียกำหนดไว้ที่ 25 ppm จีน 5 ppm และไต้หวันที่กำหนดไว้ที่1 ppm
เท่านั้น
ถ้าเป็นแบบนี้ก็อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกของเราในระยะยาวได้เหมือนกัน (ppm :
part per million หมายความว่า 1 ส่วนในล้านส่วนในกรณีนี้หน่วยเป็นกิโลกรัม
1 ppm ก็คือ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
ขณะเดียวกันทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับเครือข่ายไทยแพนก็ได้
ไปเก็บตัวอย่างมาตรวจบ้างเหมือนกันเป็นการร่วมตรวจสอบอีกทางหนึ่งครับ
ผลน่าจะออกอาทิตย์หน้า
อย่างไรก็ตามนับว่าเป็นเรื่องดีที่มีการตื่นตัวกันทำให้หน่วยราชการที่
เกี่ยวข้องมาทำหน้าที่อย่างแข็งขัน และหวังว่าจะมีการตรวจสอบเป็นระยะๆ
อย่างต่อเนื่องสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค
และจะให้ดีรัฐบาลก็ควรเร่งระบายข้าวออกมาน่ะครับก่อนมันจะเสื่อมไปกว่านี้
หรือไปถึงขั้นเน่า แล้วยังต้องรมก๊าซอยู่เรื่อย
พอแค่นี้ก่อนนะครับ หวังว่าข้อเขียนนี้จะช่วยกระตุ้นความ
สงสัยใคร่รู้ที่นำไปสู่การค้นหาข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง และหวัง
ว่าเหตุการณ์ข้าวนี้จะส่งเสริมให้ผู้บริโภคตื่นตัวอย่างมีคุณภาพศึกษาค้น
คว้าตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านพัฒนาเป็นขบวนการผู้บริโภคที่ทำหน้าที่ติดตาม
ตรวจสอบการทำหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการให้หลักประกันอาหารปลอดภัยอย่างจริง
จัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น