ดีเอสไอ บุก ทบ.สอบปากคำคดีฝ่ายทหารตาย-บาดเจ็บ
ในเหตุการณ์ชุมนุมปี 53 ก่อนเร่งสรุปคดีส่งศาล หลัง
ทบ.จี้ตามคดีเหมือนเสื้อแดง ด้าน ผบ.ทบ.พ้อ ป.ป.ช.ไต่สวนข้างเดียว
แจ้งข้อหา ศอฉ.ชี้คงต้องต่อสู้คดีกันถึง 3 ศาล
จวกพนักงานสอบสวนหน้าเดิมแต่เปลี่ยนไป ยอมรับเสียใจ คนคุ้นเคยกลับตาลปัตร
ดีเอสไอเร่งคดีทหารตาย-เจ็บเหตุกระชับพื้นที่
กรุงเทพธุรกิจ
รายงานว่าเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 56 ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก
พนักงานสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ 3 นาย
ได้เข้าสอบสวนข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
(พล.ร.2 รอ.) ที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53
จำนวน 10 นาย ส่วนใหญ่เป็นทหารชั้นยศนายสิบและจ่า
ที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้า รร.สตรีวิทยา และ สี่แยกคอกวัวในช่วงวันที่ 10
เม.ย.53 โดยมีนายทหารพระธรรมนูญกองทัพบกเข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย
การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการสอบสวนข้อเท็จจริงครั้งที่ 2
หลังจากดำเนินการไปครั้งแรกไปเมื่อเดือนสิงหาคม
แต่ทางดีเอสไอได้หยุดพักการสอบสวนคดีของฝ่ายทหารไประยะหนึ่ง
ทางกองทัพบกจึงได้นำคำร้องเรียนของครอบครัวทหารที่เสียชีวิต
และนายทหารที่บาดเจ็บ ส่งไปที่ดีเอสไอ ให้ติดตามความคืบหน้าในคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า
สำหรับเจ้าหน้าที่ทหารในฐานะผู้เสียหายจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อ
ปี 2553 เสียชีวิต 5 นาย บาดเจ็บ 448 นาย
โดยทางญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องเรียนไปที่นายกรัฐมนตรี
และกองทัพบกให้ติดตามคดีในฝ่ายทหารด้วยเนื่องจากไม่มีความคืบหน้า
ทั้งนี้ ดีเอสไอจะมีการนัดสอบสวนต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนครบ 50 นาย
คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมนี้
จากนั้นพนักงานสอบสวนจะรวบรวมข้อมูลเพื่อพิจารณาการทำสำนวนเพื่อฟ้องร้องต่อ
ศาลต่อไป
บิ๊กตู่ เสียใจ คนคุ้นเคยใน ศอฉ.กลับตาลปัตร
ไทยรัฐออนไลน์
รายงานในวันเดียวกัน (19 ก.ย.56) ที่กองการบินกรมการขนส่งทหารบก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.
กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
เตรียมรวบรวมคำไต่สวนของศาลจากผลชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมใน
เหตุการณ์กระชับพื้นที่ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่
ศอฉ.เพิ่มเติมว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมในการไต่สวน
เพราะมีการร้องเรียนว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่
แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีโอกาสชี้แจง เป็นการไต่สวนข้างเดียว
หากเข้าสู่กระบวนการแล้วเราจะนำหลักฐานพยานต่างๆ ที่มีอยู่ไปต่อสู้
ซึ่งคงต้องต่อสู้กันถึง 3 ศาล
ตนจึงกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาว่าต้องอดทนเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้องใน
การปฏิบัติตามคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงก็รู้กันอยู่ว่า
มีการใช้อาวุธต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง
ต่อสู้กันไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนไม่หนักใจแต่กังวลใจว่า
ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ต้องไปสอบสวนว่าใครเป็นคนทำ
และต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทหารก็เป็นประชาชน
เมื่อทหารออกไปทำหน้าที่พ่อ แม่ และญาติพี่น้องเขาก็มาชุมนุม
ถามว่าเขาจะไปทำร้ายคนเหล่านั้นได้อย่างไร
ซึ่งเขาคงไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาทำร้ายใคร
แต่มีคนใช้ความรุนแรงจึงเกิดสถานการณ์บานปลายก็ต้องไปหามาว่า ใครเป็นคนทำ
“วันนี้ศาลไต่สวนไปแล้วประมาณ 10
คดีก็น่าจะเพียงพอที่นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ส่วนที่ใครคิดจะทำอะไรต่ออีกก็ควรชะลอไว้ก่อน อยากให้เห็นใจผมในฐานะ
ผบ.ทบ.เพราะสถานการณ์ขณะนั้นทุกคนรู้ดี
และได้สอบสวนไปครั้งหนึ่งแล้วจนมีข้อสรุปว่า
ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด แต่วันนี้กลับมาบอกว่า
เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ผมก็ไม่เข้าใจว่า
วิธีการสอบสวนต่างกันอย่างไรในเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นชุดเดิม
คนที่อยู่ในกระบวนการเหล่านั้นก็เป็นคนเก่า
เพียงแต่เปลี่ยนหัวใหม่ก็กลับกันคนละข้าง
ผมไม่ได้อยากละเมิดใครเพราะเป็นอำนาจของเขาก็ทำไป”
“ผมอยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมว่า วันนั้นกับวันนี้กลับตาลปัตร
ทั้งพนักงานสอบสวนที่ทำสำนวน ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันบางคนก็อยู่ใน ศอฉ.
วันนั้นพูดทำให้เราสบายใจในการทำงาน วันนี้คนเดียวกันกลับพูดอีกแบบหนึ่ง
ผมก็เสียใจแต่ก็ไม่ได้ไปว่าอะไรถือว่าเป็นอำนาจของเขา
เราก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรที่นอกเหนือกฎหมาย ซึ่ง 10
คดีที่อยู่ในศาลน่าจะเพียงพอแล้ว
ที่จะต่อสู้ชี้ถูกชี้ผิดได้แล้วมิเช่นนั้นสังคมจะไขว้เขวเรื่องอื่นขอร้อง
ให้หยุดไว้ก่อน ผมได้พุดคุยกับกำลังพลบอกว่าไม่ต้องกลัว
ผู้บังคับบัญชาจะดูแลอย่างดี ถ้าเราทำด้วยเจตนาดี
ก็ต้องได้รับการตอบแทนที่ดี” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่าทหารที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่
มีความคืบหน้าทางคดีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า
อยากให้สื่อช่วยไปเร่งให้ด้วยว่าคดีของทหารเป็นอย่างไร
ไม่ว่าเหตุการณ์ชุมนุมปี 2553 เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 และช่วยภัยแล้งปี
2555 ก็เป็นทหารชุดเดียวกัน
ต้องเข้าใจว่าใครสั่งเขาก็ต้องทำและมีหลักการว่า
ต้องปฏิบัติภารกิจให้เสร็จถึงจะกลับเข้าหน่วยได้
ต้องดูความเป็นจริงว่า เมื่อปี 2553 หากไม่มีการใช้อาวุธ
ทหารก็ไม่นำอาวุธออกไป ขอให้ความเป็นธรรมกับทหารด้วย อยากฝากถึงสื่อมวลชน
ไปถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
เพราะตนไม่สามารถไปถามได้เนื่องจากเป็นข้าราชการ
บางอย่างที่อยากพูดก็พูดไม่ได้และที่ไม่พูดก็ไม่ใช่
ไม่กล้าหรือกลัวหรือมีผลประโยชน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น