ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด อยู่ในเรือนจำถึงวันนี้เป็นเวลา 5 ปีกว่า สุชาติ นาคบางไทร อยู่ในเรือนจำ 2 ปีกว่า ทั้งคู่เป็นอดีตผู้ต้องโทษคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยที่สนามหลวงในช่วงหลังรัฐประหารไม่นาน และขบวนการต่อต้านรัฐประหารอย่าง คนเสื้อแดง หรือระดับนำอย่าง นปช. ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว
ดารณี ในวันนี้ยังคงอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลางเช่นเคย ความคืบหน้าหรือความเปลี่ยนแปลงที่พอจะมีอยู่บ้างคือ คดีของเธอถึงที่สุดแล้วตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาในชั้นอุทธรณ์ โดยเธอตัดสินใจไม่ยืนฎีกา ด้วยหวังว่าเมื่อคดีถึงที่สุดอาจได้ย้ายเรือนจำไปอยู่ยังที่ที่ดีกว่า ขณะที่สุชาติ นาคบางไทร ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 24 ส.ค.55 และเขายังคงวนเวียนทำกิจกรรมทางการเมืองเช่นเคย โดยเฉพาะการจัดเดี่ยวโทรโข่ง พูดคุยเรื่องการเมืองทั้งในโรงแรมและท้องสนามหลวง ... ที่ที่พวกเขาเริ่มต้น
น่าสนใจว่า ผ่านมา 7 ปี นักต่อต้านทั้งสองมองเห็นสิ่งใดบ้าง
สำหรับดารณี เวลา 15 นาทีของการเยี่ยมเป็นข้อจำกัดในการสนทนา แต่ก็เพียงพอที่เธอจะกล่าวถึงความรู้สึก “ผิดหวัง”
“7 ปีหลังรัฐประหาร ในทัศนะของดา ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยในแง่กาพัฒนาทางการเมือง ได้แต่ความสูญเสียที่ได้กับตัวเอง เช่น วันนี้ขนาดกฎหมายนิรโทษกรรมก็ยังไม่กล้าจะพูดถึงคดี 112 ทั้งที่มันเป็นคดีทางความคิด สมัยก่อนคดีคอมมิวนิสต์ยังได้รับการนิรโทษได้ ในทางความคิดนั้นรุนแรงกว่ามาก ดาไม่เคยพูดว่าไม่ต้องการสถานบัน แต่ต้องการแบบญี่ปุ่นหรืออังกฤษ แต่สำหรับคดีคอมมิวนิสต์ออกมาจากป่าก็ยังไม่ต้องติดคุก นี่คือพัฒนาการทางการเมืองที่ล้าหลัง ถอยหลังกว่าเดิม”
“ทำไม่ได้ รัฐบาลอย่าพูดคำนี้ ไม่มีพวกเรา คุณจะได้อยู่ตรงนั้นไหม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คงไม่ออกมา ไม่ใช่เพราะตัวติดคุก กลัวตาย แต่ถ้ารู้ว่าสู้แล้วได้ตัวแทนแบบนี้ ไม่ออกมาดีกว่า”
“19 กันยา ยังต้องจัดรำลึกเพื่อให้ประชาชนรุ่นต่อไปได้รู้ว่าการรัฐประหารไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น”
“อนาคตหรือ คงไม่มี ถ้าอยู่อย่างนี้ก็คงทิ้งตายในคุก อาจจะรอให้มีการพักโทษตามระเบียบของเรือนจำ ว่าหากเหลือโทษ 1 ใน 3 อาจได้รับการพักโทษ แต่คดีแบบนี้ก็ไม่เหมือนคนอื่น ต้องมีคณะกรรมการพิเศษพิจารณาอีก”
“อนาคตของสังคม ไม่ตั้งความหวังอะไรแล้ว โอเค เศรษฐกิจอาจจะดีขึ้นกว่าสมัยประชาธิปัตย์เพราะเขาบริหารได้ดีกว่าจากพื้นฐาน การเป็นนักธุรกิจ แต่อย่างอื่นไม่คาดหวังแล้ว ก็ได้แต่หวังว่า ประชาชนเสื้อแดงจะใจกว้างกว่านี้ เหลียวมองคนที่ติดคุกบ้าง อย่างน้อยก็ร่วมสู้กันมา”
“19 กันยา ถึงวันนี้ จุดบอดที่สุดคือกระบวนการยุติธรรม 2 ปีนึกว่าจะมีอะไรที่ปฏิรูปได้บ้าง แต่ก็ไม่มี เห็นแต่การแบ่งสรรตำแหน่งกัน นี่แทบจะหันหลงให้การเมืองแล้ว”
“โดยส่วนตัวอยากไปคุกหลักสี่ ยินดีจะไปตายที่นั่น อยู่ที่นี่มีปัญหาเยอะและแออัดมาก เนื้อที่ 4 ไร่ จะ 1,800 คนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแดนนอก ที่นอนตอนนี้ห้องหนึ่งก็นอนกันเกือบ 170 คน เฉลี่ยมีพื้นที่ประมาณ 40 ซม.ต่อคน”
“ไม่รู้สิ จะเรียกว่าดา ตอร์ปิโด เสียค่าโง่ก็ได้”
===============================
สุชาติ นาคบางไทร :
ทำไมยังจะต้องจัดรำลึก 19 กันยาอีก เห็นบางกลุ่มไม่จัดแล้ว
มันยังต้องจัด งานรำลึกมี 2 เรื่อง เรื่องดีต้องรำลึกไว้ เรื่องไม่ดีก็ต้องยิ่งรำลึก โดยเฉพาะมันไม่ใช่ว่าจะจบ สิ่งที่ทำเมื่อ 7 ปีที่แล้วและตลอดมานี้มันเป็นการต่อสู้ ยังไม่จบ เรายังอยู่และเขาก็ยังอยู่
การรำลึกมี 2 นัย เพราะมีผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ในช่วงดังกล่าวเยอะ เราต้องรำลึกถึงเขา แล้วก็บอกคนที่ที่ทำว่าเรายังต่อต้านอยู่ เรายังเจ็บแค้นอยู่ ยังไม่มีการชำระจิตใจของประชาชน อย่าคิดว่าไปอยู่ในสภาแล้วคือการยอมรับ ไม่ใช่ นั่นคือการฟอกตัวเอง
หนทางจบคืออะไร
มีข้อเรียกร้องหนึ่งที่พูดไปแล้ว คือ ขอเรียกร้องข้อเดียวต่อสนธิ บุยญรัตนกลิน ถ้าคุณยืนยันว่าทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อไม่ให้ประชาชนฆ่ากัน ถ้ามีเจตนาบริสุทธิ์ ขอให้สนธิ บุญรัตนกลิน ไปผูกคอตายภายใน 1 ปีนับจากนี้ไป ถ้าเขาทำผมจะเชื่อ
นี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องจริงๆ
ข้อเรียกร้องนี้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะใจเขามันสู้ใจลุงนวมทอง สู้ใจประชาชนไม่ได้
รัฐประหารก็ไม่ได้เกิดจากสนธิคนเดียว
เขาบอกแล้วว่าตายก็เล่าไม่ได้ เราไม่ได้สนใจวาทกรรมเขาหรอกและเราก็ไม่ได้อยากฟัง แต่มันเป็นการอ้าง ไม่ว่าใครเป็นคนบงการคุณ คุณต้องรับผิดชอบ และเขาก็อ้างว่ามีคประชาชนเขียนไปรษณียบัตรมาถึงเขาเรียกร้องให้เขาทำรัฐ ประหาร ผมก็อยากเห็นจดหมายนั้นว่ามันมีกี่ฉบับ แล้วถ้าผมเขียนได้มากกว่านั้นให้คุณไปผูกคอตายคุณจะทำไหม การที่พูดว่าให้คุณไปฆ่าตัวตายก็ไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปฆ่าตัวตายหรอก มันก็เหมือนกับการที่คุณบอกว่ามีคนส่งจดหมายมาให้คุณไปปฏิวัตินั่นแหละ ไร้สาระเหมือนกัน คุณก็อ้างมั่วๆ ผมก็ให้คุณไปตายมั่วๆ
7 ปีมองย้อนกลับไป จนถึงวันนี้คิดว่าสภาพการเมืองก้าวหน้าหรือถอยหลังอย่างไร
ก้าวหน้าล้วนๆ เลย ช่วงใหม่ๆ เหมือนเหตุการณ์จะถอย แต่พอมาถึง 7 ปีนี้ เห็นแล้วว่า ทุกหมู่เหล่า ตัวละครทุกตัว ล้วนเป็นตัวประกอบให้ประชาธิปไตยก้าวหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาก็คงไม่เข้าใจว่าจะทำให้เกิดวันนี้ เราเองก็ไม่ได้คิดว่าการต่อต้านของเราจะไปไกล
7 ปีมานี่มันทำให้ประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ย้อนได้เป็นร้อยปี ทำให้ประชาชนอยากรู้อยากเห็นในทางการเมือง แล้วที่สำคัญคือ เอาตัวเข้ามาร่วม เอาตัวเข้ามาแลกกับสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ อยากให้เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรืออิสรภาพ ตรงนี้ยิ่งใหญ่มาก
ในแง่เศรษฐกิจดูเหมือนจะถดถอย แต่มันถดถอยไปเพื่อจะยืนยันว่าระบอบเผด็จการมันไปไม่ได้ จะได้เตือนเยาวชนรุ่นใหม่ว่า มันไม่ใช่ทางออกให้เศรษฐกิจและประชาคมโลกยอมรับ
ถึงวันนี้มองพรรคเพื่อไทยอย่างไร
ที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงจะพูดประเด็นนี้เพราะมันจะทำให้คนตามผมได้ยาก คนอาจจะบอกว่าผิดเสียก่อนที่จะฟังความคิดผม แต่ผมบอกเลยว่า พรรคล้าหลังกว่าประชาชนมาก เป็นกลุ่มการเมืองที่น้อมรับวัฒนธรรมของศักดินามาอยู่ดี แต่เนื่องจากเขาใกล้กับประชาชนมากกว่า ก็เลยต้องมาคลุกคลีกับประชาชนมากกว่ากลุ่มอำนาจเก่า คลุกไปคลุกมาก็โดนประชาชนครอบไปบ้างแล้วโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็กลืนประชาชนไปได้บ้าง ประชาชนที่อ่อนน้อมหรือหัวอ่อน แต่สำหรับพวกเราหรือชาวสนามหลวง เราไม่หัวอ่อน ไม่ใช่ประชาชนของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ประชาชนที่จะมาต่อต้านประชาธิปัตย์เท่านั้น บางทีวันหนึ่งประชาธิปัตย์อาจเป็นขวัญใจเราก็ได้ เพื่อไทยอาจเป็นพรรคที่เราเกลียดมากที่สุดก็ได้ เพราะเราเป็นผู้ตัดสิน เราไม่ใช่ผู้ยืนอยู่เพื่อทักษิณ ไม่ใช่คนของทักษิณ แต่เป็นคนของแผ่นดินนี้ วันนี้เราต้องมั่วนิ่มไปกับพรรคเพื่อไทยเพื่อต่อสู้กับอำนาจเก่าไปก่อน สักวันหนึ่งก็ต้องมาชำระสิ่งที่เพื่อไทยทำอะไรหมักหมมไว้ใต้พรมด้วย แต่วันนี้สงวนไว้ก่อนเพราะเนื่องจากประชาชนเรายังชอบใช้วัฒนธรรมเก่าคือชู บุคคล ชูพรรคที่ตัวเองรัก โดยไม่สนใจว่าบุคคลหรือพรรคที่ตัวเองชอบนั้นทำอะไรที่ไม่เข้าท่าเหมือนกัน
ดูเหมือนจะมองสอดคล้องกับนักวิชาการบางส่วนวิพากษ์ว่าคนเสื้อแดงปกป้องพรรคอย่างมาก คิดว่าสถานการณ์นี้จะคลี่คลายไหม อย่างไร
คลี่คลายได้ แน่นอน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อประชาชนรวมตัวกันได้แล้วมีความแข็งแกร่งพอที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หรือฝ่ายค้านหรือหน่วยงานใดๆ ในแผ่นดินนี้ได้ด้วยตัวเอง เราพูดเพื่อให้ก้าวหน้า ไม่ใช่ให้ถอยหลัง ถึงต้องเตือนกันว่าประชาชนยังยืนอยู่และมีสมองอยู่ ไม่ใช่ต้องทำตามคุณทั้งหมด อยากให้รู้ก็ให้ ไม่อยากให้รู้ก็ปกปิด ต้องแฟร์กับประชาชน แต่โดยรวมแล้วเขาก็ทำได้ดีกว่าแต่ก่อน แต่ยังเกรงใจสิ่งอื่นมากกว่าเกรงใจประชาชน
ถ้าประชาธิไตยไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น คนเสื้อแดงจะหายไปไหม
คำว่า “คนเสื้อแดง” มันนิยามไม่เหมือนกัน ถ้าไปถามณัฐวุฒิ (ใสยเกือ้) กับสุชาติ (นาคบางไทร) อาจได้คนเสื้อแดงคนละความหมายกัน คนเสื้อแดงของผมคือคนที่มีจิตวิญญาณของการต่อสู้ คนที่มีอิสระเสรีภาพตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ดังนั้น มันก็ไม่หาย คนวันเสาร์ฯ ก็ไม่หาย ไม่ว่าจะไปอยู่จุดไหนเขาก็ก้าวหน้าในอุดมการณ์ของเขาได้ มันอยู่ในตัวอยู่แล้วโดยไม่ต้องใส่เสื้อแดงด้วย แต่ถ้าเป็นเสื้อแดงของคุณณัฐวุฒิ จตุพร จะน้อยลงไปหรือเปล่าไม่รู้ หรือจะมีเฉพาะเมื่อมีงบมา มีเวทีใหญ่
ช่วงหลังปี 49 มีกลุ่มย่อยมาปราศรัยที่สนามหลวง บรรยากาศช่วงนั้นเป็นอย่างไร แล้วดารณีมีบทบาทอย่างไร
ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายปี 2549 ที่มีกลุ่มต่างๆ เริ่มออกมาต่อต้านรัฐประหาร และเบ่งบานสูงสุดตอนกุมภาพันธ์ มีนาคมปีถัดมาก่อนจะมีพีทีวี แล้วเราก็สลายกันไป มีกลุ่มย่อยหลายกลุ่มใช้สนามหลวงจัดกิจกรรม คนฟังก็ไม่เยอะ ประมาณ 100-200 คน ซึ่งตอนนั้นสนามหลวงก็มีคนเร่ร่อนเยอะ ถ้านับคนเร่ร่อนไปด้วยก็ต้องขออภัย แต่มันก็มีประมาณนั้นจริงๆ
กลุ่มที่ออกมากลุ่มแรกเลยคือ กลุ่ม 19 กันยาต้านรัฐประหาร พวกคุณอุเชนทร์ เชียงเสน บก.ลายจุด เหล่านี้ หลังจากนั้นเราก็รวมมั่ง เป็นกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ พร้อมๆ กันนั้นก็มีกลุ่มพิราบขาวของคุณนพรุจ (วรชิตวุฒิกุล) ด้วย เขาดูเหมือนมีการจัดตั้งด้วย 20-30 คน เท่มาก มีเสื้อสีดำ ป้ายผ้าอันใหญ่ แต่เราคนเยอะกว่าแน่นอนเพราะคนอยู่ในเน็ตอีกเป็นพัน กลุ่มคนวันเสาร์ฯ ก่อตัวจากในโลกไซเบอร์ จากนั้นก็มีกลุ่มของคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข คือกลุ่ม 24 มิถุนายประชาธิปไตย กลุ่มของบก.ลายจุดที่แตกมาจาก 19 กันยาฯ เป็นกลุ่มพลเมืองภิวัตน์ เป็นต้น แต่ละกลุ่มก็จะตกลงกันว่าใครจะจัดกิจกรรมวันไหน สำหรับกลุ่มคนวันเสาร์ฯ ก็เคลื่อนไหวจริงจังพอสมควรมีเว็บ มีเวที ขายซีดี เคลื่อนไหวกันตลอด 5 เดือนก่อนจะมีเวทีใหญ่ เราก็ดีใจมีคนมารับไม้ เพราะเราก็ไม่ได้มีทุนรอนอะไร ต้องแชร์กันอยู่ทุกอาทิตย์
ตอนนั้นผู้คนน่ารักมาก ไม่รู้มาจากไหนก็มาช่วยกันพูด ช่วยกันฟัง พี่ดาก็มาจากไหนไม่รู้ แต่เขาพูดดี ก็ชวนเขามาพูดบ้าง เขามาขอพูดบ้าง พี่ดาเป็นคนมีความจริงใจมาก ไม่ได้มีกลุ่มก้อนของเขาเอง แล้วก็มาแจม คำพูดคำจาของเขาหนักแน่น ค่อนข้างแรง และการที่เขาเป็นสื่อมวลชนมาก่อนก็มีข้อมูลที่ทำให้เราฟังเพลินไปเหมือนกัน วิธีพูดเร้าใจ แสดงออกทั้งอารมณ์และข้อมูล ไม่ใช่แค่พูดเอาฮา เขาก็เป็นนักพูดประชาชน
แล้วมองอย่างไรที่ดา ตอร์ปิโด ยังติดคุกอยู่ตอนนี้
คดีนี้ใครก็สู้ไม่ได้ แต่พี่ดา พี่สมยศ เขาก็สู้ คดีนี้คุณต้องไม่สู้ ถ้าเขาจะสั่งให้คุณติดคุก คุณต้องติดคุก ติดแล้วรีบๆ ออก มันไม่ใช่เวลาที่จะสู้ แต่ผมพูดไม่ได้ เพราะทุกคนก็มีอุดมการณ์ของเขา ฉะนั้น ก็ได้แต่ให้กำลังใจและเคารพความคิดเขา แตถามว่าเป็นประโยชน์ไหมก็เป็นประโยชน์เหมือนกันในภาพรวมที่ทำให้ได้เห็น ปัญหาและเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจน
#######
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น