(ภาพจาก: http://sh000rty.deviantart.com/art/Open-mind-2-276460850)
“อย่าตั้งกรอบแล้วให้คนรุ่นใหม่ต้องเดินทางเส้นที่เรียกว่าความหวังดี แบบที่คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการ ขอให้เขาเหล่านั้นได้สร้างเส้นทางเดินในรูปแบบของเขาเอง การตำหนิคนรุ่นใหม่ว่าไม่ได้เรื่องสามารถกระทำได้ แต่ก่อนตำหนิอยากให้สังคมตั้งคำถามก่อนว่ารู้จักและเข้าใจวิถีชีวิตของคน รุ่นใหม่มากน้อยเพียงใด” คนรุ่นใหม่สนใจงานเพื่อสาธารณะลดลงจริงหรือไม่ มีเหตุปัจจัยใดที่ทำให้เป็นอย่างนั้น
แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้คนรุ่นใหม่ทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะนั้นมีหลายด้าน อาทิ การตระหนักรับผิดชอบต่อสาธารณะที่เล็งเห็นผลกระทบต่อสาธารณะที่เข้าเห็นว่า หากปล่อยไว้จะเกิดปัญหาขึ้นกับสังคม ความต้องการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสในการสร้างความเข้าใจและการตระหนัก รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้สังคมได้ตื่นตัว คนรุ่นใหม่ในแต่ละพื้นที่จะทราบปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่เป็นอย่างดี การออกมาแสดงบทบาทในลักษณะแบบคนรุ่นใหม่จึงเกิดขึ้น ด้วยความหวังที่ต้องการเห็นสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่เขาเหล่านั้น ตั้งมั่นไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในสถาบันการศึกษาหรือนอกสถาบันการศึกษาถือเป็นการ สร้างพลังความตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ต่อสาธารณะ
คนรุ่นใหม่ในยุคสังคมเทคโนโลยีสมัยใหม่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้าง การตระหนักรับรู้ให้เขาเหล่านี้มองเห็นถึงศักยภาพในตัวที่มีหลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนิน กิจกรรมเพื่อสาธารณะ อาทิ ความมีเอกภาพของคนรุ่นใหม่ที่สามารถติดต่อปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่นได้ ง่ายโดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในช่วงอายุรุ่นเดียวกัน คนรุ่นใหม่มีการยอมรับในความหลากหลายได้อย่างไม่มีอคติซึ่งถือเป็นพื้นฐาน สำคัญในการสร้างคนรุ่นใหม่ในการดำเนินงานสาธารณะ กล้าที่จะดำเนินกิจกรรมทั้งที่เป็นประเด็นเย็นและประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นใน สังคมระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ซึ่งเขาเหล่านี้สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วและพร้อมที่จะทดลอง สิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้เป็นอย่างดีไม่มีวาระซ่อนเร้นใดแอบแฝง ที่สำคัญเขาเหล่านั้นมีจิตใจที่มุ่งมั่นทำประโยชน์ต่อสาธารณะโดยที่ผล ประโยชน์ส่วนตนมาทีหลัง
ขณะเดียวกันการทำงานในรูปแบบคนรุ่นใหม่ต้องประสบกับปัญหาที่ทำให้กลายเป็น “ท่อนซุงใหญ่ขวางทางเดินสู่เป้าหมายที่ตั้งมั่นไว้” อาทิ การขาดกลยุทธ์และความคิดเชิงระบบ การขาดความรู้และประสบการณ์ในการดำเนินงาน การขาดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนานวัตกรรมในการดำเนินงาน การขาดการเรียนรู้ในการดำเนินงานเพื่อสาธารณะ การขาดความรู้เชิงประเด็นและความเชี่ยวชาญในการทำงานกับภาคส่วนต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลาย พร้อมทั้งยังไม่มีความมั่นคงในตัวเองก็เป็นจุดอ่อนหนึ่ง นอกจากนี้คนรุ่นใหม่บางส่วนจะขาดความมั่นใจในตัวเองเมื่อต้องแสดงออกต่อหน้า สาธารณะที่ทำให้ถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ การมีปัญหาภายในองค์กรกันเองจะทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถดำเนินงานได้ดีเพราะ มีความเป็นส่วนตัวสูง การดำเนินกิจกรรมที่ไม่ต่อเนื่องถือเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ยอม จำนนกับปัญหาเมื่อเกิดขึ้น ทำให้ส่งผลต่อถึงจำนวนคนทำงานในทีมจะค่อยๆ ลดลงและเหลือคนทำงานน้อย ต้องมองให้เห็นถึงแก่นปัญหาว่าเกิดขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยใดสามารถแก้ไขพัฒนา ให้เกิดศักยภาพได้หรือไม่
อย่างไรก็ดีการดำเนินงานของคนรุ่นใหม่ที่ทำให้มองเห็นทั้งจุดเด่นและจุด ด้อยแล้วนั้นใช่ว่าความหวังของสังคมจะลดลงเพื่อจุดอ่อนของคนรุ่นใหม่ค่อน ข้างมาก “ในวิกฤติย้อมมีโอกาส” ที่จะทำให้เกิดการหนุนเสริมการทำงานของคนรุ่นใหม่ได้ เป็นสิ่งที่ทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน รวมถึงองค์กรภาคประชาสังคมต้องให้ความสำคัญ องค์กรคนรุ่นใหม่ที่ก่อร่างสร้างองค์กรได้ไม่นานการบริหารจัดการองค์กรยัง ไม่มีประสิทธิภาพบางครั้งทำให้ขาดความเชื่อมันจากแหล่งงบประมาณสนับสนุนทั้ง จากองค์กรเพื่อการพัฒนาเอกชน รัฐบาล ภาคธุรกิจ และอื่นๆ องค์กรคนรุ่นใหม่เข้าถึงแหล่งสนับสนุนงบประมาณได้ลำบาก บางครั้งต้องดิ้นรนเพื่อหางบประมาณด้วยการเปิดหมวกขอรับบริจาคตามสภาพในตลาด นัดหรือสถานที่ซึ่งมีคนพลุกพล่าน หากมองว่าการเปิดกล่องขอรับบริจาคก็ดีแล้วทำให้เห็นความพยายามตั้งใจของคน รุ่นใหม่ที่อยากทำกิจกรรมอาสาพัฒนาลองมองอีกมุมหนึ่งดูว่า “จะดีแค่ไหนหากองค์กรคนรุ่นใหม่มีงบประมาณสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง” ทุกภาคส่วนต้องมองให้เห็นว่าองค์กรคนรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่ทางเลือกในการสนับ สนุนกิจกรรมบางอย่างที่ตรงตามแผนงานด้านเยาวชนที่เขาเหล่านั้นต้องเข้าร่วม ต้องสร้างกระบวนการคิดแบบมีส่วนร่วมให้กับเขาเหล่านั้นในการพัฒนาและต้องมอง ว่าเขาเหล่านั้นเป็นกำลังหลักที่จะต้องดำเนินงานร่วมเป็นภาคี ควรมององค์กรคนรุ่นใหม่เป็นองค์กรบริสุทธิ์ปราศจากการซ่อนเร้นไม่ใช่เขาเป็น เครื่องมือเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ ต้องพร้อมดำเนินงานร่วมเพื่อให้เกิดกลไกสำหรับองค์กรคนรุ่นใหม่ที่จะดำเนิน งานเพื่อสาธารณะ
นอกจากนี้ รัฐจะต้องวางนโยบายสนับสนุนการพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้สนใจการดำเนินงานเพื่อส่วน ร่วมและการสร้างองค์กรคนรุ่นใหม่ทั้งระดับพื้นที่และเครือข่ายระดับชาติ ต้องเปิดโอกาสและช่องทางให้คนรุ่นใหม่ได้มีเวทีในการแสดงออกให้มากที่สุด ไม่ควรมองว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่ทำเป็นการไม่อนุรักษ์วัฒนธรรมเดิมของท้องถิ่น หรือของชาติ สังคมต้องยอมรับให้ได้ในความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย เพราะบางวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาท้ายที่สุดอาจไม่ตอบโจทย์ สังคมแห่งการพัฒนาประชาธิปไตย ถ้าเขามองเห็นสิ่งที่เป็นปัญหาในการพัฒนาประชาธิปไตยย่อมส่งผลสู่กระบวนการ คิดค้นกลไกแก้ไขให้เกิดสังคมประชาธิปไตยตามที่รัฐพยายามสร้างให้เกิดขึ้น ให้เขาเหล่านั้นได้เรียนรู้การดำเนินงานทั้งที่สำเร็จและล้มเหลวของเขาเอง สังคมต้องให้ความช่วยเหลือสนับสนุนให้เกิดพลังคนรุ่นใหม่ให้มากที่สุด
“หากต้องการที่จะเห็นคนรุ่นใหม่ที่ดำเนินงานเพื่อสาธารณะจะเป็นอย่าง ยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ ต้องเปิดใจให้กว้างถ้าอยากให้สังคมมีความหวังในอนาคต” เริ่มจากทัศนคติของที่ไม่มองตนเองว่ามีประสบการณ์มากกว่าเพราะประสบการณ์ที่ แตกต่างของสังคมคนละยุคสมัยอาจยังไม่ตอบโจทย์สังคมปัจจุบัน ต้องสนใจคนรุ่นใหม่อย่างจริงจัง อย่าให้คนรุ่นใหม่ต้องมองตนเองว่าเป็นองค์กรด้อยเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กร ที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อสาธารณะอื่นๆของผู้ใหญ่ สังคมควรเปิดกว้างทางความคิดที่ไม่ต้องเน้นความเป็นวิชาการมากแต่เริ่มต้น เน้นกระบวนการกับคนรุ่นใหม่มากกว่า เนื่องจากบางครั้งการคิดแบบวิชาการไม่สามารถบอกได้ว่าคนเหล่านั้นจะดำเนิน ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข สิ่งที่อธิบายได้มากกว่าว่าคนรุ่นใหม่จะอยู่ในสังคมได้มีความสุข คือ “มนุษยสัมพันธ์ที่ดีในสังคม” และจะทำให้คนรุ่นใหม่ได้ตกผลึกทางความคิดเองได้
รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ไม่ควรจำกัดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและกิจกรรมทางการเมือง ไม่ควรนำความแตกแยกทางการเมืองของสังคมใหญ่มาเหมารวมกับคนรุ่นใหม่ หากกลไกทางกฎหมายเข้ามาแสดงบทบาทในการลงโทษคนรุ่นใหม่ที่คิดต่าง กฎนั้นเปรียบเสมือนเป็นกรงที่วางไว้เพื่อกักขังทางความคิดของคนรุ่นใหม่ เพราะเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” มีแต่จะนำไปสู่ความไม่กล้าแม้แต่จะตั้งคำถามต่อสิ่งที่ผิดแปลก หรืออาจร้ายแรงไปจนถึงการไม่กล้าคิด ไม่กล้าเขียน ไม่กล้าพูด จนทำให้ประชากรรุ่นใหม่ตกต่ำดำดิ่งลงหุบเหวแห่งความล้มเหลวของสังคม เพราะในเรื่องบางเรื่องหากเปิดเสรีได้จะดีขนาดไหนในการให้ข้อมูลที่เป็น ประโยชน์เพื่อพัฒนาสังคมในเชิงบวก สังคมต้องตั้งคำถามว่า “ไก่ที่ถูก เชือดไปเป็นไก่ที่ไร้คุณภาพ ไก่ที่เป็นปัญหาต่อการพัฒนา หรือเป็นการตัดสายพันธุ์ไก่ที่จะสืบทอดพันธุกรรมทางความคิดในการเปลี่ยน แปลง”
หากไก่ตัวนั้นเป็นไก่ที่สร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจที่ก่อให้เกิด “พลังในหมู่ลิงเกิดความคิดเพื่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบสังคมที่พันธนาการยุ่งเหยิงไร้ทิศทางขณะนี้” เมื่อคนรุ่นใหม่คิดต่างต้องโดนลงโทษด้วยข้อกฎระเบียบที่เป็นปัญหาไม่เปิด เสรีภาพแล้ว ความกลัวที่จะคิดต่างย่อมลดลง ลองจินตนาการถึงภาพสังคมที่คนไม่กล้าและต้องจำยอมกับอำนาจที่ไม่ชอบธรรมใน สังคมและละเลยให้อำนาจนั้นกดทับความเป็นมนุษย์ของทุกคนในสังคมไว้
(ภาพจาก: http://sh000rty.deviantart.com/art/GGGorilla-198662379)
สิ่งที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งการสนับสนุนงบประมาณจะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง
ที่จะทำให้เกิดการทำงาน
เมื่อเขามีงบประมาณในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องจะทำให้เขามีวัตถุดิบในการ
สร้างอาวุธเพื่อการพัฒนา
เขาเหล่านั้นจะสามารถซื้อวัถุดิบที่คาดว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดมาประกอบรวม
กันเป็นเครื่องเพื่อการขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาที่ฝืดให้เคลื่อนที่ได้อีกแรง
หนึ่ง
รวมถึงจะเป็นการกระตุ้นการตื่นตัวในตนเองที่ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
รอบตัวในสังคมหากต้องการให้เกิดการทำงานของคนรุ่นใหม่ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสาธารณะ เกิดพลังในการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง สาธารณะจะต้องสนใจและให้บทบาทคนรุ่นใหม่ให้มากที่สุด เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้เรียนรู้และเติบโตมาเป็นบุคลากรในการสร้าง สรรค์สังคม สังคมควรเรียนรู้บทเรียนการให้ความสำคัญที่ผิดพลาด สังคมที่ปิดกั้นการแสดงออกของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามต่อสิ่งที่เขาเหล่านั้น สงสัย “อย่าด่าก่อนที่จะฟังให้จบ อย่าสั่นรวนกลัวที่จะเห็นคนรุ่นใหม่แสดงความไม่รู้” หากสังคมต้องการให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนยอมรับในความแตกต่าง หลากหลายได้ สังคมต้องวางตนบนฐานที่สามารถยอมรับในความต่างระหว่างคนในรุ่นอายุที่ต่าง เช่นกัน คนรุ่นใหม่เหล่านั้นเขาอาจไม่ได้ก้าวร้าวอย่างที่สังคมจินตนาการ เพียงแค่เขาสงสัยในสิ่งที่ผิดแปลกในวิถีชิวิตของเขา จึงเป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องถามด้วยว่าเพราะเหตุใดคนรุ่นใหม่จึงมีแนว ความคิดย่างนั้น ระหว่างสังคมที่ดำเนินมาแบบยุ่งเหยิงในอดีตจนถึงปัจจุบัน แบบไหนจะเป็นสังคมที่จะสร้างความลงตัวในความแตกต่างได้มากกว่า
“ความคับแคบที่ไม่ยอมเปิดใจพิจาณาความแตกต่างของคนรุ่นใหม่ไม่ ใช่ทางออกที่จะนำไปสู่การพัฒนาคนรุ่นใหม่ มีแต่จะสร้างความกลัวให้เกิดขึ้น การกดทับทั้งทางความคิดและการกระทำมีแต่จะเป็นผลเสียต่อสังคมในอนาคต โอกาสสังคมขึ้นอยู่กับคนรุ่นใหม่เป็นสำคัญ ในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองที่ขัดแย้ง ช่วงระยะเวลานี้ต้องทำให้เขาเหล่านั้นได้เรียนรู้ความล้มเหลวให้มากที่สุด เพื่อที่ความล้มเหลวผิดพลาดนั้นจะกลายเป็นภูมิคุ้มกัน อย่าชี้นิ้วสกัดก่อนที่จะเห็นความตั้งใจของเขาเหล่านั้น สิ่งที่คนรุ่นก่อนมองว่าถูกวันนี้อาจผิดสำหรับคนรุ่นนี้ก็ได้ อย่าคิดแทนหากเห็นว่าคนรุ่นใหม่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เท่าเทียม วันหนึ่งเมล็ดพันธ์รุ่นใหม่ที่เติบโตด้วยกำลังของตัวเองจะเป็นไม้ต้นใหญ่ที่ ยืนสง่างามให้ร่มเงากับไม้ต้นใหม่ในอนาคตต่อไป”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น