เข้าสู่ยุคใหม่ของการเสนอกฎหมายโดยประชาชน
เมื่อ 22 พ.ย. 2556
กว่าหกปีของการรอคอย
และกว่าสามปีเต็มของการดิ้นรนในรัฐสภา
“พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย” ฉบับใหม่ก็ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
เหลือเพียงขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น
สังคมไทยก็จะเข้าสู่ยุคใหม่ของการเสนอกฎหมายโดยประชาชน
รัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนดว่า
ประชาชนจะเสนอกฎหมายได้โดยเข้าชื่อกัน 50,000 คน
และพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 ก็กำหนดรายละเอียดต่างๆ
ตามมา เช่น
ต้องใช้หลักฐานเป็นสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของคนทั้ง 50,000
ประธานรัฐสภามีอำนาจสั่งไม่รับร่างกฎหมายของประชาชนได้หากเป็นกฎหมายที่ไม่
เข้าหมวด 3 หรือหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกว่า 15 ปีภายใต้ระบบนี้
สิทธิการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชนแทบไม่เกิดขึ้นได้จริง
จึงนำมาสู่การผลักดันเพื่อแก้ไขเสียใหม่
รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดใหม่ว่า ประชาชนจะเสนอกฎหมายได้โดยเข้าชื่อกัน 10,000
คน ด้านภาคประชาชนอย่างมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและสถาบันพระปกเกล้า
ต่างจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายแล้วรวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอเพื่อวางระบบการเข้าชื่อเสนอกฎหมายแบบใหม่
ส่งเสริมการใช้สิทธิของประชาชนให้มีความหวังมากขึ้น
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของภาคประชาชนถูกนำมาพิจารณารวมกับร่างฉบับของรัฐบาล และแก้ไขกันในชั้นพิจารณา
จนเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2556
รัฐสภาลงมติผ่านร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย ร่างฉบับที่ผ่านการพิจารณานี้แม้จะแก้ไขปัญหาเดิมๆ ไปแล้วหลายอย่าง
แต่ก็เพิ่มขั้นตอนใหม่ๆ
ขึ้นมาที่อาจมีนัยยะสำคัญต่อการใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชนในอนาคตได้
รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 กำหนดให้ลดจำนวนผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายจาก 50,000
คนเหลือ 10,000 คน ซึ่งระหว่างที่พระราชบัญญัติเข้าชื่อเสนอกฎหมายฉบับปี
2542 ยังใช้บังคับอยู่แต่ทางปฏิบัติก็ยอมรับกันที่จำนวน 10,000
คนตามรัฐธรรมนูญแล้ว ตามกฎหมายใหม่ได้แก้ไขให้ชัดเจนแล้วว่า
ต้องการรายชื่อเพียง 10,000 คนจริงๆ
"หลักฐานประกอบ"
สำหรับการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เป็นอุปสรรคที่สร้างภาระให้กับภาคประชาชนอย่างมาก
เพราะกฎหมายเดิมกำหนดให้ใช้ทั้งสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน
ทั้งที่ปกติคนจะไม่พกทะเบียนบ้านติดตัวหรืออาจจะทิ้งไว้ที่บ้านในต่าง
จังหวัด
ทำให้หลายครั้งคนที่ต้องการสนับสนุนกฎหมายก็ไม่สะดวกที่จะใช้สิทธิของตัวเอง
ได้ ตามกฎหมายใหม่จึงกำหนดให้ใช้เพียงสำเนาบัตรประชาชนอย่างเดียว
ถือเป็นอันปิดฉากข้อวิจารณ์ที่มีมายาวนานได้อย่างลงตัว
ประกาศรายชื่อผ่านอินเทอร์เน็ต และส่งจดหมายแจ้งไปยังผู้เข้าชื่อทุกคน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
กระบวนการตามกฎหมายเดิมคือ
หลังจากตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของรายชื่อแล้ว
รัฐสภาจะส่งรายชื่อไปปิดประกาศไว้ตามองค์กรปกครองส่วนภูมิภาคและส่วนท้อง
ถิ่นต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมาตรวจสอบว่ามีชื่อของตัวเองอยู่หรือไม่
ถ้าหากพบว่ามีชื่อของตนอยู่ทั้งที่ไม่เคยไปเข้าชื่อฉบับนั้นๆ
ก็ให้มาทำเรื่องคัดค้าน
ซึ่งที่ผ่านมากระบวนการนี้มีปัญหาว่าตามปกติไม่มีใครเดินทางไปยังหน่วยงาน
ต่างๆ
เพื่อตรวจสอบรายชื่อของตัวเอง
แถมยังเคยปรากฏว่าผู้มีอำนาจในท้องถิ่นเองเป็นคนตรวจสอบรายชื่อ
และมีการใช้อำนาจข่มขู่คนที่เคยเข้าชื่อเสนอกฎหมายให้ไปถอนชื่อออกด้วย
กระบวนการตามกฎหมายใหม่กำหนดให้รัฐสภามี
หน้าที่ประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายทาง
“สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ”
ซึ่งตีความได้ว่าจะต้องใช้ช่องทางอินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์
และต้องจัดเอกสารไว้ให้ประชาชนตรวจสอบรายชื่อได้ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้
แทนราษฎร โดยไม่ได้กำหนดให้ปิดประกาศตามที่ต่างๆ ในท้องถิ่น
กระบวนการที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ
รัฐสภาต้องส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายทุกคนด้วย
ว่าเป็นผู้มีรายชื่อปรากฏอยู่เพื่อให้ผู้มีรายชื่อทราบ และหากมีการปลอมแปลงรายชื่อมาก็จะได้ใช้สิทธิของตนคัดค้านได้
ต้องมีผู้ริเริ่ม 20 คน แจ้งต่อประธานสภาให้พิจารณาเรื่อง “หมวด 3 หมวด 5” ก่อน
ตามกฎหมายเดิมไม่มีระบบการ “แจ้งก่อน” ถ้าใครหรือคนกลุ่มใดต้องการจะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอกฎหมายใด
ก็สามารถเริ่มดำเนินการเองได้เลยไม่ต้องแจ้งต่อหน่วยงานใดก่อน
ซึ่งมีข้อดีคือ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพริเริ่มได้โดยอิสระ
แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือ
ร่างกฎหมายหลายฉบับหลังจากที่ประชาชนลงทุนไปมากมายกับกิจกรรมล่ารายชื่อ
เมื่อนำไปยื่นเสนอต่อรัฐสภากลับถูกประธานรัฐสภาวินิจฉัยว่าเป็นร่างกฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับหมวด 3
ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย หรือหมวด 5
ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประชาชนไม่มีสิทธิเสนอ
จึงไม่รับร่างกฎหมายไว้พิจารณา
ทำให้ความพยายามทุ่มเทในการรวบรวมรายชื่อนั้นเป็นอันสูญเปล่าไป
กระบวนการตามกฎหมายใหม่จึงกำหนดให้
ก่อนเริ่มทำกิจกรรมรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายใด ต้องมี “ผู้ริเริ่ม”
ไม่น้อยกว่า 20 คน เสนอเรื่องและร่างกฎหมายให้ประธานรัฐสภาพิจารณาก่อน
หากประธานรัฐสภาเห็นว่าเป็นร่างกฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับหมวด 3 หรือหมวด 5
ของรัฐธรรมนูญก็ให้ส่งเรื่องคืน
เพื่อจะได้ไม่ต้องไปล่ารายชื่อให้เสียเปล่าแล้วมาถูกปัดตกภายหลัง
กระบวนการนี้อาจลดปัญหาความขัดแย้งว่าร่างกฎหมายฉบับไหนเกี่ยวข้องกับหมวด 3 หรือ
หมวด 5 ลงได้บ้าง
แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มภาระและขั้นตอนให้กับการใช้สิทธิของประชาชน
จึงต้องรอดูทางปฏิบัติกันต่อไปว่าระบบใหม่นี้จะช่วยแก้ปัญหาหรือเพิ่มอุปสรรคกันแน่
กกต. หายไป สภาพัฒนาการเมือง, สำนักงานเลขาฯ, คปก. เพิ่มเข้ามา
ตามกฎหมายเดิม ประชาชนอาจขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.
ช่วยดำเนินการในขั้นตอนการรวบรวมรายชื่อได้
แต่ตามกฎหมายใหม่ตัดบทบาทส่วนนี้ของกกต.ออกไปทั้งหมด
ทำให้ประชาชนไม่อาจขอให้หน่วยงานใดช่วยเหลือในการรวบรวมรายชื่อให้ครบ
10,000 ชื่อได้แล้ว ต้องทำเองทั้งหมด
ขณะที่ตามกฎหมายใหม่กำหนดให้ประชาชนมีสิทธิขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการล่ารายชื่อจาก
กองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองของสภาพัฒนาการเมืองได้
และสามารถขอให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหรือสำนักงานคณะกรรมการ
ปฏิรูปกฎหมาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายได้
รัฐสภาต้องตรวจสอบรายชื่อภายใน 45 วัน
ตามกฎหมายเดิมไม่มีกำหนดกรอบเวลาให้รัฐสภาสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของหลักฐานและรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ทำให้กฎหมายหลายฉบับถูกดองไว้ในกระบวนการตรวจสอบรายชื่อนานเกินจำเป็น
ตามกฎหมายใหม่จึงกำหนดหน้าที่ของรัฐสภาให้ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสารให้เสร็จภายใน 45 วัน
กำหนดโทษการหลอกให้คนลงชื่อ และการปลอมลายมือชื่อ โทษสูงสุดสิบปี
ตามกฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดโทษและความผิดฐานนี้
แต่การปลอมลายมือชื่อย่อมเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
264 อยู่แล้ว ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายฉบับใหม่กำหนดให้ผู้ที่ปลอมลายมือชื่อในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
นอกจากนี้กฎหมายใหม่ยังกำหนดว่า ผู้ใดให้ ขอให้
หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ
หรือใช้อิทธิพลคุกคามเพื่อให้ร่วมลงชื่อหรือไม่ลงชื่อ
เป็นความผิดมีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
ซึ่งการกำหนดเช่นนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าหากมีการโฆษณาให้ประชาชนมาเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยรับรองว่าถ้ากฎหมายฉบับนั้นๆ
ผ่านจะเป็นประโยชน์กับประชาชน เช่นนี้จะเป็นความผิดด้วยหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น