แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทางออกประเทศไทย – ต้องสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จ

ที่มา ประชาไท



สถานการณ์การเมืองของไทยวันนี้อยู่ในภาวะวิกฤติ อันมีสาเหตุจากอำนาจการปกครองของรัฐที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แม้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 2 จะเขียนหลอกไว้ก็ตาม  แต่ในความเป็นจริงการปกครองไทย เป็นประชาธิปไตยเพียงในรูปแบบ แต่ในสาระไม่ใช่ ปัญหาคือระบอบการปกครองของไทยเป็นระบอบเผด็จการ ที่อำนาจการปกครองเป็นเพียงของกลุ่มบุคคล โดยกลุ่มบุคคล และเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น ซึ่งเป็นมาตั้งแต่หลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ตลอดมา แต่วันนี้ประชาชนได้มีความรู้ มีความก้าวหน้า มีความต้องการประชาธิปไตย ต้องการเป็นเจ้าของอำนาจการปกครอง ต้องการมีสิทธิ มีเสรีภาพบริบูรณ์ ต้องการความเสมอภาค และต้องการความยุติธรรม จึงได้ร่วมกันเคลื่อนไหว เพื่อขอให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่เป็นเผด็จการ ให้เป็นระบอบประชาธิปไตย

ในสภาพที่อำนาจการปกครองของรัฐ ไม่เป็นของปวงชนตามหลักการของลัทธิประชาธิปไตย ทำให้ประเทศไทยต้องด้อยพัฒนาในเกือบทุกด้าน เมื่อเทียบกับประเทศประชาธิปไตยอื่นทั่วโลก ประชาชนไทยถูกรอนสิทธิ เสรีภาพ ขาดความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ประชาชนถูกละเมิดสิทธิโดยรัฐเผด็จการหลายรูปแบบตลอดมา โดยใช้กลไกต่างๆของระบอบเผด็จการ โดยการบังคับใช้กฎหมาย เช่นกฎหมาย ”หมิ่น” หรือกฎของระบอบเผด็จการอื่น ที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ตราขึ้นตามหลักนิติธรรม แต่เป็นเพียงกฎที่เป็นเครื่องมือปกครองของระบอบเผด็จการเท่านั้น

ยิ่ง ไปกว่านั้น รัฐเผด็จการยังได้ใช้กระบวนการยุติธรรมที่ฉ้อฉล บิดเบือนกฏหมายเพื่อประโยชน์พวกตน รวมถึงการใช้อำนาจปราบปรามประชาชน ที่ต้องการประชาธิปไตย โดยใช้พรรคการเมือง ใช้กลุ่มบุคคลที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ใช้ศาลที่ไม่มีอิสระ ทำหน้าที่ของระบอบเผด็จการ “ตุลาการธิปไตย” และใช้องค์กรอิสระ เป็นเครื่องมือเพื่อละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน โดยเรียกว่าองค์กรตาม “รัฐธรรมนูญ” ที่สมมุติเอาเองว่าเป็นกฎหมายสูงสุด เพื่อหลอกให้เห็นว่าองค์กรอิสระมีความชอบธรรม ตามลัทธิปกครองแบบรัฐธรรมนูญ

องค์กรเหล่านี้หลายองค์กร ไม่ได้อยู่ภายใต้หลักการประชาธิปไตย แต่ระบอบเผด็จการได้ใช้องค์กรเหล่านี้ เพียงเพื่อให้เป็นอำนาจรัฐซ้อนอำนาจรัฐ เพื่อ ให้บุคคลและกลุ่มบุคคลมีอำนาจเหนืออำนาจปวงชน เหนือประชาธิปไตย เหนืออำนาจอธิปไตยของรัฐ ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยอ้างหลักธรรมาภิบาลบ้าง อ้างเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่เหตุผล เช่นการรักชาติ การรักหรือหมิ่นสถาบันกษัตริย์ โดยการอ้างว่าอาจจะมีประโยชน์ทับซ้อน ”อาจจะ” ทุจริต แม้ว่าบุคคลจะไม่ได้ทำผิดจริง ไม่ได้ทำความเสียหายอะไร ก็สามารถถูกตัดสินให้ติดคุกได้ โดยระบอบของเผด็จการไทยปัจจุบัน

เห็น ได้ชัด จากสภาพการปกครองไทยในระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ แม้เป็นรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตย ที่ควรเป็นผู้ถือดุลอำนาจการปกครองของรัฐ ตามระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐสภาก็ไม่ได้เป็นผู้ถือดุลอำนาจรัฐอย่างแท้จริง แต่อำนาจได้ถูกกำหนดโดยเครื่องมือของระบอบเผด็จการ คือรัฐธรรมนูญระบอบเผด็จการเพื่อล็อคอำนาจรัฐไว้กับองค์กรอื่น ไม่ให้องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยของรัฐ มีอำนาจเต็มทำตามหน้าที่และระบบของตนเองได้

อำนาจอธิปไตยของรัฐไทย จึงเป็นปัญหา ระบอบการปกครองแบบเผด็จการนี้ ได้สั่งสมปัญหาการเมืองการปกครองไว้มากมาย แม้แต่การตรากฎหมายหลายฉบับของรัฐสภาก็ไม่สามารถทำได้แบบปกติ แม้พรรคการเมืองของประชาชนก็ถูกยุบได้ง่ายๆ ด้วยหลักฐานอันเป็นเท็จ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งก็สามารถถูกให้ออกจากตำแหน่งได้ง่ายๆ โดยองค์กรเหนือรัฐเหล่านี้ เพราะกฎหมายที่นำมาใช้ในกระบวนการยุติธรรมของไทย ส่วนใหญ่มาจากกฏของรัฐประหาร ไม่ใช่กฎหมายของประชาธิปไตย กฏหมายจึงขาดความชอบธรรมตามหลักนิติธรรม ซ้ำร้ายกฎหมายยังถูกใช้ โดยมอบให้เป็นดุลพินิจของอำนาจตุลาการแบบโบราณ ที่ไม่มีส่วนยึดโยงกับประชาธิปไตย แต่อย่างใด ศาลไร้การตรวจสอบ ทำให้การใช้กฎหมาย ผิดหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม (Rule of Law) สากล คำวินิจฉัยศาล จึงถูกๆผิดๆ เป็นตามอำเภอใจหรือตามใบสั่ง ในลักษณะไร้มาตรฐานความยุติธรรม ซึ่งกลายเป็นตัวเร่งทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรง ในสังคมไทยปัจจุบัน

โดยสถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ ถือเป็น “สถานการณ์ปฏิวัติ” ที่ มีเงื่อนไขคือ มวลชนหลายสีหลายพวกที่เคยล้าหลังมีการเรียนรู้ เข้มแข็งขึ้น มีความตื่นตัวก้าวหน้าทางการเมือง ปรารถนาการปกครองแบบประชาธิปไตย จะไม่ยอมให้ผู้ปกครองเผด็จการปกครอง  จึงร่วมกันเคลื่อนไหว จำนวนมาก เพื่อแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริง แม้จะมีหลายกลุ่มประชาชนก็เคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือระบอบประชาธิปไตย ผู้ปกครองระบอบเผด็จการจะหมดความสามารถในการปกครอง และจะปกครองไม่ได้ ไม่ว่าพรรคใด

ในสถานการณ์ปฏิวัติ เมื่อมีผู้นำการเคลื่อนไหว ประชาชนก็จะเคลื่อนตามผู้นำ แต่แกนนำจะพาไปสู่ประชาธิปไตยหรือไม่ คือปัญหาของแกนนำ ประชาชนอาจจะไม่รู้ตอนเริ่มต้น แต่จะรู้ได้เสมอในภายหลัง เมื่อรู้ตัวว่าไม่ใช่ ประชาชนก็จะกลับตัว กลับใจ และกลับทิศทางการเคลื่อนไหว ไปสู่ประชาธิปไตยที่เขาต้องการเอง  ในสถานการณ์ปฏิวัติดังกล่าว จะเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนไม่ยอมรับผู้ปกครองเผด็จการ ไม่ว่าใคร พรรคใด กลุ่มใด ถ้าระบอบการปกครองไม่เป็นประชาธิปไตย ผู้ปกครองก็จะปกครองไม่ได้ ปัญหาวันนี้จึงไม่ใช่บ้านเมืองมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจหรือสังคมอะไร ไม่ใช่ปัญหาจากบุคคลคนใด แต่เป็นปัญหาของระบอบการปกครองของประเทศไทยนั่นเอง

ดัง นั้นการที่ แกนนำเคลื่อนไหวบางกลุ่ม บางคณะได้ระดมมวลชนมาเพื่อสนับสนุน การขับไล่รัฐบาลที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับพรรคพวกตน โดยอ้างเหตุผล จากกฎหมายนิรโทษสุดซอย หรือร่างกฎหมายอื่นๆ หรือคำตัดสินของศาลโลก หรือศาลใดๆก็แล้วแต่ แม้จะมีคนเข้าร่วมมากในตอนต้น เพราะไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายถ้าเงื่อนไขของการเคลื่อนไหว ไม่ได้เป็นไปเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นในแผ่นดิน แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อไปสู่ระบอบเผด็จการ แบบใหม่ หรือแบบโบราณอะไรก็ตาม สุดท้ายประชาชนเหล่านี้ก็จะรู้ได้เอง และจะเปลี่ยนการเคลื่อนไหว ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องด้วยตนเอง การเคลื่อนไหวแบบ “ม็อบนกหวีด” ในทางทฤษฎี จึงไม่มีทางประสพความสำเร็จได้ สุดท้ายประชาชนจะก้าวหน้ากว่าแกนนำ แล้วจะเลิกราหนีไปเอง

นั่นคือ สุดท้ายการเคลื่อนไหวของประชาชน จะไปสู่การสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น การชี้นำจากแกนนำวันนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ การนำที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะพาไปได้ การนำที่ผิดจะพาไปไม่ได้ ไม่ว่าจะพาคนไปบุกรุกสถานที่ราชการ สนามบิน หรือสื่อทีวีใด สุดท้ายก็จะไม่สามารถขับเคลื่อนสู่ระบอบประชาธิปไตย ในสถานการณ์ปฏิวัตินี้ได้

ทางออกของวิกฤติการเมืองไทยวันนี้ มีทางเดียว และเป็นคำตอบสุดท้าย คือการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จนั่นเอง ในระบอบการปกครองใหม่นี้อำนาจจะต้องเป็นของประชาชน ประชาชนจะได้รับการปกป้อง รับรองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน มีเสรีภาพบุคคลบริบูรณ์ มีความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ภายใต้หลักนิติธรรม และหลักผู้ปกครองจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ใช่จาก “ระบบคนดี” จากฟ้าประทานแบบรัฐบาล “ขิงแก่” ไม่ใช่จากระบอบอำนาจของบุคคล ที่ถือเป็นระบอบเผด็จการเสมอ

ด้วยความซับซ้อนของสภาพปัญหา การเมืองไทย ในระยะเวลาที่ผ่านมา กว่า 80 ปี การพัฒนาประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือแบบ “ปฏิรูปการเมือง” นั้น น่าจะไม่ใช่วิธีการที่จะแก้วิกฤติทางการเมืองในวันนี้ได้ ทางออกของวิกฤติการเมืองไทยที่ถูกต้องในวันนี้ จึงน่าจะต้องเป็น “การปฏิวัติประชาธิปไตย” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ล้มล้าง ยกเลิกระบอบเผด็จการ แล้วสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นแทนให้สำเร็จนั่นเอง

ทางออก ประเทศไทยวันนี้ คือการทำให้ระบอบเผด็จการสิ้นสุดลง ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านในวันนี้ รัฐบาลและรัฐภาปัจจุบันจะต้องมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จ ปฏิเสธมติและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ตัดสินคดีนอกอำนาจ ขาดความชอบธรรม  และปฏิเสธมติขององค์กรอิสระ จากระบอบเผด็จการทั้งหมด ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย วาระเร่งด่วนของรัฐสภา ในเวลาที่เหลือ คือการประชุมอภิปรายปัญหาของระบอบการปกครอง ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และจำเป็นต้องใช้อำนาจ ลงมติในวาระ 3 เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ยังค้างคาอยู่ในสภา เพื่อให้มีคณะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่เป็นผู้แทนจากประชาชน ดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนใหม่

รัฐบาล และรัฐสภาเฉพาะกาล จะต้องทำการยกเลิกกฎหมายต่างๆที่เป็นกฎและผลพวงของเผด็จการทั้งหมด ที่ไม่ได้ตราขึ้นโดยความยินยอมของประชาชน ทำการยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบัน ที่ควบคุมเสรีภาพของประชาชนโดยชอบธรรม สลายพรรคการเมืองที่เป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการ ยกเลิกกฎหมายและการละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองโดยรัฐทั้งหมด ประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาจาก “รัฎฐาธิปัตย์” ในอนาคตพร้อมตรากฎหมายเพื่ออนุวัติตามธรรมนูญกรุงโรม

วิกฤติ การเมืองไทยวันนี้ สามารถแก้ได้ด้วยรัฐบาลที่มีภารกิจเฉพาะกาลนี้ ที่จะดำเนินการให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ของประชาชน ทำการยกเลิก ชำระกฎหมายเผด็จการ ที่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม และ เมื่อได้รัฐธรรมนูญใหม่ ให้นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาทันที เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ตามข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน ที่ให้อำนาจอธิปไตยสูงสุดของชาติ เป็นของรัฐสภา ไม่ใช่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องสิ้นสุดไปพร้อมกับรัฐธรรมนูญของเผด็จการ...ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น