แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โปรดเกล้าฯ'ครม.ยิ่งลักษณ์5' 18 ตำแหน่ง

ที่มา Voice TV

 โปรดเกล้าฯ'ครม.ยิ่งลักษณ์5' 18 ตำแหน่ง


มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ "ยิ่งลักษณ์ 5" จำนวน 18 ตำแหน่ง

วันนี้ (1 ก.ค.56)  ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศ เรื่อง ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดดังนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน
 
ตามประกาศลงวันที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ และประกาศครั้งสุดท้ายลงวันที่ ๒ เมษายนพุทธศักราช ๒๕๕๖ นั้นบัดนี้นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตําแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินอาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๗๑ และมาตรา ๑๘๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรและแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้
 
๑. ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีดังต่อไปนี้
 
ร้อยตํารวจเอก เฉลิม อยู่บํารุง รองนายกรัฐมนตรี  พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายนิวัฒน์ธํารง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
พลอากาศเอก สุกําพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายสันติพร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายยุทธพงศ์จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
พลตํารวจโท ชัจจ์กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
พลตํารวจเอก ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข  พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี
 
๒. ให้แต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้
 
นายนิวัฒน์ธํารง บุญทรงไพศาล เป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
 
พลตํารวจเอก ประชา พรหมนอก เป็นรองนายกรัฐมนตรี
 
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรองนายกรัฐมนตรี
 
นายสันติพร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
 
นางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อีกตําแหน่งหนึ่ง
 
พลเอกยุทธศักดิ์ศศิประภา เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
 
นางเบญจา หลุยเจริญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
 
นางปวีณา หงสกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์
 
นายวราเทพ รัตนากร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกตําแหน่งหนึ่ง
 
นายพ้อง ชีวานันท์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
 
นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
 
นายยรรยง พวงราช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
 
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
 
นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
 
ร้อยตํารวจเอก เฉลิม อยู่บํารุง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
 
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
นายจาตุรนต์ฉายแสง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
 
นายสรวงศ์ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
 
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นปีที่ ๖๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
 
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ยิ่งลักษณ์ชินวัตร
นายกรัฐมนตร
30 มิถุนายน 2556 เวลา 17:14 น.

"ผู้ว่าฯ เอ๋อ" จัดให้! ใช้ "รถหลวง" เป็น "รถแกนนำม็อบหน้ากากขาว" แห่กลางเมือง

ที่มา go6tv



วันที่ 30 มิถุนายน 2556 (go6TV) เผยหลักฐานชิ้นสำคัญ”รถกรุงเทพมหานคร เป็นรถแกนนำม็อบหน้ากากขาว” มัดผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ ในฐานะให้การสนับสนุนม็อบป่วนเมือง

เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พบรถยนต์ต้องสงสัยสองคัน มีสัญลักษณ์ “กรุงเทพมหานคร” อยู่ตัวถังรถ  มีคันหนึ่งสีดำ และอีกคันหนึ่งสีขาว ทั้งสองคันได้ปิดกระดาษสีขาวขนาด A4 ทับทะเบียนบ้ายรถ และตัวอักษรระบุเขตของตัวรถ และมีคนถือภาพพระบรมฉายาลักษณ์บนรถ  ได้ขับมุ่งหน้าไปยังลานเซ็นทรัลเวิร์ล และเข้าจอดหน้าห้างสรรพสินค้า ซึ่งปกติเป็นพื้นผิวการจราจรไม่สามารถจอดได้ แต่รถคันดังกล่าวสองคันเปิดไซเรนด์ และไฟกระพริบจอดไว้ริมถนนหน้าห้าง โดยที่ตำรวจไม่กล้าดำเนินการอะไร
จากนั้นเวลา 14.30 น. ได้เคลื่อนกลับรถตรงหน้าห้าง ทั้งที่เป็นสถานที่ห้ามกลับรถ เลี้ยวขวามาถนนพระราม 1 จอดปิดถนนและให้ม็อบหน้ากากขาวได้เดินจัดขบวนตามรถยนต์สองคันดังกล่าว พร้อมพาแกนนำขึ้นรถยนต์ ติดลำโพงเครื่องเสียงและปราศัยโจมตีรัฐบาลตลอดทางตั้งแต่เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากหน้าห้างสรรพสินค้า ผ่านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  และไปปิดสี่แยกหน้ามาบุญครอง
ประชาชนวิจารย์กันอย่างมากว่าม็อบหน้ากากขาวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากกรุงเทพมหานคร ทั้งการอำนวยความสะดวกรถสุขา-ห้องน้ำเคลื่อนที่ที่สนามหลวง ตลอดจนการใช้ทรัพย์สินของราชการมาช่วยนำม็อบกลางกรุงเทพมหานครในวันนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรมที่ วัดมงคลรัตนาราม (วัดแทมป้า) รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่มา watsuansantidham sriracha



หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แสดงธรรม ณ วัดมงคลรัตนาราม (วัดแทมป้า) รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ‏วันที่ 8 มิถุนายน 2556
สามารถดูรายละเอียดต่างๆและดาวน์โหลดเสียง
­พระธรรมเทศนาได้ที่ http://www.wimutti.net/
และเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษได้ที่ http://www.dhamma.com

กำหนด-กำหนัด-กำเนิด

ที่มา Buddhadharm



ปทานุกรมเขียนบนธรรมาสน์
สวนโมกขพลาราม
๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๗

สร้างระบบขนส่งมวลชนอย่างไร ให้ดึงดูดใจผู้ใช้งาน

ที่มา Voice TV




ความเห็นของที่ปรึกษาโครงการเมกะโปรเจ็ค และโครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลจากทั่วโลก จากบริษัท Grant Thornton ต่อแนวทางการสร้างระบบขนส่งมวลชนโดยเฉพาะระบบรางให้ดึงดูดใจผู้ใช้งาน
 
 
ที่ปรึกษาโครงการเมกะโปรเจ็ค และโครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลจากทั่วโลก จากบริษัท Grant Thornton แสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างระบบขนส่งมวลชนโดยเฉพาะระบบรางให้ดึง ดูดใจผู้ใช้งาน โดยระบุว่า นอกจากจะต้องเน้นให้ระบบมีความเชื่อมโยงกันแล้ว ยังต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่สถานีรถไฟ ให้มีความน่าสนใจอีกด้วย 
 
 
นายวิล แม็ควิลเลียมส์ หุ้นส่วนของบริษัท Grant Thornton บริษัทรับปรึกษาด้านการลงทุนในโครงการคมนาคมขนส่งชื่อดังสัญชาติอังกฤษ ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการเมกะโปรเจ็ค และโครงการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของรัฐบาลทั่วโลก ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ จากการเป็นที่ปรึกษาของโครงการต่างๆ โดยระบุว่า การลงทุนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของแต่ประเทศ โดยเฉพาะขนส่งระบบรางนั้น จะเน้นที่การบูรณาการ และการเชื่อมโยงกันเป็นหลัก เพื่อความสะดวกสบายของการขนส่งสินค้า และการเดินทางของผู้โดยสาร นอกจากนี้ การก่อสร้างสถานี ก็ไม่ควรสร้างแค่เพียงตัวสถานีเท่านั้น แต่ควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อให้คนที่มาใช้บริการ รู้สึกอยากใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
 
 
และเมื่อพูดถึงโครงการที่ยากที่สุด ที่เขาเคยทำมานั้น นายแม็ควิลเลียมส์กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ใช้เทคนิคสูง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง เพราะโครงการเหล่านี้ มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา
 
 
ทั้งนี้ นายแม็ควิลเลียมส์ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในโครงการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะระบบรางของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น
- โครงการพัฒนาระบบรถไฟ ให้เป็นระดับ world-class ของบริษัทรถไฟในกาตาร์ 
- การยกระดับมาตรฐานการให้บริการรถไฟของกระทรวงรถไฟในอินเดีย 
- โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมระหว่างกรุงมอสโก และเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของกระทรวงคมนาคมรัสเซีย 
- โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ รวมถึงสก็อตแลนด์ของรัฐบาลอังกฤษ 
- การวางระบบรถไฟของในประเทศไอร์แลนด์ เป็นต้น
30 มิถุนายน 2556 เวลา 12:05 น.

นายกฯ นำ ครม.ใหม่เข้าเฝ้าฯ เย็นนี้

ที่มา Voice TV

 นายกฯ นำ ครม.ใหม่เข้าเฝ้าฯ เย็นนี้


นายกฯ เตรียมนำ ครม.ใหม่เข้าเฝ้าฯ เย็นนี้ ยกเลิกกำหนดการที่จ.มุกดาหาร
 
 
นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว (@teeratr) ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเตรียมนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในวันนี้ 18.00 น. โดยยกเลิกกำหนดการที่เหลือที่ จ.มุกดาหารและจะกลับมาใหม่คืนนี้
30 มิถุนายน 2556 เวลา 15:34 น.

'โอ๊ค'โพสต์FB แฉแผนอุบาทว์'ผังล้มข้าว-ล้มชาวนา'

ที่มา Voice TV

 'โอ๊ค'โพสต์FB แฉแผนอุบาทว์'ผังล้มข้าว-ล้มชาวนา'


"พานทองแท้ ชินวัตร" โพสต์เฟซบุ๊ก ถึง"ขบวนการล้มข้าว" พร้อมฝากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ช่วยแก้ไข โดยเนื้อหาในเฟซบุ๊คมีรายละเอียดดังนี้
 
 
 
"ขบวนการล้มข้าว" เริ่มต้นขึ้นแล้วครับ
 
ถ้าอยากรู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังขบวนการฯนี้ ต้องมาดูกันที่ "ผังล้มข้าว" ครับ
 
ผมวิเคราะห์จาก "ผังล้มข้าว"แล้ว ขบวนการนี้เริ่มขึ้นจาก แนวความคิดของพรรคการเมืองที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ไม่ยอมอดทนทำความดีให้ประชาชนรัก แล้วรออีก4ปีค่อยกลับมาลงสนามเลือกตั้งใหม่ เหมือนกับที่นานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกัน จึงต้องเล่นการเมืองนอกสภา เดินสายโจมตีรัฐบาล ปลุกระดมชาวบ้านให้ต่อต้านนโยบายของพรรคเพื่อไทย
 
ผังล้มข้าวที่1 เริ่มจากออกมาโจมตีว่านโยบายจำนำข้าวตันละ 15,000บาท ทำให้รัฐขาดทุนมากเกินไป จนคนเริ่มสับสนว่านโยบายนี้ดีหรือไม่ ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจลดราคาลงเป็น 12,000บาท ก็ออกมาโจมตีว่าไม่เห็นด้วย ปลุกระดมชาวนาให้ออกมาชุมนุมอีก ลองรัฐบาลกลับมารับจำนำที่15,000บาท ก็ต้องโดนโจมตีเหมือนเดิม รัฐบาลก็ งง งง ว่าตกลงกรูจะทำไงให้เมิงเลิกด่าซะทีฟระ..??? 
 
ผังล้มข้าวที่2 พอโจมตีมากๆผู้เกี่ยวข้องก็ไม่กล้าขายข้าวสิครับ รับมาหมื่นห้าชาวนายิ้มแก้มปริแฮบปี้กันทั้งประเทศ แต่ราคาตลาดหมื่นเดียวพอขายปุ๊บ ก็โดนโจมตีปั๊บว่าขาดทุนอีกแล้วตันละห้าพัน ขายไปล้านตันก็หาว่ารัฐทำฉิบหายไปอีกห้าพันล้าน คนขายก็อิดๆออดๆไม่กล้าขาย กลัวๆกล้าๆอย่างนี้ข้าวก็ค้างเต็มโกดังครับ
 
ผังล้มข้าวที่3 พอล๊อคข้าวให้อยู่ในโกดังเรียบร้อย คราวนี้ก็ปล่อยข่าวสารพัดครับ หาว่าข้าวเน่าเต็มโกดัง ที่ไม่เน่าก็หาว่าใส่ยากันเน่า ใครกินไปจะเป็นมะเร็ง ทั้งฟอเวิร์ดเมล์ทั้งส่งต่อไลน์กันสารพัด โจมตีข้าวยี่ห้อโน้น เชียร์ข้าวยี่ห้อนี้ กันเต็มไปหมด ป้ายที่เห็นนี่ก็เป็นอีกหนึ่งแผนสกปรกครับ ลงทุนทำArtwork จ้างช่างprintลงแผ่นผ้าใบ,ไวนิล แผ่นนึงหลายบาท ดูยังไงก็ไม่ใช่ฝีมือชาวบ้าน แต่จะเป็นใครทำน่าจะเดากันได้ไม่ยาก
 
"ขบวนการล้มข้าว" ก็คือ"ขบวนการล้มชาวนา"ครับ ปล่อยข่าวโจมตีเรื่องข้าว รัฐบาลอาจกระเทือน แต่ผลกระทบถึงชาวนารุนแรงกว่าเยอะครับ แต่ละคนเคยเป็นรัฐบาลเคยมีตำแหน่งใหญ่ๆโตกันทั้งนั้น กลับมาเต้าข่าวหลอกสังคมทำเป็นเด็กเล่นขายของ "ช้างชนกันในนา ต้นข้าวย่อมแหลกราญ"ครับ ขืนปล่อยให้โจมตีกันอย่างนี้ต่อไป ต่อให้รัฐบาลอยู่ได้ แต่ชาวนาก็ตายก่อน หากเกิดวิกฤติความเชื่อมั่นต่อคุณภาพข้าวไทยขึ้นมา บอกไว้ตรงนี้เลยว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบเต็มๆครับ 
 
บอกใบ้แผนอุบาทว์ "ผังล้มข้าว-ล้มชาวนา" ให้แล้ว ใครมาเป็นรัฐมนตรีฯพาณิชย์ ก็ช่วยๆแก้ไขให้รวดเร็วทันอาการกันหน่อยครับ ซื้อข้าวจากชาวนามาแพงๆ ขายในตลาดโลกก็ย่อมต้องขาดทุนอยู่แล้ว ใครๆเขาก็รู้กันทั่ว ไม่ต้องไปสนใจพวกงมงาย ที่คิดว่าจำนำข้าวจะต้องไม่ขาดทุน อันนั้นเขาเอาไว้หลอกสลิ่มครับ ขอเพียงเปิดเผยตัวเลขให้ชัดเจน ทุกกระบวนการต้องตรวจสอบได้ ระมัดระวังอย่าให้มีการทุจริตอย่างจริงจัง หากตรวจพบการทุจริต ให้จัดการขั้นเด็ดขาด ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ข้าวที่มีอยู่ก็เก็บรักษาให้ดีๆ มีช่องทางระบายออกได้ก็ทำให้โปร่งใส ทำแบบนี้ได้คนเขาก็ปรบมือให้ทั้งประเทศแล้วละครับ 
 
เอาง่ายๆ ตรวจสอบเรื่องข้าวให้ได้เหมือนที่ อาธาริตฯกำลังลุยตรวจสอบรถหรู รถจดประกอบอยู่ตอนนี้ แค่นี้ก็สะใจกองเชียร์แล้วละคร๊าบบบ....
 
 
Source :  เฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra
30 มิถุนายน 2556 เวลา 16:26 น.

วิพากษ์สุรพล นิติไกรพจน์ (ภาค ๒)

ที่มา ประชาไท

 
วิพากษ์สุรพล นิติไกรพจน์ (ภาค ๒)

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

คำอภิปรายในงานรำลึกครูกฎหมาย (อาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม) โดย สุรพล นิติไกรพจน์ วันนี้  ถ้าอย่างในคัมภีร์ก็คงได้เพียงอุทาน "โมฆะบุรุษหนอ" หรือแปลเป็นภาษาลูกทุ่ง ก็คือ "อ้ายชิบหาย" ครับ

อาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม ไม่เคยเขียนตำราในทำนองที่สุรพลฯ "ยัดคำพูดใส่ปากผู้ตาย(อ.ไพโรจน์)" ดังที่ปรากฏในตำราของอาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม (โปรดดูคำต่อคำของอาจารย์ไพโรจน์ฯ ซึ่งผมรวบรวมไว้ ใน "การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ - ไพโรจน์ ชัยนาม [๒๔๙๕ - คัดลอกตำราคำต่อคำ]" :  http://goo.gl/jNAld ) ท่านมีแต่ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญต้องแก้หรือยกเลิกได้เสมอ เพราะมีพลวัตร คือ สุรพลฯ ไม่เคยแปรเปลี่ยนความไร้ยางอาย ณ จุด ๆ นี้เลย

การกระทำของสุรพลฯ ในข้อที่ ๑ นอกจากไม่ให้เกียรติต่อผลงานทางวิชาการของ "ครู" แล้ว "การ(กล่าว)บูชาครู" (คำของสุรพลฯ) ด้วยการสนับสนุนยืนเคียงข้างรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ (ไปร่างประกาศ คมช. และรัฐธรรมนูญชั่วคราว ๒๕๔๙ ตัวท่านเปิดเผยเองในงานนศ.มอบพวงหรีดให้ท่าน) และสุรพลฯ กล่าวปฏิเสธการการดำเนินกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่อิงอำนาจที่เป็นรากฐานของสถาบันการเมืองในรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ นอกจาก "ชั่ว" ในเชิงจริยธรรมทั่วไปแล้ว ยัง "ชั่ว" ใน(คราบ)ทางวิชาการอีกด้วย

ที่ สุรพลฯ กล่าวว่า "เราไม่เคยมีกฎหมายฉบับใดเลยในประเทศนี้ เราไม่เคยมีรธน.ฉบับใดเลยในประเทศนี้ที่ผ่านการลงประชามติ นั่นคืออธิปไตยโดยตรงที่ก้าวข้ามไม่ได้เด็ดขาด จะแก้รธน.ทั้งฉบับโดยไม่ถามประชาชน ไม่ได้เป็นอันขาด"

นั่นหมายความว่า การประชามติของประชาชนที่จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ย่อมมีผลเป็นการ "ถามความเห็นเปลี่ยนระบอบการปกครอง" นะครับ! ซึ่งจริงครับที่ว่า จะมองข้ามผู้ทรงอำนาจอธิปไตยคือประชาชนไปไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าประชาชนโหวตเปลี่ยนเป็นรีปับลิค ตามตรรกะนี้ (ซึ่งโหวตก่อนแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แบบนี้ในทางวิชาการ คือ การโหวตเปลี่ยนระบอบนะ) สุรพลฯ เอาจริงๆ ไหม? (คือ ที่กล่าวมานี่เอาจริง หรือตอแหล หรือจริงในบางสถานการณ์?)

รัฐธรรมนูญนั้นต้องตีความอย่างมีชีวิต จริงครับ แต่คนตีความไม่ใช่ทำตัวเป็น "จิ้งจก" (ตระกูลเดียวกับ "ตัวเหี้ย") ที่จะตีความตัวบทโดย "ดูหน้าคู่ความในคดี" ว่าเป็นพรรคใด แล้วตีความตามกระแส - การตีความรัฐธรรมนูญที่มีชีวิตคือ การตีความในทางเกาะตัวบทโดยมุ่งผลการตีความสอดรับกับยุคสมัยของสังคม

ฉะนั้น ที่ สุรพลฯ กล่าวว่า "เราจะผูกพันกับรธน.ที่ร่างมาเมื่อ 10 20 50 ปี 200 ปีก่อนคงไม่ได้" กล่าวเช่นนี้มันไม่ผิดหรอกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วน "บทบัญญัติห้ามแก้ไข" ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เราจะนำเอาเจตน์จำนงของผู้ร่างรัฐธรรมนูญในสมัย ๑๐ ๒๐ ๕๐ ๑๐๐ ปี (ในอดีต) มาผูกมัดเจตน์จำนงของมนุษย์ในยุค generation ปัจจุบันหรืออนาคตมิได้ ฉะนั้น การห้ามแก้ไข "รูปของรัฐ" (เช่น ห้ามเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ แบบนี้ อย่าห้าม) ห้ามแก้ไข "ประมุขของรัฐ" (เช่น ห้ามเลิกวิธีสืบสายโลหิต เช่นนี้ จะบัญญัติห้ามแก้ไม่ได้) หรือถ้าบัญญัติแล้วต้องตีความตาม อาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม ที่อธิบายว่า เป็นเพียงแรงบันดาลใจของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมายใดๆ ต่อผู้แก้รัฐธรรมนูญเลย

ถ้าสุรพลฯ ถามว่า ดิ้นรนอะไรนักหนาจะแก้รัฐธรรมนูญ ก็ควรต้องถามกลับว่า เมื่อรัฐธรรมนูญนี้เป็นซากเดนรัฐประหาร ทำไม สุรพลและพวก ต้อง ดิ้นรนเป็นสุนัขโดนน้ำร้อนลวก อะไรนักหนา ที่ต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญเหลือเกิน ราวกับเป็นกล่องดวงใจแห่งโภคทรัพย์ของฝูงตนเยี่ยงอีห่าอีแร้ง

ที่สุรพลฯ โจมตีอำนาจของ ผู้ได้รับการเลือกตั้งว่าเสมือนกษัตริย์ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น เป็นการกล่าวเทียบที่ "ต่ำมาก" เพราะเป็นการนำเอาตัวแทนของประชาชนที่ประชาชนเขา "เลือก" (คือทักษิณฯ) ไปเทียบกับ ผู้เผด็จการ ที่ทึกทักเอาอำนาจของราษฎรไปเป็นของตน โดยประชาชนเขา "ไม่อาจเลือกได้" (คือ กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์) เป็นการเทียบที่ผิดฝาผิดตัว ที่อ้างอาจารย์ไพโรจน์นั้น สุรพลฯ ไม่ได้ดูเลยว่า อาจารย์ไพโรจน์ท่านเรียกระบอบเจ้า ในตำรายุคแรกๆ ว่า "ระบอบทรราชย์" ครับ แต่ถ้าจะสะท้อนสภาพ sommet ของอำนาจ เทียบ "ผู้มีความชอบธรรมในอำนาจรัฐ" ก็เทียบ นายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภา (ธรรมชาติมีความชอบธรรม) กับ กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ไม่มีความชอบธรรมโดยธรรมชาติ)

เรียนสุรพลฯ ให้ท่านไปอ่านรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘ เถิดครับว่า ใครบ้างในระบบกฎหมาย ที่ไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลไทย ประกาศไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในรัฐธรรมนูญ

อาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม ยังไม่ตายหรอกครับ (มองข้ามสังขารเสีย) ผลงานทางวิชาการของอาจารย์ไพโรจน์ฯ เป็นภาพสะท้อนคุณค่าแห่งชีวิตที่อาจารย์ไพโรจน์ฯ ยังคงทำงานทางวิชาการตราบจนปัจจุบัน ตำรับตำราของอาจารย์ไพโรจน์ได้สร้างความรู้ให้แก่นิสิตนักศึกษาผ่านตัวอักษร เชื่อว่า อาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม ยังคงอยู่ในแวดวงวิชาการตราบนานเท่านาน

แต่ สุรพล นิติไกรพจน์ ตายไปนานแล้วครับ (ในทางวิชาการ)

ให้ "คนตาย" มาพูดถึง "คนเป็น" เอ้อ วงวิชาการกฎหมายไทยก็แปลกดีพิลึกล่ะครับผม.

_______________________

เชิงอรรถ

ภาค ๑ นั้น ผมเคยเขียนในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ขณะนี้สำเร็จการศึกษาแล้ว ใน "วิพากษ์ความบิดเบือนทางวิชาการของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" (ดู http://prachatai.com/journal/2010/01/27489 )
"คำต่อคำ “สุรพล นิติไกรพจน์” แตะปรากฎการณ์ทางการเมือง-รธน." (ที่มา สำนักข่าวอิศรา : http://goo.gl/c67H3 )

OTOP ชวนชิมจากทั่วปท.

ที่มา Thai Free News



"ยิ่งลักษณ์" ชวนปชช. หนุนสินค้า OTOP 
และผลไม้ไทย เพื่อสร้างรายได้ให้ผู้ผลิต




 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มิ.ย. – 4 ก.ค.2556
ที่อิมแพคเมืองทองธานี 
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ย้ำถึงการจัดงานครั้งนี้ 
เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและชาวสวนผลไม้ 
และยังเปิดช่องทางใหม่ให้กับเกษตรกร
ได้ขายผลไม้กับผู้บริโภคโดยตรง รวมทั้งผ่านร้านค้าต่างๆ
พร้อมกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 
ได้เดินเลือกซื้อผลไม้เพื่อนำเงิน
ไปช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ทั้งมูลนิธิคนตาบอด 
มูลนิธิคนพิการ รวมทั้งโรงพยาบาลสงฆ์ด้วย 
พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชน 
มาช่วยกันอุดหนุนสินค้า OTOP 
และเลือกซื้อผลไม้ไทยที่มีคุณภาพ 
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและเกษตรกรไทย

สหรัฐอเมริกา ยืนยัน ข้าวไทยปลอดภัย

ที่มา go6tv



30 มิถุนายน 2556 go6TV - นายวอลเตอร์ เอ็ม เบราโนห์เลอร์ (Walter M. Braunohler) โฆษกสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ระบุ ว่า ปัจจุบันทางการสหรัฐไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติต่อข้าวไทยที่ ส่งออกไปยังสหรัฐ ตามที่มีการเสนอข่าวของสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งแต่อย่างใด สำหรับประกาศเตือนภัยยาฆ่าแมลงในสินค้าข้าวบนเว็บไซต์เอฟดีเอของสหรัฐที่ เป็นข่าวนั้น ขอชี้แจงว่าเป็นระเบียบการประกาศเตือนภัยที่เผยแพร่มาตั้งแต่ปี 2541 และมีการอัพเดตข้อมูลใหม่ๆ เสมอเมื่อมีรายการสินค้าอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวัง

"ทาง การสหรัฐและรัฐบาลไทยมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเสมอมา เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าอาหารของไทยจะมีความปลอดภัยสำหรับบริโภคทั้งในไทย และสหรัฐ" นายวอลเตอร์กล่าว

โฆษกทูตสหรัฐระบุว่าด้วยว่า การประกาศเตือนล่าสุดเมื่อเดือนพ.ค. ไม่เกี่ยว ข้องกับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลไทย ส่วนการติดเชื้อหรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ข้าวนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพการจัดเก็บสินค้าที่แตกต่างไปในแต่ละสถานการณ์ และยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐไม่มีท่าทีต่อต้านนโยบาย ดังกล่าว

สอดคล้อง กับ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรค เพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหารัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องข้าว ว่า "ไม่แปลกเพราะนายอภิสิทธิ์ไม่เคยมีความคิดในทางบวกกับรัฐบาล รัฐบาลทำอะไรก็ ผิดไปหมด เล่นเกมการเมืองจนทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤตในเรื่องข้าว ซึ่งการปล่อยข่าวโจมตีเรื่องการรมยาข้าวว่าใช้ยามากเกินไป ทำให้หนูและแมลงสาบตายในโกดังข้าว หากกินข้าวจากการรับจำนำข้าวเข้าไปแล้วอาจทำให้เป็นมะเร็งตายได้นั้น เป็นการพูดที่ขาดจิตสำนึก และขาดความรับผิดชอบต่อประเทศ และประชาชน ทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมวิทยา ศาสตร์การแพทย์ ยืนยันผลตรวจวิเคราะห์ข้าวว่าไร้ปัญหาและปลอดภัยได้มาตรฐาน รับประทานได้ ก็ยังปล่อยข่าวว่า อย.สหรัฐสั่งห้ามนำเข้าหรือกักกันข้าวไทย เพราะเกรงว่าข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวมีสารเคมีเกินขนาด"

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า "ทูตพาณิชย์ในสหรัฐยืนยันแล้วว่าไม่มีการกักกันหรือห้ามนำเข้าข้าวไทย และเพื่อความมั่นใจกรมวิชาการเกษตร และ อย.ไปตรวจเพิ่มอีกรอบ ตนขอประณามคนที่ปล่อยข่าวทำลายประเทศแบบนี้ว่าไม่สมควรอยู่ในแผ่นดินไทย และถ้ามีใครต้องตายจากมะเร็งควรเป็นพวกปล่อยข่าวมากกว่าที่ตายเพราะมะเร็ง อารมณ์"

ปูห้า 5.5

ที่มา  Voice TV


ใบตองแห้ง Baitonghaeng

ใบตองแห้ง Baitonghaeng

VoiceTV Staff

Bio

คอลัมนิสต์อิสระ


การปรับคณะรัฐมนตรี “ปู 5” เป็นการปรับใหญ่ 18 ตำแหน่ง ผมให้คะแนน 5.5

บางคนอาจจะบอกว่าอะไรวะ เชียร์รัฐบาลนี่หว่า ให้คะแนนเกิน 5 อยู่เรื่อย แต่บางคนอาจจะบอกว่าอะไรวะ เขาอุตส่าห์ปรับใหญ่ตั้งหลายตำแหน่ง ยังให้คะแนนแค่ 5.5

ชี้แจงก่อนว่า 5.5 นี่ไม่ใช่เต็ม 10 นะครับ แต่เต็ม 7 คือเมื่อวัดจากคะแนนนิยมรัฐบาลที่ตกวูบลงหลังนโยบายจำนำข้าวล้มพังพาบ ปรับอย่างไรก็ตีตื้นได้แค่ 7 เป็นพิกัดสูงสุด

อ้าว งั้นผมก็เชียร์รัฐบาลอยู่ดี แหงสิ 555 คือจะบอกว่าการปรับครั้งนี้น่าจะช่วยให้ทำคะแนนตีตื้นได้จากที่ลงไปถึง 4.0 มาเป็น 5.5 ซึ่งถ้าวัดเฉพาะการตัดสินใจปรับ ภายใต้ข้อจำกัดของพรรคและกลุ่มการเมือง ก็ให้คะแนน 7.5 ด้วยซ้ำ

เสียแต่ว่าการตัดสินใจอย่างนี้มาช้าไปหน่อย


ลดความกร่าง

ถามว่าตรงไหนเป็นข้อดี มองปราดแรก หลายคนคงยินดีที่ “พี่อ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง กลับไปเป็นรัฐมนตรีศึกษา (แต่ครั้งนี้ท่าจะต้องกระฉับกระเฉงว่องไวหน่อยนะ เวลาน้อย ฮิฮิ)

แต่ข้อดีที่หลายคนมองข้ามคือ การส่ง “ออเหลิม” ไปเป็นแรงงานต่างด้าว บางคนอาจบอกว่า เฮ้ย พ่อไอ้ปื๊ดเนี่ยนะ จะเป็น รมว.แรงงาน เหมาะกับตำแหน่งซะเมื่อไหร่

อ้าว แล้วสถานการณ์ปัจจุบันเหมาะจะให้ออเหลิมเป็นรองนายกฯ คุมตำรวจ คุมปัญหาภาคใต้ไหม วันๆ ก็ยั่วยุท้าทายหน้ากากขาว เที่ยวใบ้ชื่อคนนั้นคนนี้ เหลิมเป็นสายล่อฟ้าเกินไป ในเชิงยุทธศาสตร์ยุทธวิธี รัฐบาลตั้งรับต้องสุภาพนุ่มนวล อย่าไปท้ารบ ท้าลุย อย่าให้ราคาพวกตัวตลกจนพวกเขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ ปล่อยให้ชูป้ายเรียกหาทหารกันไป สัปดาห์นี้ได้ข่าวว่าจะไปเชิดชูสดุดีวีรชนคนดี เอกยุทธ อัญชันบุตร ประท้วงสำนักงานตำรวจ ก็ปล่อยให้แซ่ซ้องกันไป

“เอาเหลิมออกห่างตำรวจ” คะแนนจะบวกขึ้นเยอะ เพียงแต่นายกฯ “นายใหญ่” ยังเกรงใจจึงหาเก้าอี้ใหม่ให้ ซึ่งไม่ต้องห่วง เหลิมเป็นคนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องสร้าง gimmick โม้เป็นข่าว เหลิมจะไม่นั่งอมพระปฐมเจดีย์อยู่ 2 ปีแบบเผดิมชัย สะสมทรัพย์ นั่นไม่ใช่เหลิม เชื่อเหอะน่า เดี๋ยวเหลิมก็ต้องหาผลงานตีปี๊บ เช่นทำสายด่วนสายตรงแจ้งจับโรงงานไม่จ่าย 300 บาท จะเว่อร์ จะโชว์ออฟ พาลูกพาหลานไปไล่จับยังไงเชิญตามสะดวก

เช่นเดียวกับการปลดวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล หลังล้มเหลวทั้งกระทรวงศึกษา กระทรวงวิทยาศาสตร์ ก็เป็นเรื่องดี ที่จริงน่าเห็นใจวรวัจน์ เพราะได้งานไม่เหมาะบุคลิก วรวัจน์น่าคุมแรงงาน หรือ รมช.มหาดไทย ทำอะไรที่มันลุยๆ หน่อย เอามาเป็นครูเป็นนักวิทยาศาสตร์เนี่ยนะ พอๆ กับส่งออเหลิมไปเป็น รมว.ต่างประเทศ

ที่จริงกระทรวงวิทย์ สวทช.ก็มีอะไรหมกๆ อยู่ มีการผูกขาดอำนาจในแวดวง “อำมาตย์วิทยาศาสตร์” สับเปลี่ยนเวียนเป็นบอร์ด สืบทอด ตั้งลูกตั้งหลานก็มี ผลงานวิจัยไม่รู้เอาไปทำอะไรมั่ง แต่มีนักวิทยาศาสตร์ปริญญาโทปริญญาเอกมากมายไว้ให้เคารพบูชา

กระนั้นการเข้าไปลุยกับเขาคุ่ยๆ ถือเป็นนักเลงที่ไม่มีชั้นเชิงเลย ดูปลอดประสพสิครับ คุมกระทรวงวิทยาศาสตร์มีใครกล้าหือ ย้ายคนใกล้ตัวอดีตเลขาหน้าห้อง ข้ามกระทรวงมาขึ้นรองปลัด ไม่ยักมีข้าราชการกล้าแต่งดำ

แต่ปลอดก็ตายน้ำตื้นกับปัญหาท่าที ไม่ต่างกับสมัยเป็นอธิบดีประมงทำเท่ยิงจรเข้ ปลอดกร่างกับ NGO ซึ่งส่งผลลบกว้างกว่าวรวัจน์อีก จึงเกิดปุจฉาว่าวรวัจน์สมควรไป แต่ไหง “ปลอดขยะ” ยังอยู่ โอเค เข้าใจได้ว่ารัฐบาลไม่มีใครรู้เรื่องน้ำ กระนั้นก็ต้องหักคะแนนด้านลบอยู่ดี (รัฐบาลตัดสินใจเร็วไป ถ้ายังไม่ทูลเกล้าฯ รอ 2-3 วัน ศาลปกครองล้มประมูลระบบน้ำ น่าทบทวนตำแหน่งปลอดด้วย)

ตอนแรกผมกังขาด้วยว่าทำไมหมอประดิษฐ์ สินธวณรงค์ ยังอยู่ แต่พอไปดู fb ชมรมแพทย์ชนบทก็ลดท่าทีลงแล้ว ไม่ยักโวยวายไล่หมอประดิษฐ์เหมือนไล่ P4P แสดงว่าพอจะคุยกันได้ ก็โอเค แต่อย่าสร้างความขัดแย้งใหม่แล้วกัน (อีกเรื่องที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องเอาหมอชลน่าน ศรีแก้ว ออกไปแล้วเอาลูกป๋าเหนาะมาแทน เพราะหมอชลน่านยังคุยกับพวกหมอได้ดีกว่า)


สร้างงาน+สร้างภาพ

รัฐมนตรีใหม่หรือตำแหน่งใหม่แต่หน้าเก่า หลายคนถือว่าเหมาะสม หรือไม่ก็พอทน ตัวอย่างเช่น “อินทรีอีสาน” (เพิ่งรู้ว่ามีตัวตนอยู่ เงียบหายเลยหลัง ศปภ.จมน้ำ) ยังไงๆ การมาคุมตำรวจแทนเหลิมก็ยังพอจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ เช่น เดินสายถ่ายภาพตรวจงาน ไม่แกว่งไม่กร่าง เรื่องงานจริงๆ ไม่ต้องห่วง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.เป็นคนดีมีความสามารถ ไม่ต้องให้ใครคุมก็ได้

“พี่อ๋อย” มาคุมกระทรวงศึกษา เป็นตัวความหวังทั้งงานทั้งภาพ ต้องปฏิรูปการศึกษาใหม่ กระจายอำนาจ รื้อหลักสูตร “ปฏิวัติระบบการศึกษาไทย” ขณะเดียวกันก็ต้องรีบเข็นประกาศกระทรวงเรื่องเลิกเกรียน ให้มีผลบังคับใช้ แล้วไปตรวจ “จับครู” ตามโรงเรียนต่างๆ ใครยังบังคับกร้อนผมเด็ก ย้ายแม่-เลย (ยุแบบสุดขั้วนิดๆ ตั้งเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นคณะทำงานพิเศษ-ฮา)

“พี่อ๋อย” มาเป็น รมว.ศธ.แทนพงศ์เทพ เทพกาญจนา ซึ่งน่าจะย้ายไปช่วยนายกฯ รับมือปัญหากฎหมายปัญหาการเมือง ใช้คนได้ถูกจุด แก้ปัญหาที่ผ่านมาพงศ์เทพแทบไม่ได้ทำงานด้านการศึกษาเลย มัวแต่เป็นรองนายกฯ

“เจ๊ปิ๊ก” ปวีณา ไม่ทราบจะบอกว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” หรือเปล่า แต่ได้งานถนัดกับกระทรวงสร้างภาพ นี่พูดจริงนะ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีงาน 2 อย่าง คือสร้างภาพ กับสร้างชุมชนเข้มแข็ง เรื่องหลังอย่าไปหวังแม่-กับนักการเมืองไม่ว่าพรรคไหน มันต้องพี่หมอพลเดช ปิ่นประทีป ที่สมัยนั้นเอาคนจากสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) ไปกินตำแหน่งในกระทรวงเพียบ

ฉะนั้นงานกระทรวงนี้ นักการเมืองมีไว้สร้างภาพเท่านั้น ใครเล่าจะเก่งเรื่องนี้เท่าเจ๊ปิ๊ก ปวีณา 24 ชั่วโมง ขนาดไม่มีตำแหน่งเจ๊ปิ๊กยังมีอำนาจจับกุมทั่วราชอาณาจักร รัฐบาลนี้จัดโควตายังไงไม่ทราบ เอาสันติ พร้อมพัฒน์ ไปแช่แข็งเกือบ 2 ปี แล้วตอนนี้ก็เอามาแช่แป้งที่ทำเนียบอีก รู้นะว่าสำคัญกับพรรคแต่มันต้องจัดคนให้เหมาะกับงาน

ตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ตกหนักที่นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (กระทรวงนี้ไม่พ้น “บุญทรง”) ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าจะรับศึกจำนำข้าวไหวไหม เพราะปัญหาอยู่ที่นโยบาย ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุญทรง เตรยาภิรมย์ เพียงแต่นิวัฒน์ธำรงอาจรับมือสื่อและศัตรูทางการเมืองได้ดีกว่า กับน่าจะมีความสามารถในการบริหารกว่า ทั้งจะได้ยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้ตอบโต้ “ปลาบู่ชนเขื่อน” อย่างสะใจมาเป็น รมช.

การปรับ ครม.ครั้งนี้ตั้งข้าราชการ 3 คนมาเป็นรัฐมนตรี คือยรรยง พวงราช, เบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง และชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุดเป็น รมว.ยุติธรรม แน่นอนถูกครหาทันทีว่ารับใช้รัฐบาล เช่นเบญจาได้รับเหรียญตรา(หน้า)จากสื่อเป็นผู้ใกล้ชิดคุณหญิงพจมาน (แต่ยรรยงก็ได้เป็นปลัดกระทรวงในรัฐบาลอภิสิทธิ์) กระนั้นมีด้านบวกคือ ที่ผ่านมารัฐมนตรีเกรดซีในรัฐบาลนี้นอกจากทำงานไม่เป็น ยังใช้งานระบบราชการไม่เป็นด้วย

การตั้งอดีตปลัด อดีตอธิบดี มาเป็นรัฐมนตรีจะช่วยไขลานระบบราชการ สมมติเช่น ถ้าคุณต้องการควบคุมราคาสินค้า บุญทรงเก่า บุญทรงใหม่ หรือ “ไอ้เต้น” ทำไม่เป็นหรอกครับ จะใช้ข้าราชการยังไง ได้แต่สั่งๆ ไป แต่ยรรยงใช้เป็น เบญจาใช้เป็น และอดีตอัยการสูงสุดอย่างชัยเกษม ก็เข้าใจงานยุติธรรมมากกว่าประชา พรหมนอก (โดยเฉพาะเมื่อดีเอสไอกำลังจะทำคดีสำคัญ)

จุดอ่อน

จุดอ่อนที่ประชาชนเห็นได้ทั่วไปคือการเล่นเก้าอี้ดนตรีในกลุ่มก๊วน ส.ส. เช่นเปลี่ยนจากปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข มาเป็นวิเชษฐ์ เกษมทองศรี เปลี่ยนประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็นพ้อง ชีวานันท์ เปลี่ยนฐานิสร์ เทียนทอง เป็นสรวงศ์ เทียนทอง (ไม่ทราบว่าเป็นรัฐมนตรีหมดครอกหรือยัง) ฯลฯ ชาวบ้านไม่เห็นคุณค่าอะไร และไม่คิดว่าจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ฯพณฯ คงมาเป็นรัฐมนตรีเป็นเกียรติศักดิ์ศรีแก่วงศ์ตระกูลเท่านั้น

ในราย อ.พีรพันธ์ พาลุสุข ต้องชื่นชมที่พรรคให้เป็นรัฐมนตรี เพราะแกยืนหยัดต่อสู้อยู่กับพรรคกับมวลชนมาตลอด เพียงแต่ไม่มีกลุ่มก๊วนหนุน ไม่ใช่เศรษฐีนายทุน เลยตกโผมาหลายครั้ง ทั้งที่ควรเป็นตั้งนานแล้ว แต่ก็อีกละ ถ้าไปว่าการวิทยาศาสตร์ ก็เท่ากับนั่งวิจัยยุง เพราะไม่เหมาะและไม่มีอะไรให้ทำ เป็นตำแหน่งปลอบขวัญเท่านั้นเอง

จุดอ่อนของรัฐบาลที่แม้ปรับใหม่แล้วยังอยู่ ก็คือ “ทีมเศรษฐกิจ” ซึ่งไม่เคยมี มีแต่โต้งๆๆ ตอนแรกมีโต้งกับธีระชัย แต่ต่อมาแตกคอ ธีระชัยกลายเป็นองุ่นเปรี้ยวไปซะแล้ว (ที่จริงผมชื่นชมธีระชัยที่ยืนหยัดความคิดเห็นตัวเอง จนหลุดเก้าอี้ รมต.แต่การทำตัวเป็นองุ่นเปรี้ยวเที่ยวแซะรัฐบาลที่ตัวเองเคยร่วม มันไม่สวยครับ นักเลงจริงเขาไม่ทำกัน)

ทีมเศรษฐกิจได้แก่ คลัง พาณิชย์ พลังงาน คมนาคม อยู่กับเพื่อไทย เกษตร ท่องเที่ยว อยู่ชาติไทย อุตสาหกรรม รัฐมนตรีชื่อไรจำไม่ได้ จำได้แต่สุวัจน์ ลิปตพัลลภ

ทีมเศรษฐกิจต่างคนต่างไป ไม่มีมือเจ๋งๆ ทางเศรษฐศาสตร์มหภาคมากุมบังเหียน ไม่เหมือนสมัยทักษิณ-สมคิด บอกแล้วว่ายิ่งลักษณ์ไม่ใช่ทักษิณ โต้งก็ไม่ใช่สมคิด โต้ง-นิวัฒน์ธำรง-เสี่ยเพ้ง-ชัชชาติ ดูยังไงก็ไม่เป็นทีมทั้งที่ไม่ได้ขัดแย้งกัน

ถ้ามีรองนายกฯ เศรษฐกิจซักคน ที่มือเจ๋งๆ จะดีมาก โต้งมีความสามารถ แต่ยังไม่ใช่หัวหน้าทีม โต้งทำงานมา 2 ปี ชาวบ้านยังไม่มั่นใจเลยว่าจะพาทีมชาติไทยไปบอลโลก (ฮา)

หลายคนนึกถึง ดร.โกร่ง แต่ท่านคงไม่รับ กระนั้นก็อาจช่วยได้ถ้าให้เป็นที่ปรึกษาใหญ่ เข้าประชุม ครม.เศรษฐกิจ และฟังคำปรึกษาจริงจัง อย่าลืมว่า ดร.โกร่งเตือนเรื่องจำนำข้าวไว้แล้วนะครับ ไม่ทราบฟังกันบ้างหรือเปล่า ถ้าหาคนไม่ได้ก็ต้องทำงานเป็นทีม ดึงทีมที่ปรึกษามาร่วม ครม.เศรษฐกิจซัก 2-3 คน

ปัญหาอีกอย่างที่พรรคเพื่อไทยไม่ค่อยสนใจคือ ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ทั้งที่สมัยทักกี้ตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีเอาคนมีความสามารถไปช่วยงาน รัฐบาลนี้ผู้ช่วยบางคนก็ตรงกับงาน แต่ผู้ช่วยบางคนอยู่กระทรวงเศรษฐกิจไพล่ไปเป็นนายกสมาคมกีฬา (น่าจะเอาบังยีมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีให้รู้แล้วรู้รอด)

รัฐมนตรีบางคนเจอหน้าที่ปรึกษารัฐมนตรี ถามว่า “คุณเป็นที่ปรึกษาผมหรือ” เสร็จกัน เพราะพรรคตั้งมา ตั้งเสื้อแดงมั่ง ตั้ง ส.ส.สอบตกมั่ง ให้มีนามบัตรไปออกงาน แต่ไม่ได้ช่วยงานรัฐมนตรีเลย เรื่องเสื้อสีไม่เกี่ยวหรอก ขอให้มีความสามารถและทำงานร่วมกันได้ “แดง” ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งเสมอไป ตรงข้าม “แดง” ที่เหมาะสม อย่าง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ไหงไม่ตั้งเป็นรัฐมนตรีก็ไม่รู้

ถามว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีทีมเศรษฐกิจไหม ไม่มีเหมือนกันครับ มีแต่กรณ์ จาติกวณิช แต่ข้อแรก วัฒนธรรม ปชป. แห่อะไรแห่ตามกัน ระบบคิดมาจากหลุมเดียวกัน ข้อสอง ปชป.ไม่เคยเสนอนโยบายอะไรที่ท้าทาย อยู่กับระบบราชการไปเรื่อย ฉะนั้นไม่ต้องมีทีมเศรษฐกิจก็ได้


กระโปรงคลุมหัวทหาร?

ทั้งเสื้อแดงเสื้อเหลืองสลิ่มแมลงสาบอ่านสัญญาณตรงกันหมด ว่ายิ่งลักษณ์ควบกลาโหม จะเข้าไปรื้อใหญ่โผย้ายกองทัพ

ผมอ่านตรงข้าม ผมว่ายิ่งลักษณ์จะไม่แตะอะไรเลย นี่เป็นสัญญาณประนีประนอมต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อโยก “บิ๊กโอ๋” ออกแล้วเอายุทธศักดิ์ ศศิประภา ผู้เหมาะจะเป็นประธานโอลิมปิกมากกว่าเสนาบดี เข้าไปเป็นรัฐมนตรีช่วย

รัฐบาลไม่ต้องกลัวทหารทำรัฐประหาร รัฐบาลไม่ต้องกลัวประยุทธ์ที่เหลืออายุราชการปีเศษ ไหงคิดงั้น ก็เพราะทหารเข็ดแล้วครับกับรัฐประหาร 49 ถ้าไม่เกิดจลาจลวุ่นวายคนตายเป็นพัน ทหารไม่มีทางทำรัฐประหาร ซึ่งถ้ามันเกิด (หริอถ้ามีใบสั่งอย่างที่คิดกัน) ใครเป็นรัฐมนตรี ใครเป็น ผบ.ทบ.ก็ยับยั้งรัฐประหารไม่ได้อยู่ดี

ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ.อีกปี ปลอดภัยกับรัฐบาลมากกว่าเด้งประยุทธ์ เพราะคนเหลืออายุราชการอีกเพียงปีเศษ ย่อมอยากกลับบ้านเลี้ยงหลานอย่างสงบ มากกว่าเป็นหัวหน้าคณะปฏิสังขรณ์ เป็น ผบ.ทบ.อยู่ดีๆ เนื้อก็มีกินเหลือเฟือ หนังก็มีรองนั่ง ทำไมต้องเอากระดูกมาแขวนคอ ขึ้นขี่หลังเสือครั้งนี้ อาจจะลงจากหลังเสือไม่ได้ ทหารที่เป็นใหญ่ทุกคนรู้ดี ถ้าจะมีใครกระเหี้ยนกระหือรือ ก็คือคนที่อยากเป็น ผบ.ทบ.แล้วไม่ได้เป็น

ดูอนุพงษ์สิครับ ตอนไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.ดุขนาดไหน พอเป็นแล้วเชื่องสนิท พันธมิตรยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน อนุพงษ์อยากทำรัฐประหารที่ไหนกัน ทหารรู้ว่ารัฐประหารแล้วไม่ใช่ปกครองได้ง่ายๆ ทำดียังไงก็ไม่มีทางถูกอกถูกใจคุณพ่อคุณแม่เสื้อเหลือง สลิ่ม หน้ากาก ทปท.รอ. สาวกแมลงสาบ ฯลฯ

ส่วนที่พวกเสื้อแดงกลัวว่าถ้ามี “ใบสั่ง” ประยุทธ์จะทำรัฐประหาร โหย ไม่ต้องกลัวครับ ถ้ามี “ใบสั่ง” ใครเป็น ผบ.ทบ.ก็ต้องทำรัฐประหาร

พูดอีกอย่าง สถานการณ์รัฐประหารไม่ได้ขึ้นกับใครเป็น ผบ.ทบ. ใครคุมกำลัง ใครขับรถถัง แต่ขึ้นกับการเมือง การม็อบ กระแส คะแนนนิยมรัฐบาล และเงื่อนตายที่จะผูกโดยตุลาการภิวัตน์ ไปสู้กันด้านนั้นดีกว่า

ผมยังรู้สึกว่าการที่ฝ่ายค้านหรือพวกจงเกลียดรัฐบาลมุ่งวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ เป็นเรื่องดี คนเกลียดทักษิณบางคนบ่นว่า รู้ไหม ชาวบ้านเขาด่า เอากระโปรงไปคลุมหัวทหาร ผมหัวเราะ นึกในใจว่าโพสต์ลงเฟซบุคสิครับ ด่า “อีปู” กันเข้าไป เดี๋ยวก็ซ้ำรอยเหยียดเพศจนได้ เป็นผู้หญิงแล้วผิดตรงไหน ผู้หญิงเป็นรัฐมนตรีกลาโหมไม่ได้หรือ

รัฐบาลต้องรับมือพวกต่อต้านด้วยความนิ่ง ใช้ท่าทีประชาธิปไตย แบบยิ่งลักษณ์ สุภาพ อ่อนน้อม ให้มันคลั่งกันไป อย่าไปด่า อย่าไปข่มขู่คุกคาม อย่ายกโทษประหารมาปราม อย่าทำให้ตัวตลกเป็นฮีโร่ เดี๋ยวพวกนี้ก็พลาดเอง โอกาสตีกลับยังมี โดยเฉพาะการโจมตีของสื่อ เช่นดิสเครดิตเค-วอเตอร์ จ้องล้มโครงการบริหารจัดการน้ำ หรือจู่ๆ ก็รับข่าวปล่อย อ.ย.สหรัฐห้ามนำเข้าข้าวไทย เล่นกันเข้าไป สื่อจะฉิบหายเอง

สำคัญคือรัฐบาลต้องชี้แจงให้ตรงประเด็น ตรงเป้า ทันท่วงที ขณะเดียวกันก็ต้องปรับการทำงาน หนึ่ง รื้อนโยบายที่มีปัญหา อย่างจำนำข้าว สอง เคลียร์ทุจริต (ซึ่งมีจริงแต่สื่อกระพือจนเกินเลย) สาม ทำงานเป็นทีมให้ได้ เน้นเรื่องชีวิตชาวบ้าน อย่างที่รัฐมนตรีชัชชาติขึ้นรถเมล์ นั่นถูกแล้ว อย่ามัวแต่ขายฝันรถไฟความเร็วสูง 2.2 ล้านล้าน แต่ชาวบ้านยังยืนรอรถเมล์ขาแข็ง

ผมไม่คิดว่ารัฐบาลจะต้องตั้งเป้ายุบสภา แต่ต้องเตรียมพร้อมยุบสภา ถ้าเกิดวิกฤตจากตุลาการภิวัตน์ ซึ่งอาจห้ามแก้รัฐธรรมนูญ ห้ามทำโครงการรถไฟความเร็วสูง แต่ไม่ยุบพรรค ไม่ตัดสิทธิ ไม่ถอดถอน 312 ส.ส. ส.ว.ปล่อยให้เป็นรัฐบาลเป็ดง่อยไปเรื่อยๆ

ถ้าอยู่ในสภาพนั้นก็ต้องคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไร ไม่ใช่ต้องยุบสภาเสมอไป เพราะเลือกตั้งใหม่ใช่ว่าเพื่อไทยจะได้คะแนนสูงกว่าเดิม ปี 54 เป็นจุดสูงสุดแล้ว เพราะเป็นชัยชนะที่มาจากชีวิตเลือดเนื้อมวลชนเสื้อแดง แต่ 2 ปีผ่านไป รัฐบาลแทบจะทำให้สูญเปล่า

เฮ้อ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ว่าเปิดสภาจะเอาเข้าทันที ก็เลื่อนอีกแล้ว โครงการ 2.2 ล้านมาก่อน

                                                                        ใบตองแห้ง
                                                                        28 มิ.ย.56
................................


29 มิถุนายน 2556 เวลา 14:58 น.

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คดีกบฎ-ก่อการร้าย ต้องทำให้...สะเด็ดน้ำ!!!

ที่มา vattavan


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
        มื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมไปดูหนังเรื่อง Olympus Has Fallen ที่ค่ายหนังตั้งชื่อเรื่องเป็นภาษาไทย
เรียกแขกได้ดี คือ
        “ฝ่าวิกฤติวินาศกรรมทำเนียบขาว”          เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ ไม่มีอะไรใหม่ แต่เป็นเรื่องพื้นๆ แบบ American Hero ที่มีผู้ก่อการร้ายเกาหลีเหนือ ยึดทำเนียบขาวสำเร็จ ฆ่าเจ้าหน้าที่ตายเป็นเบือ ทำลายทำเนียบขาวจนป่นปี้

content/picdata/437/data/photo_00992.jpg
        พระเอก ในเรื่อง ซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของประธานาธิบดี พบว่าตัวเองเป็นคนสุดท้าย ที่ยังมีชีวิตอยู่ในอาคารศูนย์กลางอำนาจโลก ที่ถูกยึดหลังนี้
        เขาได้ใช้ทักษะในการรบ และความรู้อย่างละเอียดเกี่ยวกับที่อาคารทำเนียบขาว ชิงความได้เปรียบ จนในที่สุดสามารถช่วยชีวิตประธานาธิบดี และทำลายล้างผู้ก่อการร้ายชาวเกาหลีเหนือราบคาบไป
        มีถ้อยคำของประธานาธิบดีในหนัง ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิต ที่น่าจะเรียกความสนใจจากคนดูได้ คือ
        ท่านได้ยืนยันว่า
        แม้ทำเนียบขาว จะพังทลายไป เพราะฝีมือผู้ก่อการร้าย แต่อเมริกันชนไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด และจะมุ่งมั่นพาชาติเดินก้าวหน้าต่อไป
        ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น!

        ผู้ เขียนฟังประธานาธิบดีในหนังพูดแล้ว รู้สึกดีมากทีเดียว ทำให้คิดถึงประเทศของเรา ที่แม้ไอ้พวกทหารอัปรีย์ยึดอำนาจประชาชน ตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 เอาไปใส่มือ ไอ้พวกระยำอย่างนายพลเขายายเที่ยง และพรรคประชาธิเปรต ทำให้บ้านเมืองของเราเสียหายหนัก แต่…        พวกเราคนไทยที่รักชาติ ใช้สิทธิอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย ช่วยกันยึดกลับคืนมาได้ทุกครั้ง!!        หนังเรื่องนี้ลงโรง ในช่วงเวลาเดียวกับที่บ้านเรา มีข่าวอัยการแผ่นดิน ได้ฟ้องร้องผู้ต้องหา คดี “ก่อการร้าย” ที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มเติมอีกชุดใหญ่ หลังจากที่เดิมได้ฟ้องร้องจำเลย คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวกไปแล้วรวมสองชุด แต่ด้วย “ผู้ก่อการร้าย” แก๊งนี้ มีจำนวนมาก ไม่สามารถไปศาลครั้งพร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว พนักงานอัยการจึงจำเป็นต้องทะยอยฟ้องเรื่อยมาเป็นชุดๆ จนครบจำนวนตามฟ้อง
        เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 ศาลนัดจำเลยทั้งหมดมาที่ศาล เพื่อสอบคำให้การจำเลยทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กระบวนการในศาลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เป็นเครื่องยืนยันว่า
        ระบบกฏหมายของเรา ยังพอเดินไปได้!

        ถ้าเรา ย้อนไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก่อนที่ฝ่ายพันธมาร จะเคลื่อนพลเข้ายึดสนามบิน ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด พวกเขาได้ยึดและทำลายทำเนียบ “ไทยคู่ฟ้า” ของประเทศไทย ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
        แม้ความเสียหายภายนอกทำเนียบ จะดูไม่มากมายนัก แต่ความร้ายแรงอยู่ตรงที่กลุ่มพันธมาร โจรกรรมเอา “ฮาร์ดดิสก์”  ที่บรรจุความลับของชาติ จากคอมพิวเตอร์ของสภาความมั่นคงแห่งชาติไป
        ตรงนี้...กลับไปมีใครพูดถึงเลย!

        เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล และนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำ ผมจึงได้เขียนบทความ เร่งเร้าให้รัฐบาลปัจจุบัน เปิดฉากการสอบสวนเรื่องการโจรกรรมเอา “ฮาร์ดดิสก์” ดังกล่าวอย่างจริงจัง แต่ยังไม่มีมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ แต่อย่างใดเลย
        (ดูบทความ เอา ‘คลังความลับ’ ของชาติไทยคืนมา!!!    http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=241)
        จึงฝากให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ เร่งรัดฝ่ายตำรวจช่วยดูแล  และดำเนินคดีป็นเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด โปรดอย่าปล่อยให้หายไปเป็นอันขาด เพราะเป็นการบ่อนทำลายบ้านเมืองของเราอย่างร้ายแรง และไม่รู้ว่า ข้อมูลดังกล่าวจะตกไปอยู่ในมือใคร
        ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ยาก คงไม่เกินความสามารถของ...ตำรวจไทย!        การที่พนักงานอัยการฟ้อง พล.ต.จำลอง กับพวกในข้อหา “ก่อการร้าย” เพราะกระทำผิดด้วยการยึดสนามบินในกรุงเทพ คือ สนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง นั้น สร้างความพอใจให้กับผู้คนจำนวนมาก
        รวมทั้งผมด้วย!         หลังจากพรรคดักดาน ซึ่งเป็นพรรคเสียงข้างน้อย ได้รับความช่วยเหลือจากทหาร ให้เข้ามาครองอำนาจในบ้านนี้เมืองนี้ เรื่องการยึดสนามบิน ซึ่งเป็นความผิดฐาน “ก่อการร้าย” อันเป็นสากล ดูเหมือนจะเลือนหายไป การดำเนินคดีกับพล.ต.จำลอง กับพวก ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับชาติอย่างร้ายแรง แทบไม่มีใครสนใจออกมาพูดเรื่องนี้ หรือปรากฏเป็นข่าวเลย แต่...
        เหตุการณ์ยึดสนามบินกรุงเทพ นั้น “วาทตะวัน” ได้เขียนบทความลง www.vattavan.com และยังตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ประชาททรรศน์รายวัน ชื่อคอลัมน์ "ประชาธิปัตย์จงฟัง อย่าให้คนเขาลือกันว่าเป็น...พรรคก่อการร้าย!!!" (
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=82)
        ผมได้ระบุชัด ว่า การยึดสนามบินของพันธมาร เป็นการกระทำความผิดฐาน...

        “ก่อการร้าย”
        ตอนนั้นไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน ว่าการยึดสนามบินนั้น เป็นความผิดฐานก่อการร้าย เพราะประมวลกฏหมายอาญา เพิ่งมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไป โดยอนุวรรตตามหลักสากล จึงไม่มีใครนึกถึง
        ผมเขียนเอาไว้ อย่างนี้ครับ...

        ...เรื่องอย่างนี้ ฝรั่งต่างด้าวท้าวต่างแดนถือว่า "เป็นเรื่องใหญ่นัก ยอมกันไม่ได้!" เพราะการใช้กำลัง เข้ายึด "สนามบิน-นานาชาติ" นั้น สังคมระหว่างประเทศเขาถือว่า เป็นการ        "ก่อการร้าย!"         หรือพูดให้เต็มยศหน่อย คือ "การก่อการร้ายสากล!!"        เดิมประเทศของเรานั้น ไม่ได้มีบทบัญญัติในเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่ปัจจุบันนี้ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1  บัญญัติให้การกระทำลักษณะนี้ เป็นการ  "ก่อการร้าย" เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ...
        หลังจากบทความดังกล่าวออกไป สร้างความปั่นป่วนเหมือนสำนวนฝรั่งที่ When the shit hits the fan หรือภาษาไทย “เมื่ออุจจาระ ปะทะพัดลม” อย่าง ที่ผมเคยพูดถึง และอธิบายความไปในคอลัมน์ก่อน ซึ่งผู้คนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะคาดไม่ถึงว่าการยึดสนามบินของ พล.ต.จำลอง กับกลุ่มพันธมารนั้น เป็นความผิดร้ายแรงอันเป็นสากล คือ
        การก่อการร้าย!!

        มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา และการคาดเดาไปต่างๆนานา ทั้งฝ่ายที่โกรธเคืองคนที่ยึดสนามบิน ซึ่งทำให้ประเทศชาติของเราได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ในสายตาของสังคมระหว่างประเทศ
        ฝ่ายพวกยึดสนามบินได้อ้างว่า พวกตนไม่ผิด ไม่ได้ก่อการร้าย แต่ “ก่อการดี” ต่างหาก
        เป็นอย่างนั้นไป

        ย่าง ไรก็ตาม การสอบสวนดำเนินคดีเรื่องการยึดสนามบินใน กทม. ของ พล.ต.จำลองฯกับพวก เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มีความเห็น “สั่งฟ้อง” พล.ต.จำลองฯกับพวกหลายสิบคน ในข้อหาร่วมกัน “ก่อการร้าย” ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณา
        หลังจากการพิจารณายืดเยื้อ ยาวนาน มีการเลื่อนการสั่งคดีมาหลายครั้งหลายหน จนผู้คนเอือมระอาคิดว่าจะไปฟ้องกัน “ชาติหน้า” แต่แล้วในที่สุดพนักงานอัยการได้พิจารณาแล้วเสร็จ   มีความเห็น “สั่งฟ้อง” พล.ต.จำลองฯกับผู้ต้องหาจำนวนมาก ที่ร่วมกันกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามความเห็นพนักงานสอบสวน

        คดีไปถึงศาลเรียบร้อยแล้ว คงจะเปิดการพิจารณาได้ในเร็วๆนี้ แต่ผมยังไม่ได้ยินข่าวความก้าวหน้า ในการสอบสวน เรื่อง การยึดสนามบินปักษ์ใต้ ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันเลย
ทั้งๆที่มีการสอบสวนในเรื่องนี้แล้วด้วย
        จึงต้องถามผ่านคอลัมน์นี้ ไปยังผู้รับผิดชอบ คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า
        สอบสวนไปถึงไหน และจะแล้วเสร็จสิ้นกันเมื่อใด?

        ที่ผมต้องเขียนทวงถาม เรื่องการก่อการร้ายด้วยการยึดสนามบินภาคใต้ เพราะมีข่าวแพลมออกมา ว่า...
        ในยุครัฐบาลประชาธิเปรตเรืองอำนาจ มีความพยายามหยุดยั้งสำนวนการสอบสวนในเรื่องนี้ ไม่ให้ดำเนินการต่อไป เพราะมีนักการเมืองท้องถิ่น “วงศา-คณาญาติ” ของนักการเมืองระดับชาติ เป็นผู้นำการยึดสนามบินด้วยตนเอง...
        จึงต้องตกอยู่ในข่าย เป็น “ผู้ต้องหา” ด้วย!

        ต้องขอส่งต่อปัญหา การดำเนินคดีกับผู้ก่อการร้าย ที่ยึดสนามบินภาคใต้ ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจัดการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
        ทำให้มัน “สะเด็ดน้ำ” เสียทีเถอะครับ!!!
*********
ท้ายบท นอกจากการยึดสนามบิน ทำให้ พล.ต.จำลองฯ กับพวก ซึ่งถูกฟ้องในข้อหา “ก่อการร้าย” แล้ว นั้น
        เขากับพวกยังมีข้อหา “กบฎ” ปักติดหลังอีกหนึ่งดอก!

        ขอเรียนกับท่านผู้อ่านว่า ตั้งแต่เริ่มมีเหตุการณ์ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน สร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมือง ผมได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ การกระทำของคนพวกนี้ แบบ “กัดติด” มาโดยตลอด ด้วยความเชื่อมั่น ว่า
        วันหนึ่ง เมื่อมีแสงแห่งความเป็นธรรม สามารถสาดส่องลอดผ่านความกาลี (ที่แผ่ “รังสีอัปรีย์” ปกคลุมบ้านเมืองของเรา มานานร่วมทศวรรษ) เข้ามาสู่สังคมไทยได้แล้ว พล.ต.จำลองฯ กับพวกเขา ที่ร่วมกันสร้างความบอบช้ำ ให้กับบ้านเมืองของเรา จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน
        วันที่ผมรอคอย มาถึงแล้ว!
        ผมเชื่อมั่นว่า ในอนาคตบทความของ “วาทตะวัน” จะต้องถูกอ้างอิง ในฐานะส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ที่มืดดำของบ้านนี้เมืองนี้
        ยังมีบทความที่เกี่ยวข้องอีก ดังต่อไปนี้…

        1. จำลอง ศรีเมือง กบฏและผู้นำการก่อการร้าย....ต้องโดนนนนน?!?   http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=112
        2. คดียึดสนามบิน ต้องเก็บ ‘สแปร์’ ให้เกลี้ยง!!!  http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=354
        อยากให้แฟนๆ ได้อ่านกันทุกคน จะได้มีความเข้าใจเรื่องราวของบ้านเมือง ได้ทะลุปรุโปร่ง และสามารถถ่ายทอดข้อมูลไปให้ลูกหลานของเรา ได้รู้ทั่วกันด้วย 
        นึ่ง ความเห็นของแฟน ที่โพสต์ท้ายคอลัมน์สัปดาห์ก่อน มีดังต่อไปนี้ครับ
ความคิดเห็นที่ 1   
สัตว์ โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครหนีพ้น คนอื่นไม่รู้ แต่ตัวเองรู้อยู่ตลอดเวลา ผลกรรมที่ทำไปจะตามหลอกหลอนในจิตตลอดเวลา เป็นไปตามพุทธภาษิตที่ว่า ไม่มีที่ลับในการทำความชั่ว
โดยคุณ
nsandee11@gmail.com  125.24.172.XXX 
ความคิดเห็นที่ 2   
อาจารย์ วาท ฯ ครับอาจารย์พูดถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ของเยอรมันที่มีต่อชาวยิวแล้ว ทำให้ผมคิดถึงความผิดปกติของจิตใจ นายมาร์ค ที่สามารถสั่งฆ่าคนไทยด้วยกันกลางกรุงได้อย่างโหดเหี้ยมและไม่สะทกสะท้านต่อ การกระทำของตนเองแต่อย่างใด ยังคงทำเหมือนกับไม่มีอะไรและพยายามยั่วยุญาติ พี่นองของผู้เสียชีวิตแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าเขาผู้นี้ต้องมีจิตที่ผิดปกติแน่นอน ผมจำคำพูดของอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษ ว่านายอภิสิทธิ์นั้น ถ้าได้พูดคุยและฟังเขาดี ๆ แล้ว จะเห็นความผิดปกคิดของเขา แต่ความผิดปกติที่อาจารย์ธิดา พูดถึง มีชื่อว่าอะไร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.สุทิน คลังแสง ก็เคยพูดที่ช่อง Asia update ว่ากำลังศึกษาว่าอาการของโรคนี้มันชื่อว่าอะไร ฮิตเลอร์เองเขาก็มีความผิดปกติเช่นเดียวกันแน่นอน ฉะนั้นในโอกาสที่ DSI จะส่ง พณ อภิสิทธิ์ ให้อัยการเพื่อพิจารณาส่งฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลนั้น ก็ขออวยพรให้ พณ ท่านถูกศาลพิจารณาและตัดสินโดยเร็ว เพื่อจะได้นำร่างของไปแขวนที่ต้นมะขามกลางสนามหลวงให้ประชาชนได้สาบแช่งหรือ ชื่นชม และไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับผ้นำคนอื่นต่อไปในอนาคต เหมือนกับ ไอชร์มันน์ของเยอรมัน ในอดีตต่อไป
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันต้องล้างแค้น  101.51.231.XXX 

ความคิดเห็นที่ 3   
สิ่งศักดิ์สิทธ์มีจริง...คนผิดต้องใช้กรรม
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันรอเวลา  58.9.128.XXX 

ความคิดเห็นที่ 4   
ผม เห็นการปฏิวัติรัฐประหารมาหลายครั้งแล้ว ทหารก็ไม่เคยถูกลงโทษเพระอภัยโทษให้ตัวเองกับพรรคพวกมาโดยตลอด ปีนี้แม้ หน และ รอง หก ปชป จะโดนดำเนินคดี แต่เชื่อเถอะว่า รอดยกแผง เพราะศาลบ้านเราไม่เคยเข้าข้างพลเมืองตาดำ ๆ อย่างคนไทยรากหญ้า และ คน กทม ก็ไม่เคยเห็นหัวคนต่างจังหวัด เสียดายชีวิตที่ผ่านมาตัดสินใจผิดมาอยู่ กท จนแก่แล้ว ไปไหนไม่รอดแล้ว จะกลับบ้านเชียงใหม่ก็ไม่มีที่จะอยู่เสียแล้ว ก็คงได้แต่ปลงไปวัน ๆ สวดมนต์นั่งสมาธิไปจนกว่าลมหายใจจะหมด เหลืออย่างเดียวที่อยากทำก่อนตายก็คือ นั่งรถไฟความเร็วสูงไปเที่ยวแล้วกลับเชียงใหม่สักครั้ง แต่เห็นจะไม่มีวันได้นั่งแล้ว เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองมัวแต่ขัดขาขัดขวางไม่ให้เจริญเหมือนชาติที่ ศิวิไลซ์แล้วทั้งโลก เชื่อว่าอีกไม่นาน ลาวและขมรหรือแม้แต่พม่าก็จะก้าวล่วงหน้าประเทศไทยเเราแน่นอน ผมคิดว่าผมคงตายเสียก่อนที่จะเห็นวันเช่นนั้นนะ เจ้าประคู้ณ
โดยคุณ
คนชราจากล้านนา/kokpor@hotmail.com  14.207.47.XXX    
ความคิดเห็นที่ 5   
ยัง หวั่นใจว่ากฎหมายจะเอื้อมไปไม่ถึงผู้สั่งการทั้งสอง และถ้าทำตรงไปตรงมาจริง ๆ อาจมีผู้เกี่ยวข้องที่ใหญ่โตจริง ๆ อีกหลายคน คนทำคงเจอตอแน่ ๆ และใครจะเป็นผู้กล้าที่แท้จริงที่จะทำคดีเพื่อลากคอคนเหล่านั้นให้มารับโทษ มองแล้วเห็นแตความมืดมิด ยังมองไม่ออกเลยว่าจะทำกันอย่างไร ยิ่งมองเห็นตัวกลั่นสองตัวยังหน้าระรื่นอยู่ ยิ่งมีความหวังน้อยลง ฤาเมืองไทยยังไม่ถึงเวลาที่จะขจัดคนชั่วให้หมดไปจากแผ่นดินได้ในห้วงเวลานี้
โดยคุณ ไม่แน่ใจ  115.87.99.XXX 

        (***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ คดีกบฎ-ก่อการร้าย ต้องทำให้...สะเด็ดน้ำ!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 29 มิถุนายน 2556)

ทำไมการลงทุนด้านคมนาคมของไทยจึงคุ้มค่า ?

ที่มา Voice TV




ที่ปรึกษาโครงการเมกะโปรเจ็ค และโครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลจากทั่วโลก แสดงความเห็นเกี่ยวกับการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คของไทย ว่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะก่อนที่ประเทศจะพัฒนาได้ ก็ต้องมีการลงทุนที่โครงสร้างพื้นฐานเสียก่อน  
 
 
Grant Thornton บริษัทชั้นนำผู้ให้คำปรึกษาเรื่องระบบขนส่งมวลชนจากอังกฤษ ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ด้วยประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปี และที่สำคัญที่สุด บริษัทนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้คำปรึกษารัฐบาลของประเทศต่างๆ ในการวางระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะระบบรางทั้งหลาย ทั้งรถไฟฟ้า และ รถรางเบา หรือ Lightrail อีกทั้ง ยังเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในโครงการเมกะโปรเจ็คทั้งหลายอีกด้วย
 
 
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศ ที่กำลังจะลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็ค มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท ในการเดินหน้า โครงการรถไฟฟ้า 10 สาย, รถไฟใต้ดิน, รถไฟรางคู่, รถไฟความเร็วสูง หรือ ไฮสปีดเทรน รวมถึงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งเรื่องทางวิ่งและอาคารผู้โดยสารในประเทศอีกด้วย 
 
 
ซึ่งนายวิล แม็ควิลเลียมส์ หนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัท Grant Thornton ก็แสดงความเห็นถึงเรื่องการกู้ยืมเงินของประเทศไทย ในการนำมาลงทุนในโครงการดังกล่าวว่า มีอยู่หลายปัจจัย ที่ต้องกังวล แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การลงทุนดังกล่าวมีความคุ้มค่าในระยะยาวหรือไม่ เพราะหลายประเทศในยุโรป ก็เลือกที่จะลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพราะเชื่อว่ามันจะคุ้มค่าในระยะยาว และเขาก็มองว่า หากไทยจะลงทุนในลักษณะดังกล่าว ก็น่าจะคุ้มค่าเช่นเดียวกัน
 
 
ซึ่งความเห็นของนายแม็ควิลเลียมส์ ถือว่ามีประโยชน์ต่อใครหลายคน ที่กำลังศึกษาเรื่องการวางระบบคมนาคมขนส่ง เนื่องจากที่ผ่านมา นายแม็ควิลเลียมส์ได้เป็นที่ปรึกษาในโครงการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะระบบรางของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาระบบรถไฟ ให้เป็นระดับ world-class ของบริษัทรถไฟในกาตาร์  การยกระดับมาตรฐานการให้บริการรถไฟของกระทรวงรถไฟในอินเดีย โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมระหว่างกรุงมอสโก และเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของกระทรวงคมนาคมรัสเซีย  โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ รวมถึงสก็อตแลนด์ของรัฐบาลอังกฤษ  การวางระบบรถไฟของในประเทศไอร์แลนด์ เป็นต้น
29 มิถุนายน 2556 เวลา 11:42 น.

20 นาทีแห่งการพบพานหลังม่านกรงเหล็ก การเยี่ยมพี่สมยศที่เรือนจำวันที่ 27 มิถุนายน 2556

ที่มา ประชาไท

 

วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดีเวลา 8.30 น.ซึ่งเป็นวันที่จุ๊บและพี่สมยศมีนัดกันเป็นประจำ เพียงแต่ว่านัดของเราไม่ใช่นัดตามสถานที่ที่คนทั่วไปนัด เรามีนัดกันที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ การนัดพบแต่ละครั้งจะมีลูกกรงเหล็กและแผ่นกระจกนิรภัยหนากั้นกลางระหว่างเรา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถปิดกั้นจิตวิญญาณของเราได้ วันนั้นเราได้ห้องหมายเลข 1 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ด้านในสุดของห้องเยี่ยมที่เรือนจำแห่งนี้ เช่นเคยพี่สมยศเดินออกมาตามทางเดินด้านในอย่างปราศจากความลังเลและว่องไวตาม ปรกติและมองตรงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวและเต็มไปด้วย ความหวัง ความสงบและ สันติ การพบกันในเช้านี้ทำให้จุ๊บรู้สึกผ่อนคลายและปลดปล่อยภาระกดดันที่หนักอึ้ง ทั้งมวลลง
ห้องหมายเลข 1เป็นห้องที่ไม่มีเครื่องโทรศัพท์ระหว่างด้านในและด้านนอก ปรกติแล้วจุ๊บจะต้องตะโกนเสียงดังถ้าไม่เช่นนั้นพี่สมยศจะไม่ได้ยิน ซึ่งทำให้จุ๊บหงุดหงิดและไม่ชอบใจแต่ปรากฏว่าวันนั้นโชคดีที่เสียงไม่ดังนัก มีเพียงผู้หญิงอีกคนหนึ่งมาเยี่ยมสามีและใช้ห้องเยี่ยมห้องนี้ร่วมกัน ณ.ขณะนั้นนาฬิกาเหมือนจะหยุดเดินและอนุญาตให้เราได้ใช้เวลาแสดงความห่วงใย อาทรต่อกันอย่างเต็มที่ แม้ว่าเราจะไม่ได้เอ่ยคำใดๆออกมาอย่างที่รู้สึกแต่การแสดงออกของเราก็คงบอก ได้ว่าเราคิดถึงกันมากแค่ไหน จนจุ๊บลืมเวลาเยี่ยมไปเลยว่าเรามีเวลาเพียง  20 นาทีเท่านั้น จนกระทั่งมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น พี่สมยศมักถามคำถามเดิมๆเหมือนทุกครั้งเช่น ตอนนี้อยู่คนเดียวเหรอ ลูกกลับบ้านบ้างหรือเปล่า ลูกๆเป็นอย่างไรบ้าง จุ๊บเข้าใจความรู้สึกของพี่และไม่เคยเบื่อหน่ายที่ถูกถามคำถามเดิมๆทุกครั้ง แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยแต่วันนั้นจุ๊บ กลับอารมณ์ดีและเข้าใจจิตใจของพี่สมยศที่คงจะห่วงใยในความปลอดภัยของเราแต่ ไม่อยากพูดออกมาตรงๆ
จุ๊บไม่รู้ว่าความต้องการของผู้ชายคนหนึ่งมีอะไรบ้าง แต่คิดว่าคนทุกคนก็คงมีความต้องการเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่อาหาร ยารักษาโรค อากาศและน้ำ แต่มนุษย์ผู้ชายทุกคนก็คงต้องการอาหารสมองและสิ่งอื่นๆที่จะมาหล่อเลี้ยงจิต ใจเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคงต้องการการดูแลเอาใจใส่ คนที่จะมาพูดคุยแลกเปลี่ยน ให้กำลังใจและยืนยันว่าเขาเป็นคนดีมีคุณค่า ให้ความสำคัญแก่เขาและย้ำว่าเขาเป็นที่รักของเราอยู่ เพื่อนที่ทำงานของจุ๊บบอกว่าสำหรับลูกน้องผู้ชายแล้วการให้การดูแลอย่างอ่อน โยนกว่าธรรมดาจะเป็นสิ่งผลักดันให้เขาทำงานดีขึ้นอย่างมาก สำหรับพี่สมยศที่เป็นคนเข้มแข็งก็คงจะไม่แตกต่างกัน พี่สมยศยังคงต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นและการใส่ใจทะนุถนอมเช่นกัน
หลังจากที่พี่สมยศถูกจองจำมา 26 เดือน ซึ่งเป็นวิกฤตของชีวิตที่ถาโถมเข้ามาแต่ก็ทำให้จุ๊บได้บทเรียนมากมาย ช่างน่าเสียดายเวลาก่อนที่พี่สมยศจะติดคุก เราไม่ได้พูดคุยและสื่อสารความต้องการและความรู้สึกต่อกันซักเท่าไหร่ ตอนนี้เรามีเวลาเพียง  20 นาทีต่อสัปดาห์แต่กลับทำให้เรารู้ใจกันมากขึ้น ก่อนหน้านี้จุ๊บรู้สึกอึดอัดที่จะพูดเรื่องของตัวเอง หน้าที่การงานและความเป็นไปในชีวิตออกไปให้พี่สมยศรู้ ซึ่งพี่สมยศก็เช่นกัน แต่ตอนนี้เราต้องใช้เวลาทุกๆนาทีอย่างมีค่าที่สุด เพราะฉะนั้นจุ๊บก็เลยพูดมากขึ้นและเขียนถึงพี่สมยศมากขึ้น
ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนักจุ๊บไม่อยากพลาดโอกาสที่มีอยู่ไปโดยไม่ได้แสดง ความรักและห่วงใยพี่สมยศ จุ๊บไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับป้าอุ๊ (รสมาลิน) ที่ไม่มีโอกาสได้สั่งเสียล่ำลาอากง (อำพล) ก่อนลมหายใจสุดท้ายของอากงจะหมดไป
จุ๊บ
29 มิถุนายน 2556





20 minutes between the iron bars
Prison visit to Somyot on 27 June 2013
It was Thursday morning at 08.30 AM when Somyot and I have regular visit every week. Iron bars and secure windows divided us apart but couldn’t separate our souls.  I was given the room no. 1 which was the last meeting room in the row in Bangkok Remand Prison. Without hesitation, Somyot walked fast and looked straight at me and smiled, his smile made the world so bright and full of hope and peace. I was so relieved to meet him in that morning.
As there was no telephone phone in that room so I have to shout otherwise he could not hear me which made me unhappy. Luckily it was quiet that day and only a lady and her husband sharing the room with us. A clock seemed to stop and allow us to take time together, at that moment, we shared the feeling of love and care to each other without saying a word and I forgot we just had 20 minutes until the alarm bell rang. He repeatedly asked me the same questions every week i.e. Do you live alone? Are our kids with you? How are they doing? I wasn’t bored to hear the same questions, I knew how he felt but probably he did not realize how many time he asked me. Sometime I felt these questions were illogical but I turned to understand him this day. He was probably worried about our safety but he was afraid to say out loud.
I don’t know exactly what a man wants but I guess everyone wants the same thing which is tender love! It is not just food, medicine, air and water but also food for thought and something for his soul. He needs someone to care about him, talk to him, give him moral support and ensure that he is great and secure him that he is being loved. My colleague said that she treated her male direct reports with more gentle and care and it worked well. So a strong man like Somyot still needs a warm hug and nurturing.
After 26 months of his imprisonment, actually it’s been a crisis for our life but I have learned a lot. It’s a pity that we had plenty of time before his detention but we hardly talked and shared our feeling. Now we have only 20 minutes a week however we understand each other better. Before that, I was very reluctant to talk about myself, my career and my wellbeing and so do him. At this time we have to utilize every single minute as valuable as we can so I expressed myself more by talking or writing to him.
Life is so short and I can’t afford to lose any opportunity to show how much I care about him, I don’t want to be in the same situation like Pa-Ueh (Rosmarin) who did not even say good bye to her husband, Ah-Kong (Amphon) before his last breath.
 Joop
29 June 2013




กล้องวงจรปิด พุทธศาสนาแบบรัฐ และความเถื่อนของสวนโมกข์ (ตอนที่ ๒)

ที่มา ประชาไท

 
วิจักขณ์ พานิช
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร

ความเถื่อนของสวนโมกข์ (๓) 

"เสรีภาพ" คือ พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้สติปัญญาและจิตวิญญาณของมนุษย์เรียนรู้และงอกงามได้ ดูเหมือนเหล่าสมณะจะไม่มัวเสียเวลาไปกับการเรียกร้องเสรีภาพทางสังคม พวกเขาเลือกที่จะเดินออกไปจากสังคม เพื่อแสวงหาคุณค่าใหม่ คุณค่าของชีวิตอันเป็นอิสระจากบ่วงรัดรึงทางโลกย์

ในพุทธศาสนา สัญลักษณ์ของพื้นที่เสรีภาพทางกายภาพ ไม่ใช่สังคมประชาธิปไตย แต่คือ พื้นที่ "นอก" สังคม "ป่า" อันแสดงถึง ความดิบและความเถื่อน ซึ่งการครอบงำทางความคิด (รวมถึงทางค่านิยม สังคม วัฒนธรรมอันดีงาม) ของมนุษย์ไปไม่ถึง

"ป่า" คือ พื้นที่ของนักแสวงหา ผู้ที่มีเป้าหมายอยู่ที่การค้นคว้า ทดลองความจริง --ความเป็นอิสระ อยู่คู่กับความเรียบง่าย สะท้อนวิถีชีวิตที่สอดคล้องไปกับการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ชุมชนที่เพื่อนร่วมอุดมการณ์อยู่ด้วยกัน ดูแลกัน ตักเตือนกัน และเป็นอิสระต่อกัน คือสังฆะ ที่มีเป้าหมายคือการฝึกปฏิบัติคำสอนเพื่อการปลดปล่อย

ทว่าดูเหมือน แนวทางของพุทธศาสนาแบบรัฐ จะตรงกันข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้นโดยสิ้นเชิง

ขณะที่พุทธศาสนาแบบรัฐพยายามสร้างสถานะ อำนาจ และความน่าเชื่อถือในการควบคุมความเชื่อทั้งหมดของพระและประชาชนในรัฐ พระนักปฏิบัติและพระนักปฏิวัติจำนวนไม่น้อยก็เลือกที่จะถอยห่างออกจากอิทธิพลคณะสงฆ์ของรัฐในรูปแบบที่ต่างกันออกไป

พุทธทาสกลับสู่บ้านเกิด ก่อตั้งสวนโมกขพลาราม ตลอดเวลาที่สวนโมกข์ดำเนินงานมา พุทธทาสไม่เคยให้สวนโมกข์เข้าสู่ระบบคณะสงฆ์ของรัฐเลย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งผลการดำเนินงาน บัญชี ระบบการจัดการ การติดต่อกับทางการทุกอย่าง สวนโมกข์จะอยู่ใน "สถานะลอย" มีวิธีการปฏิบัติในแบบของตัวเอง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพุทธทาสแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งส่วนใหญ่ทางการก็จะเกรงใจสวนโมกข์ และไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง แม้สวนโมกข์จะไม่เคยทำอะไรตรงตามที่ควรจะทำเลยก็ตาม

(ก) เกี่ยวกับระเบียบคณะสงฆ์ ,"ในวัด"
พุทธทาสมองว่า ถ้าเอาสวนโมกข์ เข้าสู่ระเบียบคณะสงฆ์เมื่อไหร่ พลังแห่งการสร้างสรรค์ ความเป็นตัวของตัวเอง และเสรีภาพของสวนโมกข์ก็จะหมดลงทันที

พระ "ในวัด" (ที่สังกัดคณะสงฆ์ของรัฐ) คือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหากยอมรับว่าสวนโมกข์เป็นวัดตามระบบของคณะสงฆ์ ก็หมายความว่าพระก็จะกลายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามกฏหมายไปด้วย เช่นเดียวกับกรรมการวัด และวิธีการบริหารวัด ซึ่งก็จะนำเอาระบบราชการมาใช้ ต้องแจกแจง ทำบัญชี การเงิน ระเบียบกฏเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างคนในวัดทั้งหมดก็จะสะท้อนการตีความศาสนาแบบรัฐ ธรรมวินัยถูกมองราวกับกฏหมาย การก่อสร้างและพัฒนาวัดต้องทำตามแบบ "ความเป็นไทย" ที่รัฐกำหนด ดำเนินตามนโยบายด้านศาสนาที่ถูกกำหนดมาจากส่วนกลาง

พุทธทาสมองเห็นว่า สวนโมกข์ ต้องไม่ใช่ "วัด" ตามระเบียบคณะสงฆ์ อย่างน้อยก็ในแง่ของการปฏิบัติอันเป็นที่รู้กัน สวนโมกข์ คือสวนโมกข์ ซึ่งดำรงสถานะลอยเป็น "อิสระ" จากคณะสงฆ์ของรัฐ อย่างเป็นตัวของตัวเอง

(ข) เงินนั้นไม่ใช่ของวัด
พุทธทาสมองว่า เงินที่ผู้ศรัทธาบริจาคเพื่อสนับสนุนงานสร้างสรรค์เพื่อพระศาสนา เป็นการบริจาคให้ "สวนโมกข์" ไม่ใช่บริจาค "ให้วัด"

ดังนั้น "ปัจจัย" ต้องถูกนำไปใช้ให้ตรงวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผู้ให้และผู้รับ สำหรับพุทธทาส เงิน คือ ปัจจัยอันนำไปสู่การสร้างสรรค์ ทางสติปัญญา ทั้งในทางกายภาพ (สิ่งปลูกสร้างในสวนโมกข์) ทางความคิด (หนังสือ งานเผยแผ่) และทางจิตวิญญาณ (ดูแลพระและการจัดอบรมภาวนา) ซึ่งทั้งหมด คือ การไว้ใจในแนวทางเฉพาะของสวนโมกข์ ไม่ใช่การไว้ใจในแนวทางพุทธศาสนาแบบรัฐ ดังนั้นในสายตาพุทธทาส เงินบริจาค จึงไม่ใช่ของวัด แต่เป็นของสวนโมกข์

ปัจจัยที่หามาได้ทั้งหมด มีเป้าหมายที่ตั้งอยู่บน integrity ของสวนโมกข์ พุทธทาสใช้คำว่า "หามาช่วยคน" เงินถูกนำมาใช้ในฐานะปัจจัยที่หล่อเลี้ยงกระบวนการเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ "กล้าแหวกแนว" คือ ส่งเสริมให้เกิดการทำอะไรใหม่ๆ ในทางสร้างสรรค์ ในที่นี้ พุทธทาสไม่เคยใช้เงินแบบ play safe เขาเน้นย้ำกับคนใกล้ชิดเสมอว่า "เงินนั้นไม่ได้มีไว้เก็บ" เรียกได้ว่า เมื่อมีปัจจัยที่คนบริจาคให้งานของสวนโมกข์ ก็ต้องบริหารจัดการเงินเพื่อใช้ในทางสร้างสรรค์อย่างสอดคล้องกับวิถีสวนโมกข์ ไม่ใช่เพื่อเก็บไว้สร้างสถานะ ความมั่นคง และมั่งคั่ง

พุทธทาสยืนยันว่า สวนโมกข์ไม่ใช่วัด แต่เป็นสวนป่าแห่งการหลุดพ้น ที่เขาใช้เป็นห้องทดลองกับตัวเอง และกับการเผยแผ่ธรรมะอย่างแหวก แนว พุทธทาสเล่นกับมัน ทดลองมัน ด้วยการคิดทำอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยยืนยันว่า "จัดแบบสวนถูกกว่าแบบวัด, สวนไม่ต้องมีบัญชี" และแน่นอนว่ารูปแบบนี้ได้ให้เสรีภาพกับพุทธทาสในการทดลองทำอะไรต่อมิอะไรโดยปราศจากการอิทธิพลครอบงำจากส่วนกลางได้มากกว่า

ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งหมดนั้นเป็นไปได้ ก็เพราะความมีวิสัยทัศน์ของพุทธทาส ในทัศนะของผม แนวทางนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือช่วยให้พุทธทาสทำอะไรได้สะดวกและง่าย

ทว่าข้อเสียก็คือ ทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่พุทธทาส แต่เพียงผู้เดียว (เผด็จการโดยธรรม) เมื่อพุทธทาสตายไป จึงหาใครที่มาทดแทนไม่ได้ นำมาสู่การชะงัก ลังเล และไม่กล้าตัดสินใจของหลายๆ ฝ่าย ซึ่งพุทธทาสคงมองเห็นข้อเสียตรงนี้ด้วยเช่นกัน ดังที่เขียนไว้ว่า การบริหารแบบตามใจฉันเช่นนี้ "ควรจะชั่ว 4-5 ปีนี้เท่านั้น"



ตอน (๔) อนาคตของสวนโมกข์ในยุคโพสต์พุทธทาส



พุทธทาสเชื่อมั่นในศักยภาพความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น และการพึ่งพาตนเองและตรวจสอบกันเองในชุมชนผู้ปฏิบัติ โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจจากส่วนกลาง และนี่คือเสรีภาพอันเป็นรากฐานให้กับการดำเนินงานของสวนโมกข์ ตรงกันข้าม ตลอดระยะเวลาที่คณะสงฆ์ของรัฐก่อตั้งขึ้นมา แม้จะมีความพยายามออกนโยบายเพื่อการกำหนดควบคุมรูปแบบพุทธศาสนาให้ตรงตามจินตนาการของรัฐเป็นพิมพ์เดียว แต่ก็ไม่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก เพราะศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อนักบวชที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงดูจะมีพลังมากกว่า ดังนั้นตราบใดที่สำนักนั้นๆ ไม่ได้มีท่าทีที่ท้าทายต่ออำนาจของคณะสงฆ์ การดำรง "สถานะลอย" ของพวกเขา ก็ช่วยให้สามารถดำเนินงานตามแนวทางของตนไปได้อย่างเป็นอิสระ

ความเป็นอิสระจากรัฐ คือ หัวใจของสวนป่าอันเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพุทธทาส โปรเจคมากมายถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้าง งานเสวนา โครงการ เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งนั่นสะท้อนถึงจิตวิญญาณการเรียนรู้ การทดลอง ความกล้าลองผิดลองถูก การสัมพันธ์กับความเป็นไปของสังคม ความตื่น การแหวกแนวอย่างเป็นตัวของตัวเอง และความเรียบง่ายอันเป็นเอกลักษณ์ของสวนโมกข์

ทว่าการบริหารงานตามใจฉัน โดยมีพุทธทาสและคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเป็นผู้รู้เห็นและร่วมรับผิดชอบ ก็นำมาสู่ปัญหาในที่สุด

ดูเหมือนพุทธทาสจะมองเห็นอนาคต ไว้แล้วล่วงหน้า ว่าเมื่อเขาไม่อยู่ ความขัดแย้งอาจจะเกิดขึ้น ระบบแบบเชื่อใจ "ให้คนรู้เห็นน้อยที่สุด จะได้ไม่มากเรื่อง" ความเป็นเผด็จการโดยธรรมที่ต้องอาศัยตัวบุคคลที่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูงสุดเช่นนั้น อาจไม่สามารถใช้ได้กับคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทน

สำหรับคนที่มาแทน การพยายามเดินตามแนวทางที่พุทธทาสวางไว้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้านหนึ่งหาก play safe พยายามรักษาทุกอย่างให้เหมือนเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ซึ่งน่าจะเป็นการสงวนรักษา "ความเป็นพุทธทาส" และ "ความเป็นสวนโมกข์" ไว้เป็นอนุสรณ์ให้แก่คนรุ่นหลังได้ดีที่สุด แต่ยิ่งสงวนรักษา สวนโมกข์ที่มีชีวิตชีวาก็จะหายไป ไม่มีอะไรใหม่ กลายสภาพเป็นแค่พิพิธภัณฑ์หรือสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง แต่หากผู้ที่เข้ามาแทนพยายามเปลี่ยนแปลง คิดใหม่ ทำใหม่ และออกกฏใหม่ ก็ย่อมทำให้เกิดการเปรียบเทียบและกระตุ้นให้เกิดความเห็นต่างและขัดแย้งกันในหมู่สาวกพุทธทาสยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่า

ตรงจุดนี้ ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าใครที่เข้ามาทำหน้าที่เจ้าอาวาสในยุคโพสต์พุทธทาส ย่อมเจอกับแรงต้านทั้งนั้น ด้วยเหตุผลเพียงเพราะคนคนนั้น "ไม่ใช่พุทธทาส" จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาวะกล้าๆ กลัวๆ จะทำให้ทิศทางของสวนโมกข์ที่ผ่านมา ค่อยๆ ตกไปสู่ความเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้นทุกทีๆ

ความเป็นผู้นำเผด็จการโดยธรรม แบบพุทธทาส จึงดูจะเป็นรูปแบบที่ใช้ไม่ได้ในยุคโพสต์พุทธทาส ซึ่งพุทธทาสคงมองเห็นข้อจำกัดตรงนี้ด้วยเช่นกัน จึงดำริไว้ว่า "เมื่อเราตายลง วัดธารน้ำไหลจะผูกพันอยู่กับมูลนิธิ แทนสวนโมกข์" ความเป็นวัด ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในสถานะลอย ไม่ต้องทำตามระเบียบของคณะสงฆ์ได้เพราะบารมีของตัวบุคคล จะเป็นไปได้ยากขึ้น เมื่อพุทธทาสไม่อยู่แล้ว วัดธารน้ำไหลจะต้องผูกพันอยู่กับธรรมทานมูลนิธิ แทนที่จะผูกอยู่กับสถานะลอยของสวนโมกข์เหมือนแต่ก่อน ผลคือวัดจะดำเนินงานอยู่ภายใต้รูปแบบมูลนิธิ ซึ่งจะเห็นได้ว่า พุทธทาสยังคงยืนยันที่จะไม่ให้วัดธารน้ำไหลอยู่ภายใต้ระเบียบคณะสงฆ์อีกเช่นเดิม เพราะรูปแบบมูลนิธิน่าจะ "เป็นอิสระ" "ช่วยคน" และ "กล้าแหวกแนว" ได้ดีกว่า

ส่วนโปรเจคสวนโมกข์นั้น "ให้อยู่โดยคณะธรรมทาน รับเบี้ยประจำวันไป" ซึ่งในแง่นี้ พุทธทาสต้องการให้การดำเนินงานเชิงสร้างสรรค์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการช่วยกันคิดและตกลงกันในหมู่คณะมากขึ้น โดยที่ไม่เอาความคิดของคนใดคนหนึ่งเป็นที่ตั้ง

ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับแนวทางที่พุทธทาสคิดไว้ทุกประการ แต่มองว่าพุทธทาสไม่ได้ตระเตรียมระบบดังกล่าวไว้เลยในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาเลือกที่จะใช้ระบบตามใจฉัน เผด็จการโดยธรรม เพราะมันสะดวก ง่าย และคล่องตัว ผลดีของมันคือ งานสวนโมกข์สำเร็จลุล่วงได้อย่างเป็นรูปธรรม ภายในช่วงชีวิตของพุทธทาสโดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ทว่าผลเสียคือ พุทธทาสไม่ได้สร้างระบบที่จะสามารถดำเนินไปเองได้โดยไม่เกิดการยึดมั่นหรือระแวดระวังใน "ธรรม" ของตัวผู้นำ

ตรงนี้หากไม่มองเป็นข้อเสีย ผมว่านี่แหละคือภารกิจที่คณะบุคคลที่จะเข้ามาสานต่องานสวนโมกข์ในรุ่นนี้และรุ่นต่อๆไปจะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ แม้พวกเขาจะไม่ใช่พุทธทาส แม้พวกเขาจะไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ อรหันต์ คนดี มีธรรมะเกินธรรมดา แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการร่วมกันสร้างระบบการดำเนินงานที่ดีขึ้นมาให้ได้ การบริหารจัดการวัดภายใต้มูลนิธิ และโปรเจคสวนโมกข์ในลักษณะการทำงานเป็นหมู่คณะ จำเป็นต้องอาศัยการประชุม สนทนา ถกเถียง โต้แย้ง พูดคุย และยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและไว้วางใจกันในหมู่คณะ จนเกิดเป็นภาพของสวนโมกข์ในฐานะ "สถาบัน" หรือ "สังฆะ" ที่สะท้อน integrity แบบสวนโมกข์ และมีพลวัตในตัวมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

บทสรุป

การติดตั้งกล้องวงจรปิดที่เคาน์เตอร์ฝั่งวัด สะท้อนถึงความพยายามในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบการดำเนินงานของวัดธารน้ำไหลเป็นครั้งแรกในยุคโพสต์พุทธทาส (หลังจากที่แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบอะไร ตลอดระยะเวลาเกือบ ๒๐ปี) ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับในความกล้าหาญ และความเป็นตัวของตัวเอง ของผู้ที่คิดและลงมือปฏิบัติ ทว่าทิศทางดังกล่าวดูจะผิดไปจากแนวทางของสวนโมกข์ที่พุทธทาสดำริไว้จากหน้ามือเป็นหลังมือ มันคือความพยายามในการหวนกลับไปสู่ระบบคณะสงฆ์ของรัฐและการตรวจสอบจากกลไกภายนอก แทนที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระ ความริเริ่มสร้างสรรค์ และส่งเสริมการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและตรวจสอบตัวเองและกันเองในสังฆะ


แต่คำถามสำคัญยิ่งกว่าการพยายามพุ่งเป้าโจมตีตัวบุคคลหรือการพยายามถอดเอากล้องวงจรปิด ออก ก็คือการตัดสินใจครั้งนี้ เกิดขึ้นจากมติของหมู่คณะ ผ่านการประชุม พูดคุยกันจริงๆ หรือไม่ อย่างไร? มันกำลังสื่อสารอะไรต่อความเป็นสวนโมกข์ในยุคโพสต์พุทธทาส?

นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ข้อความที่กล้องวงจรปิดตัวนี้พยายามสื่อสารก็คือ สวนโมกข์จะใช้วิธีการบริหารแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว การที่ผู้นำคนใหม่จะแตกต่าง เป็นตัวของตัวเอง และคิดใหม่ ทำใหม่ นั้นไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่หากกระทำการภายใต้ระบอบทำตามใจฉัน เผด็จการโดยธรรม อย่างที่เคยเป็นมาในอดีต ย่อมไม่สามารถทำให้เกิดความปรองดองภายในสวนโมกข์ในยุคโพสต์พุทธทาสได้ และที่สำคัญที่สุดคือ integrity ของพุทธทาสจากประสบการณ์ของศิษย์รุ่นก่อนจะถูกส่งผ่านมาสู่การดำเนินงานและการสร้างสรรค์ของสวนโมกข์ไม่ได้เลยหากความแตกต่างหลากหลายเหล่านั้นไม่ได้ถูกรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาและเสวนาเพื่อให้เกิดภาพที่ชัดเจนในทิศทางการก้าวไปของสวนโมกข์ในอนาคต

และประเด็นสุดท้าย การปฏิเสธอำนาจครอบงำจากระบบคณะสงฆ์ของรัฐจะต้องทำอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น การมีอยู่ของคณะสงฆ์ของรัฐไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อ เสรีภาพ พลังสร้างสรรค์ ของสังฆะอิสระอย่างสวนโมกข์เลย ความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาทั้งในแง่คำสอนและธรรมวินัยในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมาเป็นผลมากจากโครงสร้างทางการเมืองแบบแนวดิ่ง รวมศูนย์ และโหนอำนาจ ของคณะสงฆ์ของรัฐโดยตรง ซึ่งชาวพุทธ โดยเฉพาะฆราวาส ควรตระหนักถึงความจริงข้อนี้ สร้างการตระหนักรู้ และผลักดันให้เกิดกระบวนการแยกรัฐออกจากศาสนา (secularization) (ซึ่งเป็นกระบวนการทางเมือง) ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 29/06/56 กระทืบ..ทำร้ายกันพอหรือยัง!!!!

ที่มา blablabla


แผนแยบยล คนพาล สันดานสถุน
สร้างเรื่องวุ่น ใส่ร้าย คอยป้ายสี
คือผลงาน พวกดีดัก พรรคอัปรีย์
หวังย่ำยี ชาวนาไทย ให้ช้ำตรม....

ยังเดินหน้า ยั่วยุ กุเรื่องเท็จ
แล้วหมกเม็ด เลวระยำ ทำคุยข่ม
สาวกฟาย ก็ดูดดื่ม ปลื้มคารม
ดั่งอาจม เน่าเสีย ลิ้นเหิ้ยลวง....

ทั้งปล่อยข่าว ข้าวดีๆ มีสารพิษ
ให้ชาวบ้าน วิตกจริต ไม่คิดห่วง
หวังเพียงสร้าง ความสับสน ชนทั้งปวง
คือผลพวง พวกพรรคชั่ว ตัวจัญไร....

ใจร้ายใจดำ เกินมนุษย์ สุดจะกล่าว
ทุกเรื่องราว เราก็เห็น เป็นแบบไหน
แต่ละหยด เลือดน้ำตา ชาวนาไทย
จำฝังใจ พรรคสามานย์ สันดานเลว....

๓ บลา / ๒๙ มิ.ย.๕๖