ภายใต้ระบบการผลิตแบบดั้งเดิม
ความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนดำรงอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมแบบ
หนึ่ง แต่เมื่อเปลี่ยนมาปลูกพืชพาณิชย์ ทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนไป
ส่งผลให้ความสัมพันธ์ภายในชุมชนปรับเปลี่ยนไปด้วย
พืชพาณิชย์ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ
การมีรายได้และทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และหอมแดงทำ
ให้กลุ่มคนที่เคยมีฐานะยากจนมีโอกาสขยับฐานะทางสังคมขึ้น พร้อม ๆ
กับเกณฑ์ในการจัดช่วงชั้นคนรวย-คนจนในชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป
ชนชั้นทางสังคมในระบบการผลิตแบบเดิม
ในอดีตชุมชนก่อวิละ(นามสมมติ)
คล้ายกับชุมชนปาเกอะญออีกจำนวนมากที่ฐานะทางเศรษฐกิจชี้วัดจากการปลูกได้
ข้าวพอกินตลอดทั้งปี
ครัวเรือนที่นับว่ามีฐานะดีมักเป็นครัวเรือนที่มีนาจำนวนมากจึงมีผลผลิตข้าว
ค่อนข้างแน่นอนสม่ำเสมอและมีอัตราผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่สูง
ส่วนครัวเรือนที่ยากจนมักเป็นครัวเรือนที่มีนาน้อยหรือไม่มีเลย
อาศัยผลผลิตข้าวจากการทำไร่เป็นหลักซึ่งต้องเผชิญกับความผันผวนของดินฟ้า
อากาศโรคและแมลงที่ทำให้ผลผลิตข้าวแต่ละปีไม่แน่นอน
ที่ตั้งของชุมชนอยู่ในหุบเขาซึ่งที่ดินมีความลาดชันสูง
ระบบการผลิตหลักของชุมชนบ้านก่อวิละจึงเป็นการทำไร่
มีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่สามารถบุกเบิกพื้นที่ลาดชันให้เป็นนาขั้นบันได
ประกอบกับมีแรงงานไม่พอและไม่มีเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปรับ
ที่ดินและพัฒนาระบบชลประทานพื้นบ้าน (เหมืองฝาย) ทำให้การเบิกนามีข้อจำกัด
การทำไร่ของบ้านก่อวิละ เป็น “ไร่หมุนเวียน”
คือเพาะปลูกข้าวไร่ผสมผสานกับพืชอาหารต่าง ๆ โดยอาศัยน้ำฝน
มีการหมุนเวียนเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกในแต่ละปี
ไม่ทำการผลิตซ้ำที่ดินเดิมจนกว่าที่ดินแปลงนั้น ๆ
จะได้พักตัวเพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์เสียก่อนเป็นเวลา 5-7 ปี
แล้วจึงค่อยหมุนเวียนกลับมาใช้ที่ดินทำการเพาะปลูกอีกครั้งหนึ่ง
จารีตประเพณีมีความสำคัญในการกำกับควบคุมวิถีชีวิตความเป็นอยู่
การจัดสรรทรัพยากร ซึ่งสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจในขณะนั้น
งานศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งการบอกเล่าของผู้อาวุโสในชุมชนสอดคล้องกันในทำนอง
ที่ว่าระบบการจัดสรรที่ดินยึดหลักสิทธิการใช้
กล่าวคือเฉพาะผู้ทำไร่ในปีนั้นจึงจะมีสิทธิในที่ดินและพืชผลในที่เพาะปลูก
แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้นตลอดไป
เพราะเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวจะนับว่าที่ดินเป็นของส่วนรวมที่
ครัวเรือนอื่น ๆ
จะเข้ามาเก็บหาผลผลิตการเกษตรหรือผลผลิตจากธรรมชาติในที่ดินได้
และเมื่อผ่านไป 5-7 ปีจนถึงรอบเวลาที่สามารถใช้ที่ดินเพาะปลูกได้อีกครั้ง
หากครัวเรือนเดิมไม่เข้าไปเพาะปลูกก็จะต้องยอมให้ครัวเรือนอื่นเข้าไปใช้
ที่ดิน
การวางเงื่อนไขแบบนี้ช่วยกระจายโอกาสให้สมาชิกชุมชนสามารถเข้าถึงที่ดินได้
พอสมควร
สำหรับการทำนา พื้นที่นามักเป็นที่ดินที่อยู่บริเวณหุบเขา
อยู่ใกล้หรือติดกับลำห้วย ต้องมีการปรับที่ดินให้เป็นขั้นบันได
และขุดลำเหมืองเพื่อส่งน้ำเข้าสู่แปลงนาที่อยู่ด้านบนสุดให้น้ำไหลลงผ่านลง
มาแปลงนาที่อยู่ถัดไปในด้านล่าง
การบุกเบิกพื้นที่ลาดชันให้เป็นนาขั้นบันไดเป็นงานหนักที่ต้องอาศัยแรงงาน
จำนวนมาก
ความยากลำบากในการบุกเบิกที่นาทำให้ชาวบ้านมีหลักคิดเกี่ยวกับสิทธิเหนือ
ที่ดินต่างออกไปจากที่ดินที่ใช้ทำไร่ กล่าวคือ
ชาวบ้านจะยอมรับให้ผู้ลงทุนลงแรงเบิกนาครอบครองที่ดินแบบเบ็ดเสร็จ
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าทำประโยชน์ การซื้อ-ขาย หรือให้ผู้อื่นมาเช่าทำประโยชน์
และโดยส่วนใหญ่เจ้าของนาก็มักจะทำการผลิตในที่ดินต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ที่ดินหมุนเวียนเพื่อพักตัวเหมือนการทำไร่
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าผู้มีนามักถูกจัดว่าเป็นผู้มีความมั่งคงทาง
เศรษฐกิจ เพราะมีความมั่นคงทางอาหาร
นอกจากนั้นการทำนายังมีแรงกดดันในการใช้ที่ดินน้อยกว่าการทำไร่
ด้วยสภาพที่ดินที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
และการเพาะปลูกในที่ดินเดิมอย่างต่อเนื่องทำให้โดยทั่วไปแล้วเจ้าหน้าที่รัฐ
จะเข้าใจได้โดยง่ายว่าที่นาเป็น “พื้นที่การเกษตร”
และยอมรับสิทธิของชาวบ้านในที่ดินนั้นแม้ว่าชาวบ้านจะไม่มีเอกสารสิทธิตาม
กฎหมายก็ตาม
ต่างการแผ้วถางที่ดินเพื่อทำไร่หมุนเวียนที่มักถูกเข้าใจว่าเป็นการตัดไม้
ทำลายป่า
ผู้ทำไร่ในพื้นที่สูงที่ทำไร่หมุนเวียนจึงถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไล่จับและ
ดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก
การปลูกพืชเศรษฐกิจกับการปรับเปลี่ยนฐานะ
ด้วยแรงกดดันจากนโยบายการอนุรักษ์ของรัฐทำให้ชาวบ้านก่อวิละจำเป็นต้อง
ลดรอบการหมุนเวียนที่ดินเพื่อทำไร่จนกระทั่งครัวเรือนหนึ่ง ๆ
ต้องทำไร่ซ้ำในที่ดินเดิมทุกปี
ความต้องการของตลาดยังเป็นแรงผลักให้การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในชุมชนขยาย
ตัวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับในชุมชนบนพื้นที่สูงอีกหลายแห่งของอำเภอแม่
แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
ระบบการผลิตที่เปลี่ยนไปทำให้ระบบสิทธิและการจัดสรรการใช้ที่ดินของชุมชน
เปลี่ยนไปด้วย ที่ไร่แทบทุกแห่งกลายเป็น “ไร่ถาวร”
ที่ไม่มีการเปลี่ยนมือหรือหมุนเวียนให้ครัวเรือนอื่น ๆ เข้ามาใช้อีกต่อไป
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ว่าการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ทำให้ชาวบ้านบ้านก่อวิละมีรายได้มากขึ้น
หลายครัวเรือนสามารถสะสมทุนและมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ชาวบ้านปลูกข้าวโพดบนที่ดินที่เคยทำไร่หมุนเวียน
และแม้กระทั่งในที่ดินที่เคยทำนา
การมีฐานะทางเศรษฐกิจดีย่อมส่งผลต่อสถานภาพทางสังคม
และอำนาจในการออกสิทธิออกเสียงในเรื่องต่าง ๆ ภายในชุมชน
ภายใต้ระบบการผลิตแบบเดิมที่เน้นการปลูกข้าวให้พอกินตลอดทั้งปี
ผู้มีฐานะดีซึ่งปลูกข้าวได้มากเป็นครัวเรือนที่ได้รับมรดกที่นามาจาก
บรรพบุรุษจำกัดอยู่เพียงไม่กี่กลุ่มตระกูลเท่านั้น ในบ้านก่อวิละมีนา 283
ไร่ คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของพื้นที่ทำกินทั้งหมดในชุมชน โดยมีเพียง 44
ครัวเรือนที่มีที่นา จากประชากรทั้งหมด 70 ครัวเรือน
ในจำนวนนี้ถือครองที่นาขนาดแตกต่างกันไปซึ่งทำให้มีฐานะต่างกันไปอีกด้วย
หากยึดตามระบบการผลิตและจารีตประเพณีแบบเดิม
เป็นการยากที่ครัวเรือนนอกกลุ่มตระกูลเหล่านี้จะขยับตัวเองให้มีฐานะดีขึ้น
มาได้ เพราะบรรพบุรุษไม่ได้บุกเบิกนาเอาไว้
ครั้นคนรุ่นปัจจุบันอยากจะเบิกที่นาเพิ่มก็ทำไม่ได้เนื่องจากที่ดินที่เหมาะ
สมจะเบิกนาได้ถูกครอบครองและเบิกนาไปแล้วโดยกลุ่มตระกูลดังกล่าว
อย่างไรก็ตามการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และหอมแดงเชิงพาณิชย์และระบบ
เศรษฐกิจแบบใหม่ทำให้ฐานะและช่วงชั้นภายในชุมชนมีการขยับสับเปลี่ยนไม่ผูก
ขาดอยู่กับคนที่มีนาอีกต่อไป
ตัวชี้วัดฐานะทางเศรษฐกิจซึ่งหมายถึงรวมสิ่งสะท้อนชนชั้นภายในชุมชนไม่ใช่
ที่นาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงการมีรายได้ มีทรัพย์สินต่าง ๆ
ทั้งเครื่องจักรกลและเครื่องมือในการเกษตร ยานพาหนะ
รวมไปถึงที่ดินที่มีการซื้อเพิ่มเติมนอกเขตชุมชน[1]ที่
ทำให้ชาวบ้านสามารถทำการผลิตและหารายได้ (เช่นจากการรับจ้าง)
เพื่อสะสมทุนได้เพิ่มขึ้น
ในสภาวะนี้ผู้ที่เคยจัดว่ามีฐานะยากจนเพราะไม่มีที่นามีโอกาสขยับฐานะทาง
เศรษฐกิจขึ้นไปด้วยรายได้จากการปลูกพืชเศรษฐกิจ
และฐานะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปย่อมส่งผลถึงสิทธิเสียงหรือความสัมพันธ์เชิง
อำนาจระหว่างครัวเรือนเหล่านั้นกับครัวเรือนอื่น ๆ ในชุมชน
ทุกวันนี้รายได้หลักของชาวบ้านก่อวิละมาจากข้าวโพดเลี้ยวสัตว์และหอม
แดง เมื่อนำรายได้จากการปลูกข้าวโพดปีการผลิต 2552
รวมกับรายได้จากการปลูกหอมแดงปีการผลิต 2553 พบว่า
ครัวเรือนมีรายได้จากข้าวโพดและหอมแดงเฉลี่ยปีละ 118,786 บาท
แต่เกือบทุกครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 85,891 บาท
คิดเป็นรายได้สุทธิเฉลี่ยครัวเรือนละ 32,895 บาท นอกเหนือจากตัวเลขนี้แล้ว
ชาวบ้านยังมีรายได้จากช่องทางอื่น ๆ อีก ได้แก่ หนึ่ง
รายได้จากพืชเกษตรอื่นรวมถึงรายได้ที่เกี่ยวเนื่องจากการเกษตร เช่น
รายได้จากการรับจ้างโม่ข้าวโพด รายได้จากการรับจ้างขนส่งผลผลิตทางการเกษตร
รายได้จากการรับจ้างแรงงาน เป็นต้น สอง รายได้จากการค้าขาย เช่น การค้าวัว หมู แพะหรือของป่า รวมถึงครัวเรือนที่เปิดเป็นร้านค้าของชำ และ สาม รายได้จากเงินเดือนประจำตำแหน่ง เช่นกรณีผู้ใหญ่บ้าน และนักการเมืองท้องถิ่น เป็นต้น
เมื่อนำข้อมูลรายได้สุทธิมาวิเคราะห์ร่วมกับความสามารถในการสะสมทุนโดย
พิจารณาจากการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นรถยนต์
และที่ดินนอกเขตชุมชนที่ชาวบ้านซื้อเพิ่มเติม
สามารถจัดกลุ่มฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านก่อวิละได้ 4 กลุ่ม หนึ่ง
กลุ่มครัวเรือนร่ำรวย มี 14 ครัวเรือน มีรายได้สุทธิต่อปีไม่เกินสองแสนบาท
บางครัวเรือนมีรายได้ค่อนข้างน้อย แต่มีที่ดิน และรถยนต์
ซึ่งรวมถึงรถโม่ข้าวโพด บางครัวเรือนเป็นเจ้าของร้านค้าของชำ ในจำนวนนี้มี 2
รายไม่มีที่นา สอง กลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะค่อนข้างรวย มี 25
ครัวเรือน มีรายได้ต่อปีไม่เกินหนึ่งแสนบาท
บางครัวเรือนจะมีรายได้มากแต่ไม่มีความสามารถในการสะสมทุน
ขณะที่บางครัวเรือนแม้ว่าจะมีรายได้น้อยแต่มีความสามารถในการสะสมทุน สาม
กลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะปานกลาง มี 26 ครัวเรือน
มีช่วงของรายได้สุทธิต่อปี ค่อนข้างกว้างคือตั้งแต่ติดลบไปจนถึงห้าหมื่นบาท
ครัวเรือนที่มีหนี้สินส่วนใหญ่มาจากการซื้อรถยนต์
ในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนที่มีนาถึง 17 ครัวเรือน สี่
กลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะยากจน มี 5 ครัวเรือน ทั้งหมดมีรายได้สุทธิติดลบ
ยอดติดลบมากที่สุดคือ -50,000 บาทต่อปี ในจำนวนนี้มีครัวเรือนที่มีนาอยู่
1 ครัวเรือน
จากการแบ่งกลุ่มฐานะข้างต้น
จะเห็นได้ว่าจำนวนครัวเรือนที่มีฐานะร่ำรวยและค่อนข้างร่ำรวย
ไม่ได้มีเฉพาะผู้มีนาอีกแล้ว แต่เกลี่ยไปยังคนกลุ่มอื่นในชุมชน
และปรากฏว่าครัวเรือนที่ไม่มีนาก็สามารถจัดอยู่ในสองกลุ่มนี้ได้เพราะมีราย
ได้และสะสมทุนจากการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ
ขณะที่ผู้มีนาอาจจัดเป็นผู้มีฐานะยากจนไปได้เช่นกัน
ดังปรากฏว่าในกลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะปานกลางและกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนมีนา
ถึง 18 ครัวเรือน กระนั้นก็ตาม
มีแนวโน้มว่าครัวเรือนฐานะดีโดยส่วนใหญ่ยังเป็นครัวเรือนที่มีนา
ทั้งนี้เพราะการทำนาช่วยให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องความมั่งคงทางอาหาร
จึงสามารถใช้ที่นาปลูกข้าวได้พอกินตลอดทั้งปี
จึงสามารถใช้ที่ไร่ปลูกข้าวโพดได้อย่างเต็มที่
ทั้งยังมีการปลูกข้าวโพดในที่นา
หรือทำหอมแดงในบริเวณที่นาในช่วงฤดูแล้งซึ่งมีระบบเหมืองฝายอยู่แล้ว
ส่วนครัวเรือนที่ไม่มีนายังจำเป็นต้องแบ่งที่ไร่ที่ส่วนหนึ่งปลูกข้าวไว้กิน
ระบบการผลิตใหม่ เศรษฐกิจใหม่ ฐานะใหม่
การปลูกข้าวโพดและพืชเชิงพาณิชย์ ทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป
จนส่งผลต่อการจัดช่วงชั้นใหม่ภายในชุมชน
ซึ่งอำนาจทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นย่อมหมายถึงฐานะทางสังคม
หรืออำนาจทางการเมืองในการแสดงความเห็นในเรื่องต่าง ๆ
ภายในชุมชนที่มากขึ้นด้วย เช่น
ในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและในด้านการพัฒนาชุมชน
ความเกี่ยวโยงระหว่างอำนาจทางเศรษฐกิจกับอำนาจทางการเมืองในแง่นี้เป็น
เรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตาม
ในที่นี้ผู้เขียนจะยังไม่ขยายความถึงประเด็นนี้
เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่าการทำความเข้าใจเหตุผลในการเพาะปลูกพืชพาณิชย์ของ
ชาวบ้านไม่อาจตัดตอนพิจารณาเฉพาะในเรื่องผลตอบแทนเชิงรายได้เพียงอย่าง
เดียว
นอกจากอำนาจต่อรองในบรรดาสมาชิกในชุมชนแล้ว
การสะสมทุนจากการปลูกพืชเศรษฐกิจยังทำให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงที่เคยแลดูเป็น
“ชาวเขา”
ยากจนและด้อยอำนาจสามารถขยับตนเองให้มีฐานะทางสังคมดีขึ้นท่ามกลางความ
สัมพันธ์กับชาวบ้านพื้นราบอีกด้วย ตัวอย่างเช่น
การปลูกพืชเกษตรจนกระทั่งสามารถสะสมทุนมาซื้อรถยนต์ซึ่งจัดว่าเป็นเครื่อง
มือการเกษตรแบบหนึ่งทำให้ชาวบ้านมีอำนาจต่อรองในระบบตลาดได้มากขึ้น
เพราะผู้มีรถยนต์สามารถเลือกแหล่งจำหน่ายผลผลิตการเกษตรด้วยตนเองในช่วงที่
บรรทุกผลผลิตไปตระเวนเสนอขายและเช็คราคายังแหล่งรับซื้อต่าง ๆ
แต่ผู้ที่ไม่มีรถยนต์จะต้องอาศัยว่าจ้างรถยนต์ของเพื่อนบ้านซึ่งเจ้าของรถ
มักเป็นผู้ให้คำแนะนำหรือเลือกแหล่งจำหน่ายผลิตให้ด้วย
การติดต่อขายผลผลผลิตกับแหล่งรับซื้อเป็นการสร้างความรู้จักมักคุ้นกันแบบ
หนึ่งระหว่างเกษตรกรกับผู้รับซื้อซึ่งเป็นคนพื้นราบที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ
ในอำเภอแม่แจ่ม ความสัมพันธ์ทางการค้าสามารถทำให้เกษตรกร “กว้างขวาง”
มากขึ้นและนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองในลักษณะอื่นๆ
ที่นอกเหนือไปจากเรื่องการค้าขายข้าวโพดเพียงอย่างเดียว
ในที่นี้ผู้เขียนจะยังไม่กล่าวถึงประเด็นนี้เพียงต้องการจะชี้ให้เห็นถึง
ช่องทางบางประการที่ทำให้เกษตรกรสามารถขยับทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและฐานะทาง
สังคมจากการปลูกพืชเชิงพาณิชย์
บทความนี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนหรือแสดงความเห็นใด ๆ
ต่อการปลูกพืชพาณิชย์ของชาวบ้านบนพื้นที่สูง
เพียงแต่ต้องการสร้างความเข้าใจถึงเงื่อนไขต่าง ๆ
ที่ส่งผลให้การเพาะปลูกพืชพาณิชย์ขยายตัวเพิ่มขึ้นในพื้นที่สูง
ผู้เขียนไม่ได้ปฏิเสธว่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมีส่วนสำคัญที่ทำให้
เกษตรกรเลือกปลูกพืชเหล่านั้น
แต่เงื่อนไขทางเศรษฐกิจย่อมเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ทางสังคมและการ
เมืองอย่างแยกไม่ออก
ในกรณีของบ้านก่อวิละจะเห็นได้ว่าการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และหอมแดง
ไม่เพียงทำให้คนที่เคยมีฐานะยากจนในชุมชนสามารถขยับฐานะทางเศรษฐกิจให้ดี
ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
แต่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มาพร้อมกับการปลูกพืชพาณิชย์ยังทำให้นิยามหรือตัว
ชี้วัดความรวย-จนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป
นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์เชิงอำนาจในบรรดาสมาชิกชุมชน
และระหว่างสมาชิกกับคนภายนอกชุมชนย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย
[1] ชาวบ้านก่อวิละ 17 ครัวเรือน ซื้อที่ดินรวมทั้งสิ้น 23 แปลง คิดเป็นเนื้อที่รวม 157 ไร่ เป็นจำนวนเงิน 1,121,800 บาท มีหนึ่งราย ซื้อที่ดินไว้มากสุดจำนวน 5 แปลง รวมเนื้อที่ 44.5 ไร่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น