ดูรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” นำเสนอคลิปหลวงปู่เณรคำนิมิต (ฝัน)
เห็นเทวดาแล้วมีคำถามทำนองว่า เข้าข่ายต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่
ผมเองเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่สื่อหลัก สื่อรองจะนำเสนอปัญหา
ตรวจสอบการกระทำของพระให้มากขึ้น
เพราะพระก็คือบุคคลสาธารณะที่ต้องถูกวิจารณ์ตรวจสอบเหมือนบุคคลสาธารณะอื่นๆ
แต่ผมมีข้อสังเกตว่า หากเป็นเรื่องฉาวของพระเล็กพระน้อย
หรือพระชื่อดังที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจคณะสงฆ์ หรืออำนาจจารีต
สื่อก็จะนำเสนอข่าวอย่างเจาะลึกและต่อเนื่องมากเป็นพิเศษ ทั้งที่จริงๆแล้ว
พฤติกรรมที่ถูกตั้งคำถามในเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรมของพระชื่อดังเป็นปัญหา
มานานแล้ว แต่ก่อนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ประกาศตนว่า
“บรรลุเป็นพระอรหันต์” ก็ไม่เคยเห็นสื่อหลักนำเสนอปัญหานี้
ปัญหาวัตถุมงคลพาณิชย์ เช่นการปลุกเสกวัตถุมงคลก็มีอยู่ทั่วไป
แม้แต่วัดของสมเด็จพระสังฆราชเอง
แต่วัดที่ห่างจากศูนย์กลางอำนาจเท่านั้นที่ถูกวิจารณ์
เรื่องที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการอวดอุตตริมนุนสธรรมในเชิงอ้าง
“ญาณวิเศษ” หยั่งรู้อดีตชาติ และรู้ว่าใครตายแล้วไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน
เช่นกรณีหลวงพ่อฤาษีลิงดำ กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
หรือแม้แต่กรณีพระผู้ใหญ่ที่เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์และเป็นกรรมการมหา
เถรสมาคมถูกอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์
ทำหนังสือร้องเรียนเรื่องต้องอาบัติปาราชิก
ก็ไม่เห็นสื่อหลักสนใจจะเสนอข่าวเชิงวิเคราะห์เจาะลึกแต่อย่างใด ทั้งๆ
ที่อาจารย์สุลักษณ์ก็พูดปัญหานี้ต่อสาธารณะบ่อยมาก
และตัวอาจารย์สุลักษณ์เองก็ไม่ใช่บุคคลลึกลับที่สื่อจะไปสัมภาษณ์สอบถามข้อ
เท็จจริงไม่ได้
การอวดอุตตริมนุสสธรรมคืออะไร
การอวดอุตตริมนุสสธรรมไม่ใช่ปัญหาเรื่องมุมมอง เรื่องของความคิดเห็น
หรือเป็นเรื่องที่ “แล้วแต่ใครจะตีความ”
แต่เป็นเรื่องที่พระภิกษุในนิกายเถรวาทต้องปฏิบัติตามวินัยสงฆ์นิกายเถรวาท
ที่บัญญัติไว้ในวินัยปิฎกอย่างชัดเจนว่า “ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก” และ “ถ้าบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีในตนแก่อนุปสัมบัน (บุคคลที่ไม่ใช่ภิกษุและภิกษุณี) ต้องอาบัติปาจิตตีย์” หมายความว่า การอวดอุตตริมนุสสธรรมแก่ฆราวาสนั้น “ผิดวินัยสงฆ์” อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ถ้าสิ่งที่อวดนั้นไม่จริง เช่น บอกเล่า ประกาศ
หรือแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าตนเองบรรลุโสดาบัน สกทาคามี
อนาคามี หรืออรหันต์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดนั้น
หรือเพื่อให้รู้ว่าตนเองมีคุณวิเศษต่างๆ เช่นสามารถระลึกชาติได้
รู้ว่าใครตายแล้วไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน
ภาษาทางศาสนาคือการอวดว่าตนเองมีวิชชา 3 อภิญญา 6 สมาบัติ 8 เป็นต้น
ซึ่งตนเองไม่ได้บรรลุหรือไม่ได้มีคุณวิเศษต่างๆเหล่านี้จริง
ย่อมต้องอาบัติปาราชิก
แต่ถึงแม้จะบรรลุจริง มีคุณสมบัติเหล่านั้นจริง หากบอกแก่ฆราวาส
(รวมทั้งสามเณรด้วย เพราะสามเณรและฆราวาสคือ “อนุปสัมบัน”)
ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาราชิกมีโทษหนักคือขาดจากความเป็นพระ
อาบัติปาจิตตีย์มีโทษอย่างกลาง
ปลงอาบัติได้ด้วยการสารภาพผิดแก่พระภิกษุด้วยกันโดยให้สัญญาว่าจะไม่ทำเช่น
นั้นอีก (หมายความว่าอาบัติต่ำกว่าปาราชิกลงมา
พุทธะให้สังฆะใช้วัฒนธรรมการยอมรับ หรือสำนึกผิด
การว่ากล่าวตักเตือนกันอย่างกัลยาณมิตรในการแก้ปัญหา
แต่ถ้าต้องอาบัติปาราชิกก็ขาดจากความเป็นพระต้อง “สละสมณเพศ”
ไปเป็นเพศฆราวาสก็ยังศึกษาปฏิบัติธรรมได้ แต่เป็นพระไม่ได้
แม้ต้องอาบัติปาราชิกแล้วไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมสึก
ก็ถือว่าขาดคุณสมบัติของพระไปแล้ว)
ปัญหามีว่า สำหรับผู้ที่ศรัทธาในพระชื่อดังรูปนั้นๆ
เขาอาจเชื่อว่าพระรูปนั้นๆ มีญาณวิเศษจริง
และหากเขาจะเชื่อจะทำบุญกับพระเช่นนั้นก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร
เป็นเสรีภาพของเขา ใช่ครับหากมองจากมุมของผู้ศรัทธาย่อมเป็นเสรีภาพ
แต่ถ้ามองจากหลักการพุทธศาสนาคัมภีร์ก็อธิบายว่า “พระที่บรรลุโสดาบันขึ้นไปมีคุณสมบัติที่แน่นอนคือ มีศีลบริสุทธิ์ โดยธรรมชาติหรือปกติวิสัยของพระเช่นนี้จะไม่ละเมิดวินัยสงฆ์”
ฉะนั้น
การที่พระที่เชื่อกันว่าเป็นพระอริยะเป็นพระอรหันต์อวดอุตตริมนุสสธรรมบ่อยๆ
แสดงตนหยั่งรู้การเวียนว่ายตายเกิดของบุคคลต่างๆอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องโดย
ไม่ฟังเสียงท้วงติงจากการอ้างอิงวินัยสงฆ์ตรวจสอบเลยนั้น
ก็แสดงว่าพระที่อ้างว่าเป็นพระอริยะเป็นพระอรหันต์นั้นทำผิดวินัยสงฆ์เป็น
อาจิณ ถ้าทำผิดวินัยเป็นอาจิณก็ไม่ใช่พระอริยะจริง ไม่ใช่พระอรหันต์จริง
เหตุผลที่ห้ามพระอวดอุตตริมนุสธรรม
ในวินัยปิฎกกล่าวถึงสาเหตุที่พุทธะบัญญัติวินัยสงฆ์ห้ามภิกษุอวดอุตตริ
มนุสสธรรมว่า เกิดจากกรณีภิกษุมากรูปที่จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
ในวัชชีชนบท สมัยนั้นเกิดปัญหาทุพภิกขภัย พระภิกษุบิณฑบาตไม่พอฉัน
พระเหล่านั้นจึงออกอุบายสรรเสริญคุณวิเศษของกันและกันให้ญาติโยมฟังว่า
พระรูปนั้นรูปนี้บรรลุมรรคผลขั้นนั้นขั้นนี้ มีคุณวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้
จนญาติโยมเลื่อมใสเลือกสรรอาหารที่ดีที่สุด แม้จะหามาได้ยากมาก
แต่ก็ไม่ยอมบริโภคเอง พากันนำไปถวายพระที่ถูกยกย่องว่าเป็นพระอริยะ
เป็นอรหันต์ มีคุณวิเศษต่างๆ
ต่อมาเมื่อพุทธะทราบเรื่อง จึงสอบถามภิกษุเหล่านั้นว่ามีคุณวิเศษต่างๆ
จริงตามที่อวดชาวบ้านหรือไม่ ภิกษุเหล่านั้นตอบว่าไม่มี
พุทธะจึงจึงตำหนิการกระทำของภิกษุเหล่านั้น และบัญญัติวินัยว่า
“ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนต้องอาบัติปาราชิก”
และหากบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีในตนแก่อนุปสัมบัน (สามเณรและฆราวาส
ยกเว้นภิกษุกับภิกษุณี) ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เหตุผลที่พุทธะบัญญัติวินัยสงฆ์ข้อนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ใช้
วิธีการหลอกลวงหากินกับชาวบ้าน หรือมุ่งแสวงหาลาภสักการะ
หรือผลประโยชน์จากชาวบ้าน
พุทธะกล่าวเปรียบเทียบการอวดอุตตริมนุสสธรรมเพื่อทำการตลาดเรียกความศรัทธา
เลื่อมใสจากชาวบ้านว่าเป็นการกระทำเยี่ยง “ยอดมหาโจร”
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง
นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาว
แว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย (วินัยปิฎก เล่ม 1 ข้อ 230)
(ภาษาคัมภีร์เป็นภาษาในบริบทวัฒนธรรมอินเดียโบราณที่เชื่ออยู่ก่อนว่า
มีโลกต่างๆ หลายโลก แม้ในปัจจุบันคนอินเดียก็ยังเชื่อเช่นนั้น
มีผู้ลองคำนวณว่าเทพเจ้าที่คนอินเดียนับถือมีประมาณสามแสนองค์ – ดู
กฤษณมูรติ.ศาสนาแบ่งแยกมนุษย์, หน้า 7)
การอวดอุตตริมนุสสธรรมกับลัทธิบูชาตัวบุคคล
ที่จริงการอวดอุตตริมุสธรรม
ถ้าพูดในภาษาปัจจุบันก็คือการโฆษณาชวนเชื่อเกินความเป็นจริง
หรือการโกหกหลอกลวงนั่นเอง พุทธะไม่ต้องการให้สาวกของท่านทำแบบนั้น
เพราะไม่เป็นที่ตั้งแห่ง “ความเลื่อมใส”
เป็นที่ตั้งแห่ง “ความเลื่อมใส” แต่เดิมนั้นหมายความว่า
พระอริยะหรือพระอรหันต์มีสถานะเป็น “คุรุทางธรรม”
มีชีวิตเรียบง่ายไม่เกี่ยวข้องกับลาภสักการะ หรือยศถาบรรดาศักดิ์
ส่วนผู้ที่แสวงหาพระอริยะหรือพระอรหันต์นั้นก็ไม่ใช่ผู้ที่มุ่งการบริจาค
ทรัพย์ทำบุญกับพระอริยะหรือพระอรหันต์
แต่คือผู้ที่แสวงหากัลยาณมิตรทางปัญญาที่จะแลกเปลี่ยนสนทนา
หรือให้คำอธิบายที่ทำให้เข้าใจความทุกข์และทางพ้นทุกข์ได้ เช่น
การแสวงหาพระอรหันต์ของ อุปติสสะ (สารีบุตร) กับโกลิต (โมคคัลลานะ)
ก็แสวงหาเพื่อจะได้ฟังธรรม พอฟังธรรมเสร็จก็บรรลุธรรมหรือรู้แจ้งธรรม
หรือการแสวงหาพุทธะของพาหิยะเมื่อพบพุทธะกำลังเดนบิณฑบาตบนถนนก็เร่งเร้าให้
ท่านแสดงธรรมให้ฟัง จนกลายมาเป็นเค้าเรื่องให้นักเขียนฝรั่งไปแต่งนิยาย
“กามนิต-วาสิฏฐี” เป็นต้น
แม้พุทธะก็นิยามตัวท่านเองว่าเป็นกัลยาณมิตรทางปัญญาของผู้คนเท่านั้น
เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้เป็น ”อภิมนุษย์” หรือผู้วิเศษอะไร หลายๆ
เรื่องพุทธะก็สอนสาวกของท่านไม่ได้ พระชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะขัดแย้งกัน
แบ่งออกเป็นสองฝ่าย
พุทธะไปเทศนาให้ปรองดองกันถึงสามวาระพระภิกษุเหล่านั้นก็ไม่เชื่อฟัง
พระเทวทัตซึ่งเป็นญาติกันก็ไม่เชื่อฟังท่าน
อดีตอำมาตย์คนสนิทที่มาบวชพระก็ไม่เชื่อฟังท่านเป็นต้น
ต่อมาหลังสมัยพุทธกาล
เมื่อพุทธศาสนาอยู่ในบริบทการแข่งขันช่วงชิงศาสนิกกับต่างศาสนามากขึ้น
การโปรโมทความเป็นอภิมนุษย์
ความเป็นส้พพัญญูเชิงมีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ของพุทธะและพระอรหันต์จึงมีมาก
ขึ้นในคัมภีร์ชั้นหลังๆ
ในขณะเดียวกันก็มีการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องอานิสงส์การทำบุญ
(ซึ่งแต่เดิมหมายถึงทำเพื่อสละความเห็นแก่ตัว และให้เห็นแก่ส่วนรวม)
อย่างวิจิตรพิสดารมากขึ้น เช่น
สร้างโบสถ์วิหารแล้วตายไปจะเกิดเป็นเทพบุตรมีนางฟ้าห้าร้อยเป็นบริวาร
หรืออย่างปัจจุบันโฆษณาชวนเชื่อว่าบริจาคมากรวยมาก ทำบุญแล้วเกิดมารวย สวย
หล่อ ถวายกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ชาติหน้าจะมีกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ใช้อีก
ฯลฯ
กล่าวโดยรวดรัด การอวดอุตตริหรืออวดคุณวิเศษเกินจริงได้กลายเป็น
“วัฒนธรรม” ไปแล้วเมื่อพุทธศาสนารวมเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐ หรือกลายเป็น
“ศาสนาแห่งรัฐ” พุทธศาสนาเช่นนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสร้าง
“ลัทธิบูชาตัวบุคคลเหนือหลักการ” ขึ้นมาที่ชัดเจน คือ
สร้างลัทธิบูชาชนชั้นปกครองให้เป็นพระโพธิสัตว์หรือแม้กระทั่งเป็นพระ
พุทธเจ้า เช่น เรียกกษัตริย์ว่า “พระพุทธเจ้าหลวง” เป็นต้น
คำราชาศัพท์ที่ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า” ก็แปล่า “ข้าของพระพุทธเจ้า
(ที่เป็นกษัตริย์)”
สร้างลัทธิบูชาตัวบุคคลที่เป็นพระสงฆ์ด้วยการโปรโมทความเป็นพระอริยะ
พระอรหันต์ โปรโมทความเป็น “เนื้อนาบุญ”
ที่มีอานุภาพดลบันดาลความมั่งคั่งร่ำรวย
อำนาจวาสนาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้บริจาคทำบุญตั้งความปรารถนา
ลัทธิบูชาตัวบุคคลดังกล่าวทำให้สถานะของบุคคลที่ถูกยกย่องอยู่
เหนือหลักการที่ถูกต้อง เช่น
ทำให้สถานะที่ตรวจสอบไม่ได้ของชนชั้นปกครองอยู่เหนือหลักการประชาธิปไตย
และทำให้พระสงฆ์ที่ถูกโปรโมทว่าเป็นอริยะ อรหันต์
อยู่เหนือหลักการพระธรรมวินัย
เวลามีใครอ้างอิงหลักการประชาธิปไตยเรียกร้องสิทธิตรวจสอบชนชั้นปกครอง
ก็จะถูกต่อต้านโดยผู้คนจำนวนมากที่ถูกปลูกฝังกล่อมเกลาให้เชื่ออย่างฝังหัว
ในลัทธิบูชาชนชั้นปกครอง
และเวลามีใครอ้างหลักการพระธรรมวินัยตรวจสอบพระชื่อดังที่อวดอุตตริมนุ
สสธรรม ก็จะมีบรรดาผู้ศรัทธาจำนวนมากออกมาคัดค้าน
เพราะเชื่อในความดีของตัวบุคคลเหนือความเชื่อในหลักการ
ปัญหาปรากฏการณ์พระชื่อดังอวดอุตตริมนุสสธรรมที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ
และไม่มีคำตอบว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด
จึงสะท้อนให้เห็นปัญหาในระดับรากฐานของสังคมไทยคือ
ปัญหาการใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือสร้าง “ลัทธิบูชาตัวบุคคลเหนือหลักการ”
เพื่อปกป้องสถานะ อำนาจ ผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองและพระสงฆ์เอง
อันเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกมายาวนานจนเป็นอุปสรรคที่ยากยิ่ง
ต่อการสร้างวัฒนธรรมเคารพหลักการประชาธิปไตย
และหลักการพระธรรมวินัยอย่างสอดคล้องกับโลกสมัยใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น