ที่มา
ประชาไท
คนตาบอดทางการเมืองมักปิดหูปิ
ดตาถึงบทบาทมวลชน และบทบาทของขบวนการแรงงานในการน
ัดหยุดงาน หลายบทความเกี่ยวกับอียิปต์
ในประชาไทยและสื่อกระแสหลั
กออกมาในรูปแบบนี้ แต่ในวันที่ 30 มิถุนายนมวลชนอียิปต์ 17 ล้านคนออกมาประท้วงไล่ประธานาธิ
บดี
มูรซี่ ประชากรทั้งหมดของอียิปต์มี ประมาณ 83 ล้านคน
ดังนั้นถ้าเทียบสัดส่วนกับไทย ลองนึกภาพคนไทย 14
ล้านคนออกมาประท้วงไล่รัฐบาล ภาพนี้เราไม่เคยเห็น ทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลื
องออกมาอย่างมากครั้งละสองแสน เหตุการณ์ 14 ตุลาก็เช่นกันเพราะถ้าเทียบกั
บประชากรไทยปัจจุบันคงไม่เกิ
นสองแสน แต่ผมกำลังพูดถึง 17 ล้านคนที่ออกมาในอียิปต์
แต่ลองอ่านบทวิเคราะห์สถานการณ์ในอียิปต์จากสื่อต่างๆ จะเห็นว่าเกือบทุกบทความไม่เอ่ยถึง
มวลชนเลย ไม่พูดถึงการนัดหยุดงานด้วย มีแต่การพูดถึงกองทัพ
นักการเมืองพรรคมุสลิม นักการเมืองเสรีนิยม และรัฐบาลต่างประเทศเท่านั้น
และสิ่งที่ตามมาคือไม่พูดถึงสาเหตุหลักที่มวลชนไม่พอใจมาตั้งแต่ยุคมูบารัก นั้นคือนโยบายกลไกตลาดเสรีที่ทำให้คนจนจนลง เลยมีการสรุปว่าประเด็นสำคัญคือศาสนา แต่พวกนี้อธิบายไม่ได้ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ที่ออกมาไล่มูรซีนับถือศาสนาอิสลาม
ทำไมพวกนี้ตาบอด หรือแกล้งตาบอดถึงบทบาทมวลชน?
ชนชั้นปกครองที่คุมสื่อกระแสหลั
กและพยายามผูกขาดความคิดประชาชน ต้องการสอนเราให้คิดแต่ว่า “ผู้ใหญ่” เท่านั้นที่เปลี่ยนสังคมหรือสร้
างประวัติศาสตร์ พวกนี้ไม่ต้องการให้ประชาชนเป็
นใหญ่ในแผ่นดินจริงๆ เขาเลยเสนอว่าที่อียิปต์มันเป็
นรัฐประหารเท่านั้น หรือเวลาพูดถึงเสื้อแดงก็บอกว่
าเป็นแค่เครื่องมือทักษิณ หรือเวลาเกิดการลุกฮือในปี 35 ที่ไทย ก็จะลื
มบทบาทมวลชนและฉายภาพนายทหารสอง
คนเข้าเฝ้าประมุข พวกที่คิดแบบนี้มักเน้นบทบาทรั
ฐบาลมหาอำนาจในการสร้างประชาธิ
ปไตย และมักพูดด้วยอคติว่าพวกที่
นำการชุมนุมของมวลชน “พาคนไปตาย”
แนวทางที่ตาบอดทางการเมืองมักปิ
ดหูปิดตาถึงบทบาทมวลชนเสมอ สำหรับนักวิชาการกระแสหลักและสื
่อชนของชั้นปกครอง มันเป็นการจงใจตาบอด แต่ในที่ลับๆ พวกนี้จะกลัวว่ามวลชนมีบทบาทแล้
วจะล้มระบบ พวกนี้เรียกการล้มระบบ ที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่
อนและการขูดรีด ว่าเป็น “ความไม่สงบ” เขาต้
องการความสงบในการปกครองของเขาต
่อไป และเขาหวังว่าคนที่อยู่ฝ่
ายมวลชนในอดีตจะออกมาห้
ามปรามและสลายการเคลื่อนไหว ตัวอย่างที่ดีคือพรรคมุสลิมในอี
ยิปต์ หรือ พรรคเพื่อไทยและ นปช. ในไทย ในทั้งสองกรณีกองทัพและชนชั้
นปกครองฝ่ายความหวังไว้กับพวกนี
้
ฝ่ายซ้าย โดยเฉพาะนักมาร์คซิสต์ จะเน้นบทบาทมวลชนเสมอ และมองเห็นมวลชนเพราะใช้การวิเคราะห์
ภาพรวมแบบ “วิภาษวิธี” ซึ่งเข้าใจชนชั้นด้วย คือมันมีผู้กดขี่
และผู้ถูกกดขี่ มันมีผู้ผลิต และผู้ที่ขูดรีดผลผลิต
และความขัดแย้งในสังคมไม่ใช่แค่เรื่อง “ข้างบน”
อียิปต์ 3 กรกฏาคม ต่างโดยสิ้นเชิงจาก ไทย 19 กันยายน ในกรณี ไทย 19 กันยา มวลชนเสื้อเหลืองออกมาแต่ไม่ยิ่
งใหญ่
แบบอียิปต์
และเป็นการเรียกร้องให้ “เจ้านายที่อยู่เบื้องบน” ปลดนายกที่มาจากการเลือก
ตั้ง มีการตั้งความหวังกับกองทัพ และมีความต้องการที่จะหมุนนาฬิ
กากลับสู่สถานการณ์เดิมๆ ยิ่งกว่านั้นมีความไม่พอใจที่รั
ฐบาลทักษิณทำตามคำมั่นสัญญาต่
อคนจน โดยดูถูกว่านั้นคือนโยบายแย่ๆ ที่เรียกว่า “ประชานิยม” แต่ในอียิปต์มวลชน 17 ล้านออกมาล้มมูรซี่เพราะไม่
ทำตามสัญญาและไม่ทำอะไรที่เป็
นประโยชน์ต่อคนจนเลย ยิ่งกว่านั้นมวลชนอียิปต์
ทำการปฏิวัติล้มเผด็จการมูบารั
กไปรอบหนึ่งแล้วเมื่อสองปีก่อน
ถ้าศึกษาเหตุการณ์ 14 ตุลา เราจะเห็นว่ามวลชนไล่สามทรราช แต่ผู้ที่ประสานงานให้พวกนั้
นออกจากตำแหน่ง และออกนอกประเทศ คือกองทัพและชนชั้นปกครองไทย นั้นคือบทบาทเดียวกันของกองทั
พอียปต์ในการปลดมูรซี่
สหาย ซาเมย์ นากวิบ จากองค์กรปฏิวัติสังคมนิยมอียิ
ปต์ อธิบายว่า.....
"มันเป็นสถานการณ์ที่ขัดแย้งในตัวเอง ถ้าดูผิวเผินมันเป็นรัฐประหารโดยทหาร แต่ทหารเข้ามาแทรกแซงเพื่อป้องกันตนเองจากการปฏิวัติมวลชน ในอีกด้านมันเป็นการกระทำของมวลชนเป็นล้านที่ทำ
ให้ทหารเข้าแทรกแซง มันเป็นครั้งที่สองที่เกิดขึ้น ครั้งแรกคือกรณีมูบารัก
ครั้งที่สองคือมูรซี่ มวลชนออกมาเป็นล้าน มันเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ชนชั้นปกครองอียิปต์ตอนนี้เหมือนหมา
จนตรอก เกือบจะไม่มีทางเลือกเหลือ ถ้ามูรซี่อ่อนแอ
ตัวแทนอื่นของชนชั้นนายทุน เช่น เอล์บาราเดย์ ก็ยิ่งอ่อนแอ
มันไม่ใช่จุดจบของประชาธิปไตย และไม่ใช่แค่รัฐประหาร มันซับซ้อนกว่านั้น"
มวลชนบนท้องถนนมีความมั่
นใจในตนเองสูงมากที่
จะกำหนดประวัติศาสตร์ได้
กระบวนการปฏิวัติเป็
นกระบวนการที่มีความเป็นประชาธิ
ปไตยสูง แค่การเลือกตั้งทุกห้าปีเป็นเรื่องตลก กองทัพอียิปต์ต้องการจะยับยั้
งกระบวนการปฏิวัตินี้
มีการวางแผนว่าจะนัดหยุดงานในวั
นพฤหัสโดยคนงานขับรถเมล์ คนงานรถไฟ คนงานโรงงานซีเมน และคนงานคลองซุเอส คนที่ออกมาประท้วงส่วนใหญ่เป็
นกรรมาชีพ การประท้วงอาจลามไปสู่การนัดหยุ
ดงานทั่วไปได้ และนี่คือสิ่งที่พวกทหารกลัว เพราะการนัดหยุดงานเป็นพลังหลั
กที่ล้มมูบารัก
ในช่วงแรกๆ มวลชนที่ต่อต้านมูรซี่
แสดงความดีใจ มีการเชียร์กองทัพ แต่มวลชนไม่โง่ เขารู้ว่าตำรวจกั
บทหารทำอะไรในอดีต และอย่าลืมว่าเมื่อคนออกมา 17 ล้าน มันต้องมีคนที่ไม่เคยประท้
วงมาก่อนในชีวิต เขาอาจหลงคิดว่าทหารอยู่ข้
างประชาชน แต่มันเป็นเรื่องชั่วคราว ตอนนี้เวลาเขาเห็นทหารนำพวกนั
กการเมืองเก่าสมัยมูบารักกลับมา เขาเริ่มโกรธ
ความหวังที่จะมีการเปลี่
ยนแปลงพุ่งสูงสุดขอบฟ้า สูงกว่าตอนเราล้มมูบารักอีก และรัฐบาลใหม่ไหนที่เข้
ามาคงจะไม่สามารถตอบสนองได้ และไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องได้ เพราะพวกนั้นเป็นพวกเสรีนิ
ยมกลไกตลาด
มวลชนรู้ว่าตนเองมีพลังและมีสิทธิ์ เขาล้มประธานาธิบดีมูรซี่ภายในระยะเวลาแค่หนึ่งปี เพราะมูรซี่ไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน มวลชนสามารถทำได้อีกในอนาคต สามารถล้มทหาร และทหารก็เข้าใจตรงนี้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น