“ ท่านพุทธทาสก็คิดว่า
ทุกคนมีเสรีภาพตีความพระไตรปิฎก
และปฏิบัติธรรมหรือแปลความหมายของธรรม
ที่เป็นพุทธวัจนะมาสู่ชีวิตตนเองได้โดยตรง
ไม่จำเป็นต้องผ่านพระสงฆ์ หรือองค์กรสงฆ์ ”
(จากแฟ้มภาพกลุ่มพุทธทาสศึกษา)
พักเรื่อง “พุทธศาสนากับประชาธิปไตย ตอนที่ 15” เอาไว้ก่อน
ขอแวะพูดถึงเรื่องฮ็อตในวงการสงฆ์ที่กลายเป็นประเด็นวิจารณ์กันอื้ออึงในโซ
เชียลมีเดียและในสื่อหลักกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
เช่นเรื่องพระนำรถโบราณราคาแพงมาจอดโชว์ที่วัดโดยอ้างว่าเป็น
“กุสโลบายละความโลภ” พระนั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวใช้กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง
พระนักปฏิบัติชื่อดังที่สึกกะทันหันและจดทะเบียนสมรสกับสาวไฮโซหลังสึกเพียง
ไม่กี่วัน เป็นต้น
ที่จริงแล้วเรื่องราวในข่าวเป็นเพียงปัญหาปลายเหตุ
หากคิดว่านั่นจะทำให้พุทธศาสนาเสื่อม
ก็ต้องถามว่าพุทธศาสนาที่มั่นคงมีหน้าตาเป็นอย่างไร
เท่าที่เห็นพูดกันอยู่ในปัจจุบันเวลาพูดถึงความมั่นคงของพุทธศาสนา
หากเป็นมุมมองจากสถาบันสงฆ์
และชาวพุทธที่ถูกกล่อมเกลามาภายใต้วัฒนธรรมการศึกษาทางพุทธศาสนา
ประเพณีพิธีกรรมแบบ “พุทธศาสนาแห่งรัฐ”
หมายถึงพุทธศาสนาที่ผ่านการเผยแผ่ขององค์กรปกครองสงฆ์ที่ขึ้นต่ออำนาจรัฐ
ความมั่นคงของพุทธศาสนาย่อมหมายถึงความมั่นคงของสถาบันสงฆ์ที่ขึ้นต่ออำนาจ
รัฐ
แต่ถามว่า
ความมั่นคงของพุทธศาสนาแห่งรัฐดังกล่าวสอดคล้องกับความงอกงามของพุทธศาสนา
เชิงเนื้อหาสาระที่ไปกันได้กับคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่มีความเสมอภาค
และเสรีภาพแบบโลกสมัยใหม่หรือไม่?
คำตอบคือ “ไม่” เพราะสังฆะที่พุทธะก่อตั้งขึ้นมีความเสมอภาค เสรีภาพ
ภราดรภาพ ปกครองตนเองอย่างเป็นอิสระจากการแทรกแซงของอำนาจรัฐ
สังฆะดังกล่าวจึงเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อแปลความหมายของธรรมะมาสู่การ
จัดระเบียบชุมชนให้อยู่ร่วมกันอย่างเคารพความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์
และมีความเป็นพี่เป็นน้อง
ช่วยเหลือสนับสนุนกันและกันในการศึกษาธรรมเพื่อให้แต่ละคนมีเสรีภาพในการ
แสดงออก และมีเสรีภาพด้านในตามศักยภาพแห่งตน
แต่องค์กรสงฆ์ปัจจุบันเป็นระบบอำนาจนิยมชนชั้น เปรียบเทียบก็คือ
ในอดีตพุทธะและสมาชิกแห่งสังฆะมาจากวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร
เมื่อเข้ามาอยู่ในระบบสังฆะ วรรณะนั้นๆ
ก็ถูกยกเลิกไปกลายเป็นสมาชิกแห่งสังฆะที่มีความเสมอภาค เช่นมีไตรจีวร
อัฐบริขารเท่ากัน แสดงความเคารพกันตามอาวุโสทางพรรษา
แต่มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ว่ากล่าวตักเตือนกันภายใต้วัฒนธรรมความเป็น
พี่เป็นน้องที่มีป้าหมายคืออิสรภาพทางจิตวิญญาณร่วมกัน
ทว่าองค์กรสงฆ์ปัจจุบัน
พระสงฆ์มาจากลูกชาวบ้านแล้วไต่เต่าไปสู่ชนชั้นทางสมณศักดิ์และอำนาจ
ซึ่งในที่สุดก็มักเป็นที่มาของผลประโยชน์ทางวัตถุเงินทอง
ที่สำคัญบทบาทของพุทธศาสนาแห่งรัฐคือการสถาปนาสถานะศักดิ์สิทธิ์ของชน
ชั้นปกครอง จะเห็นว่าระบอบราชาธิปไตยของทุกประเทศในเอเชียอาคเนย์
ล้วนแต่อ้างพุทธศาสนายกย่องกษัตริย์ให้เป็นเทพยดา เป็นพระโพธิสัตว์
ในธิเบตถือว่าทะไลลามะเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
กัมพูชากษัตริย์เป็นอวตารของพระนารายณ์
สำหรับไทยนั้นกษัตริย์เป็นทั้งพ่อปกครองลูก เป็นสมมติเทพ
เทวราชา ธรรมราชา เป็นอวตารของพระนารายณ์ เป็นพระโพธิสัตว์
กระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า
ดังหลักฐานที่ชัดเจนคือคำราชาศัพท์ที่ใช้มาถึงปัจจุบัน “ข้าพระพุทธเจ้า”
ก็หมายความว่าพสกนิกรคือ “ข้าของพระพุทธเจ้า (ที่เป็นกษัตริย์)” นั่นเอง
นอกจากนี้
พุทธศาสนาแห่งรัฐยังสถาปนาสถานะศักดิ์สิทธิ์ของพระสงฆ์ว่าเป็น “เนื้อนาบุญ”
ที่มีอานุภาพดลบันดาลให้ผู้บริจาคทำบูญได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ทั้งทรัพย์สิน
เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ความสำเร็จในชีวิต การงาน ความรัก การแก้กรรม
ไปจนถึงได้สวรรค์ นิพพาน เป็นต้นตามที่ผู้บริจาคทำบุญตั้งจิตอธิษฐาน
พุทธศาสนาแห่งรัฐจึงสร้าง “อภิมนุษย์ทางโลก”
คือชนชั้นปกครองในระบบเก่า และ “อภิมนุษย์ทางธรรม”
คือพระสงฆ์ผู้มีคุณวิเศษต่างๆ เป็นพระอริยะ อรหันต์
แต่มีข้อน่าสังเกตว่าในประวัติศาสตร์พุทธศาสนานั้น
ปรากฏรายชื่อพระอรหันต์เฉพาะในสมัยพุทธกาล มาถึงยุคพระเจ้าอโศก
ในไทยตั้งแต่ยุคสุโขทัยเป็นต้นมาไม่ปรากฏรายชื่อพระอรหันต์เลย
เพิ่งมาปรากฏรายชื่อพระอรหันต์มากเป็นพิเศษตั้งแต่ยุคพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตโต เป็นต้นมา
ซึ่งพระอรหันต์ก็มักเป็นพระในนิกายธรรมยุตที่เจ้าเป็นผู้สถาปนาขึ้น
นี่หมายความว่า พุทธศาสนาแห่งรัฐได้สร้าง “ลัทธิบูชาตัวบุคคล”
ขึ้นมาครอบงำจิตสำนึกของผู้คน แต่พุทธะไม่ได้สอนให้บูชาตัวบุคคล
ให้เราเคารพตนเอง เชื่อมั่นในสติปัญญาของตนเอง พึ่งตนเองได้
ปกครองตนเองได้และให้เคารพหลักการคือ “ธรรมวินัย” ก่อนปรินิพพานพุทธะมอบ
“ธรรมวินัย” ให้เป็นศาสดาของชาวพุทธ
ซึ่งหมายความว่าให้ชาวพุทธยึดถือหลักการยึดธรรมวินัยเป็นหลักในการฝึกตน
เพื่อความงอกงามทางปัญญาและกรุณา
เพื่อความมีมโนธรรมสำนึกต่อส่วนรวมและมีอิสรภาพด้านใน
ไม่ตกเป็นทาสของการครอบงำใดๆ
ถึงตรงนี้ ผมนึกถึงท่านพุทธทาสภิกขุซึ่งก็เหมือนกับมาร์ติน ลูเธอร์
ที่เป็นนักคิดสำคัญในการปฏิรูปศาสนาในนิกายโปรเตสแตนท์
โดยเขากลับไปหาพระคัมภีร์ ยืนยันว่าชาวคริสต์ทุกคนมีเสรีภาพตีความคัมภีร์
เข้าใจพระคัมภีร์ และเข้าถึงพระเจ้าได้โดยตรงไม่จำเป็นต้องผ่าน "สื่อกลาง"
คืออำนาจศาสนจักร และนักบวช
ท่านพุทธทาสก็คิดทำนองเดียวกันว่าทุกคนมีเสรีภาพตีความพระไตรปิฎก
และปฏิบัติธรรมหรือแปลความหมายของธรรมที่เป็นพุทธวัจนะมาสู่ชีวิตตนเองได้
โดยตรง ไม่จำเป็นต้องผ่านพระสงฆ์ หรือองค์กรสงฆ์ ดังที่ท่านบรรยายเรื่อง
"บวชอยู่ที่บ้าน" เป็นต้น
เมื่อได้เถียงกับเพื่อนที่บวชเรียนมาสายพระ เขาอ้างว่า
"ถวายเครื่องบินเจ็ต รถโรลสรอยซ์
แก่พระทุกวันนี้เป็นเรื่องจิ๊บๆ ในสมัยพุทธกาลเขาสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า
เป็นห้าร้อยกว่าล้าน พันล้าน..."
ผมฟังแล้วก็รู้ว่านี่คือปัญหาการศึกษาพุทธศาสนาแบบ
"ท่องจำตามคัมภีร์อรรถกถา" ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นหลังพุทธกาลราว 1,000
ปี (พระพุทธโฆษาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเกิด พ.ศ.956
การศึกษาคณะสงฆ์ไทยเดินตามคัมภีร์ของพระพุทธโฆษาจารย์เป็นส่วนมาก)
แต่ท่านพุทธทาสปฏิเสธระบบการศึกษาพุทธศาสนาแห่งรัฐ
แล้วกลับไปหาคัมภีร์อย่างวิพากษ์ ท่านปฏิเสธอรรถกถา ปฏิเสธอภิธรรม
ยืนยันวินัยปิฎก กับสุตตันตปิฎก
แต่เน้นการนำเสนอคำสอนในพระสูตรหรือสุตตันตปิฎก
ถามว่า ทำไม "คำบรรยายธรรม" ของท่านพุทธทาสเป็นเหตุเป็นผล
มีความสอดคล้องทางตรรกะในตัวเองสูงมาก
คำตอบก็เพราะนั่นคือคำบรรยายที่ถอดความมาจากพระสูตรอันเป็นคำสอนที่เชื่อกัน
ว่าน่าจะตรงตามที่พุทธะสอนมากที่สุด
แต่การศึกษา การสอน
ประเพณีพิธีกรรมของพุทธศาสนาแห่งรัฐที่ยึดติดคัมภีร์อรรถกถา
และอ้างอิงเนื้อหาในคัมภีร์อรรถกถามาสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคลคือต้นเหตุของ
วัฒนธรรมโปรโมทพระอริยะ พระอรหันต์ และการแข่งขันทำการตลดาขายบุญในปัจจุบัน
ต้องปฏิรูปพุทธศาสนาขนานใหญ่
โดยทำให้พุทธศาสนาเป็นอิสระจากรัฐ
จึงจะสามารถเลิกลัทธิบูชาตัวบุคคลไปสู่วัฒนธรรมการเคารพหลักการธรรมวินัย
อย่างสอดคล้องกับวัฒนธรรมเคารพหลักการประชาธิปไตยได้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น