15 กรกฎาคม, 2013 - 16:12 | โดย noname
จะเข้าพรรษาแล้วหากไม่กล่าวถึงแคมเปญงดเหล้าเข้าพรรษาอันโด่งดังก็เห็น
ทีจะเชยตกขอบ
จึงขออนุญาตเขียนในฐานะผู้มีส่วนได้สวนเสียโดยตรงกับแคมเปญดังกล่าวสักหน่อย
โดยไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวข้าพเจ้าของยกมือสนับสนุนกลุ่มผู้ออกแคมเปญซดเหล้าเข้าพรรษาอย่างสุดตัว เพราะมันทั้งฮาทั้งแซ่บโดนอกโดนใจเสียนี่กระไร
มีเหตุผลมากมายที่เราไม่ควรจะดื่มเหล้า ทั้งในเรื่องสุขภาพ
ศีลธรรมจรรยา และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
แต่ก็มีเหตุผลมากมายที่คนเราเลือกจะดื่มเหล้าแม้จะตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลา
ถึงเหตุผลที่ไม่ควรดื่มเหล่านั้น
นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งบอกว่าในชั้นมัธยมเธอชอบเรียนวิชาพุทธศาสนา
มากที่สุดเพราะตอบข้อสอบง่ายดี
ตอบอย่างไรก็ถูกเนื่องจากมีคำตอบรออยู่แล้วเพียงไม่กี่อย่าง
นักศึกษาหลายคนบ่นว่าไม่ค่อยชอบเรียนสังคมศาสตร์
(แบบที่สอนกันอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย) เพราะ “ขี้เกียจคิด
หรือเหนื่อยที่จะคิด” เนื่องจากต้องคิดหาคำอธิบายความเป็นไปต่าง ๆ
ในสังคมพร้อมข้อมูลและเหตุผลสนับสนุนที่หนักแน่นโดยไม่มีคำตอบสำเร็จรูปเฉลย
รออยู่
ระบบการศึกษาเรียกร้องให้นักเรียนนักศึกษามีความคิดความอ่าน
แต่ระบบสังคมกลับกำหนดให้พวกเขาคิดอ่านตาม ๆ
กันไปในแบบที่มีคำตอบสำเร็จรูปเตรียมไว้ก่อนแล้ว
อย่างในเรื่องการดื่มเหล้าข้าพเจ้าคิดว่ามีเหตุผลที่ทำให้ผู้คนดื่มเหล้า
ซึ่งมีความความน่าสนใจ ซับซ้อน และแยบคายกว่าเหตุผลง่าย ๆ
ว่าทำไมเราไม่ควรจะดื่มเสียอีก
เพียงแต่ว่าผู้ปกครองบ้านเมืองและคนที่รณรงค์เรื่องนี้ยังไม่ได้พยายามคิด
และทำความเข้าใจให้มากไปกว่าการยัดเยียดบรรทัดฐานที่ตัดสินคุณค่าของคนว่าดี
หรือไม่ดีบนสมมติฐานตื้น ๆ เรื่อง สุขภาพ ศีลธรรม
และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
การดื่ม ที่มากกว่าเรื่องการเมา
การเป็น “อาจารย์” และ ผู้หญิง
เป็นภาระหนักอึ้งสำหรับข้าพเจ้าและอาจจะหนักหน่วงเกินกว่าภาระงานสอนที่ต้อง
รับผิดชอบเสียอีก
เพราะสถานะดังกล่าวทำให้ต้องแบกรับความคาดหวังในเรื่องกิริยามารยาทและสิ่ง
ควรประพฤติปฏิบัติไว้มากมาย ขณะที่ “นักศึกษา”
เองก็อยู่ภายใต้บรรทัดฐานทางสังคมมากมายที่คอยกำกับว่าพวกเขายังไม่ใช่
“ผู้ใหญ่” ที่จะคิดอ่านตัดสิน ถูกผิด ดีชอบ ได้ด้วยตนเอง
ทว่า
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบที่การดื่มได้กลายมาเป็นภารกิจประจำสัปดาห์ระหว่าง
ข้าพเจ้ากับนักศึกษา
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ท้าทายทั้งศีลธรรมและบรรทัดฐานทางสังคมที่กล่าวมาข้าง
ต้นอย่างยิ่ง
ในปีแรกของการทำงานข้าพเจ้าจินตนาการไม่ออกว่าคนสอนหนังสือ ควร
หรือสามารถทำอะไรร่วมกับนักศึกษาของเขา/เธอได้บ้าง
ข้าพเจ้าถึงกลับต้องไปเปิดดูระเบียบและข้อกำหนดเรื่องจรรยาบรรณเพื่อตรวจสอบ
ว่าการดื่มเหล้ากับนักศึกษานั้นผิดกติกาข้อใดหรือไม่
ความไม่แน่ใจทำลายโอกาสที่เราจะได้ใกล้ชิดกัน
เพราะข้าพเจ้าตอบรับเพียงแค่หนึ่งนัดในบรรดาหลายนัดที่นักศึกษาพยายามเชิญ
ชวนก่อนที่พวกเขาจะจบการศึกษาออกไป
ในปีที่สองข้าพเจ้าพยายามฝ่ากำแพงนั้นอีกครั้งด้วยการไปร่วมอยู่ในวง
ของนักศึกษาหญิงกลุ่มใหญ่ แต่แล้วก็มีนักศึกษาคนหนึ่ง “เรื้อน”
คือเมาแล้วเอะอะโวยวายจัดการตัวเองไม่ได้จนเป็นภาระให้เพื่อน ๆ
ลำบากแบกกลับที่พัก
นั่นจึงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายสำหรับนักศึกษากลุ่มนี้ที่ข้าพเจ้าร่วม
วงด้วย
มิหนำซ้ำเพื่อนของข้าพเจ้ายังแนะนำเป็นเชิงทิ้งปริศนาไว้ให้ครุ่นคิดและเอา
อย่างว่าตัวเขาเอง (ซึ่งเป็นอาจารย์ต่างสถาบัน)
นิยมหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้ากับนักศึกษา
ในปีถัดมาโดยมิได้ตั้งใจข้าพเจ้าถูกพาไปนั่งอยู่ในร้านเหล้าโต๊ะเดียว
กับนักศึกษากลุ่มใหม่อีกครั้ง ด้วยบริบทของสถานที่และเวลาทำให้สถานะ เพศ
และวัยของข้าพเจ้าแปลกแยกอย่างมาก นักศึกษาคุยโวโอ้อวดกับเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ
ว่า “นี่อาจารย์” ท่ามกลางความกระอักกระอ่วนใจของข้าพเจ้าอย่างยากจะบรรยาย
กลับพบว่าการปรากฏตัวของข้าพเจ้าได้สร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้กับพวกเขา
อย่างมากค่าที่สามารถ “หิ้ว” อาจารย์หญิงมาร่วมวงก๊งเหล้าได้
ยิ่งไปกว่านั้นการปรากฏตัวของข้าพเจ้ายังสร้างความงุนงงสงสัยให้กับบรรดานัก
ศึกษาอื่น ๆ จนทำให้มีการถามย้ำซ้ำ ๆ ว่า “จริง ๆ เหรอ เป็นอาจารย์จริง ๆ
เหรอ” พวกเขาคงประหลาดใจในสองเรื่องพร้อม ๆ กัน คือ หนึ่ง
อาจารย์หญิงมาดื่มเหล้า และสอง สารรูปอย่างนี้แลดูไม่น่าใช่ “อาจารย์”
อย่างไรก็ช่างเถิด
ข้าพเจ้าเป็นสิ่งแปลกประหลาดในการอวดศักดาของบรรดานักศึกษาไปอีกเพียงสองถึง
สามนัด จากนั้นการมีข้าพเจ้าร่วมอยู่ในวงเหล้าได้กลายเป็น “ความปกติ”
และหากไม่มีก็จะกลายเป็นการ “ไม่ครบองค์”
กระนั้นก็ตามนักศึกษาซึ่งกลายมาเป็น “เพื่อน”
ร่วมวงมักถามด้วยความเป็นห่วงบ่อย ๆ ว่า “อาจารย์จะเป็นไรไหม
จะมีใครว่าอะไรหรือเปล่า” ข้าพเจ้ายิ้มแทนคำตอบ แต่ในใจก็ได้คิด
“นั่นน่ะสินะ จะเป็นไรไหม”
สลายเส้นแบ่ง
ในบรรดาผู้คนหลากหลายที่เรามีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
บทบาทหน้าที่ ฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคม ได้สร้างเส้นแบ่งบาง ๆ
ระหว่างเราโดยไม่รู้ตัว ภายใต้กรอบวัฒนธรรมไทยที่ครอบเราอยู่นี้
ความเป็นครู-นักเรียน รุ่นพี่-รุ่นน้อง ผู้อาวุโส-เด็ก ฯลฯ
กำหนดพวกเราในทุกขณะจิตว่าเรา “ควร” หรือ “ไม่ควร” ทำอะไรกับอีกฝ่ายหนึ่ง
ทั้ง ๆ
ที่ส่วนใหญ่เรื่องพวกนั้นบางทีมันก็ไม่ใช่สาระสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์
เอาเสียเลย
ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ข้าพเจ้าจะหาคำอธิบายดี ๆ ให้ตัวเองได้ว่า
“อาจารย์” เป็นสถานภาพกำมะลอ
และข้าพเจ้าเป็นแค่คนสอนหนังสือที่ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วในเวลาทำงาน
ส่วนเวลาอื่น ๆ
นอกเหนือจากนั้นมันควรเป็นเวลาส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยไม่จำเป็นต้องสวมบทบาท
“อาจารย์” ไปเสียทุกที่ทุกเวลา
การเป็น “คนธรรมดา” นั้นบางทีก็ไม่ง่ายนัก เพราะคนอื่น ๆ
มักเอาความคาดหวังมากำหนดบทบาทของเรา
ยิ่งไปกว่านั้นเราเองนั่นแหละที่มักตีกรอบเพื่อควบคุมกำกับพฤติกรรมของตนเอง
เพราะยึดติดอยู่กับสถานภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้ง ๆ
ที่มันไม่จีรังยั่งยืนอันใดเลย
หากเป็นในทางพระก็คงจะต้องพูดเรื่องการละเลิกอัตตาตัวตน
ในแง่นี้การเข้าร่วมวงเหล้านั้นช่วยในการลดละอัตตาของข้าพเจ้าได้มากโดยการ
สลายเส้นแบ่งระหว่าง “อาจารย์” กับ “นักศึกษา”
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าจะตะบี้ตะบันร่วมวงเหล้ากับใคร ที่ไหน
เมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้
เพราะความสัมพันธ์กับผู้คนล้วนแต่เป็นเรื่องที่เราต้องจัดวางอยู่ตลอดเวลา
ความสัมพันธ์ในวงเหล้ามีความพิเศษที่แตกต่างไปจากความสัมพันธ์ชุดอื่น
ในแง่ที่เราสามารถสลายตัวตนได้ง่าย ๆ
เพราะเรื่องราวที่แลกเปลี่ยนกันในวงมันจิปาถะไปหมด
สำหรับวงของนักศึกษาเรื่องตลกโปกฮาอันหาสาระอันใดมิได้เป็นเรื่องที่ได้รับ
ความนิยมมากกว่าเรื่องหนัก ๆ
ที่หอบหิ้วออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยหรือจากทางบ้าน และนั่นเองที่ทำให้
“อาจารย์” กับ “นักศึกษา” ละลายกลายมาอยู่ในระนาบเดียวกัน
ไม่มีใครรู้มากกว่า เรียนสูงกว่า หรือฉลาดกว่า มีแต่คนที่ฮากว่า
เล่าเรื่องแล้วเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าจึงจะมีอำนาจนำอยู่ในวงเหล้า
หากจะถามว่าเหตุใด “นักศึกษา” กับ “อาจารย์”
จึงไม่นัดกันไปทำอย่างอื่นที่จะสร้างความสัมพันธ์กันได้โดยไม่กินเหล้า
คงตอบแบบง่าย ๆ ว่าพวกเราว่างพร้อมกันเฉพาะเวลากลางคืน
และการนัดกันไปดื่มนมหรือน้ำเต้าหู้นั้นไม่ได้ช่วยให้เราแลกเปลี่ยนเรื่อง
ตลกโปกฮาได้ต่อเนื่องยาวนานเท่ากับการดื่มของมึนเมา
คอเหล้ามักเข้าใจกันดีว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่เราอยากจะร่วมวงด้วย
ก็เหมือนความสัมพันธ์ชุดอื่น ๆ ในสังคม
คือเราอาจจำเป็นต้องร่วมวงกับใครโดยบังเอิญแต่หากถูกใจชอบพอกัน
ความสัมพันธ์ก็จะสืบสานต่อ แต่หากไม่ ครั้งนั้นก็อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิต
ข้อต่อรองระหว่างข้าพเจ้ากับนักศึกษาเมื่อจะนัดหมายกันแต่มีฝ่ายหนึ่ง
พยายามบ่ายเบี่ยงก็คือการถูกทวงถามว่า “เพื่อนป่ะ?”
เมื่อถูกต่อรองแบบนั้นข้ออ้างอื่น ๆ ก็แทบจะต้องพับลงไป
คนที่ร่วมวงกันเป็นประจำได้กลายมาเป็น “เพื่อน”
ที่ขยายความจนเกินเลยจากวงเหล้าเข้ามาถึงชีวิตประจำวัน “อาจารย์” กับ
“นักศึกษา” จึงกลายมาเป็น “เพื่อน” กันจนได้ในที่สุด
ดื่มอย่างมีวัฒนธรรม
การดื่มระหว่างข้าพเจ้ากับนักศึกษาจัดว่าเป็นการดื่มแบบมีวัฒนธรรม
(หากใครอยากจะเรียกให้ดูดีแบบนั้น)
คือมีการนัดหมายที่ชัดเจนและระเบียบแบบแผนพอสมควร
ที่สำคัญพวกเราดื่มแบบที่สุ่มเสี่ยงและท้าทายสำนึกรับผิดชอบของตนเองอย่าง
มาก กล่าวคือ
พวกเรามักจะนัดสังสันท์กันในค่ำคืนซึ่งในวันรุ่งขึ้นพวกเราจะต้องเข้าห้อง
เรียนเดียวกันแต่เช้า ที่ว่าท้าทายนั้นก็คือ หนึ่ง
พวกเราจะต้องอ่านชีทให้จบ สองพวกเราจะต้องตื่นเข้าห้องเรียนให้ทันเวลา
และสามพวกเราจะต้องนั่งเรียน-สอนให้รู้เรื่องโดยไม่เสียกิริยา
คือไม่แฮงค์และไม่ง่วง
กิจวัตรที่พวกเราทำกันบ่อย ๆ
ก็คือการหนีบชีทที่ยังอ่านไม่เสร็จไปร้านเหล้า และเรียกกิจกรรมนั้นว่า
“นัดกันไปอ่านชีท” หรือ “นัดกันไปติว” ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ
เรามักคุยกันเรื่องสรรพเพเหระเสียมากกว่า
ขณะที่สำนึกความรับผิดชอบยังคงวนเวียนอยู่ในความตระหนักรู้ของพวกเรา
เพราะในวงเหล้าพวกเราจะบ่นซ้ำ ๆ กับประโยคที่ว่า “พรุ่งนี้เรียนเช้า” และ
“พรุ่งนี้สอนเช้า” ดังนั้นเมื่อได้เวลาอันสมควรพวกเราก็ชวนกันกลับ
และในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็จะเข้าห้องเรียนโดยพร้อมเพรียงกัน
ความสัมพันธ์ในวงเหล้าไม่สามารถถูกนำมาอ้างใช้เป็นข้อต่อรองกับบทบาท
หน้าที่ของข้าพเจ้าในห้องเรียน คนที่เข้าห้องเรียนสายจะพลาดการทดสอบย่อย
(ควิซ) ไปตามระเบียบโดยปราศจากการปราณีปราศรัย
ส่วนคนที่อ่านชีทไม่จบก็จะทำแบบทดสอบไม่ได้ซึ่งกลายเป็นบทเรียนสำหรับครั้ง
ต่อไปว่าควรจะอ่านให้จบก่อนไปดื่ม
แม้จะมีเสียงบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเข้าเรียนสายไม่ทันทดสอบย่อยว่า
“เมื่อคืนก็ไปด้วยกันมา”
แต่ก็ไม่มีใครโกรธเคืองเมื่อในที่สุดข้าพเจ้าทำตามกติกาในการเรียนที่ตกลง
กันไว้อย่างเคร่งครัด เพราะเราต่างเข้าใจดีถึงบทบาทหน้าที่ในกาลเทศะนั้น ๆ
นี่จึงเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่งว่าเราทั้งสองฝ่ายจะรู้จักแยกแยะบทบาท
หน้าที่ต่างกาละและเทศะได้แค่ไหนอย่างไร
สิ่งที่นักศึกษาและข้าพเจ้าต่างเรียนรู้ร่วมกันไม่ใช่การทำตามสิ่งที่
คนอื่นคอยห้าม หรือคอยบอกว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่เราต่าง “โต”
พอที่จะคิดและเลือกทำในสิ่งที่เราเห็นว่าควรทำหรือสามารถทำได้โดยไม่เดือด
ร้อนใคร และทั้งไม่เดือดร้อนตัวเอง
แม้นักศึกษาจะถูกฝังหัวมาว่าการเรียนหนังสือคือหน้าที่สำคัญที่สุด
แต่ปฏิเสธไมได้ว่าการเรียน (ในห้องเรียน)
ไม่ใช่และไม่ควรเป็นสิ่งเดียวในชีวิตของพวกเขา
และบ่อยไปที่เราพบว่าสิ่งที่ร่ำเรียนมาจากตำรับตำราและบทบรรยายในห้องเรียน
มันไม่เวิร์คเอาเสียเลยกับการใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง
ความฉลาดและเท่าทันต่อความเป็นไปในสังคมต่างหากเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้
นักศึกษาจบออกไปใช้ชีวิตในสังคมได้เป็นอย่างดี ดังนั้น
การลดทอนและกักขังชีวิตคนที่ถูกกำกับด้วยสถานภาพ “นักศึกษา”
ให้อยู่เฉพาะในห้องเรียนเป็นเรื่องที่ไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง
แต่แน่นอนว่าการตั้งวงก๊งเหล้าก็อาจไม่ใช่คำตอบ หรือไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับ
“ความเท่าทัน” ที่ว่า
ในสภาพความเป็นจริงมนุษย์แต่ละคนดำรงอยู่ในสังคมด้วยสถานภาพและบทบาท
ที่หลากหลายแปรเปลี่ยนไปตามเวลา สถานที่ และบุคคลที่เราปฏิสัมพันธ์ด้วย
ความสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่การยึดแน่นอยู่กับสถานภาพและบทบาทใดอยู่ตลอดเวลา
กลับอยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับบทบาทที่หลากหลายให้เลื่อนไหลไปตามบริบทต่าง ๆ
ได้อย่างไร และเราจะจัดสรรเวลาที่มีอยู่ให้แก่ภารกิจต่าง ๆ
และความสัมพันธ์ชุดต่าง ๆ อย่างลงตัวได้อย่างไร
หากใครจะถามหา “สำนึกรับผิดชอบ” แล้วละก็
ข้าพเจ้านับถือเพื่อนร่วมวงดื่มในเรื่องนี้อย่างมาก
ไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาอ่านชีทจบ ตื่นเช้า เข้าเรียนทัน
แต่พวกเขามีวิธีการจัดการตนเองในการดื่มได้อย่างดี
เป็นต้นว่านักศึกษาชายที่พักอยู่หอในมหาวิทยาลัยจะกลับออกจากวงก่อนหอปิด
เสมอโดยไม่ยอมค้างกับเพื่อนในหอพักนอกมหาวิทยาลัย
นักศึกษาชายคนเดียวกันยังยืนยันที่จะต้องทำงานพิเศษให้เรียบร้อยก่อนออกมา
ดื่มทุกครั้ง
นักศึกษาหญิงคนหนึ่งต้องท่องศัพท์ในช่วงหัวค่ำก่อนที่จะออกมาดื่มตามเวลานัด
หมาย ส่วนคนอื่น ๆ
ถ้าใครมีรายงานหรือการบ้านด่วนก็จะปฏิเสธการมาร่วมวงโดยไม่มีใครติดใจเอา
ความ หากไปดื่มกันนอกสถานที่ (ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยไปด้วย)
จะต้องมีหนึ่งคนที่ไม่ดื่มเลยเพราะถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ “จัดการ”
เพื่อนที่เมาและพาเพื่อน ๆ กลับมาส่งโดยสวัสดิภาพทุกคน
ค่าใช้จ่ายในการดื่มกินใช้ระบบหารเท่ากัน
โดยที่พวกเขาจะไม่สั่งเกินกำลังการจ่ายของนักศึกษา
(แม้ว่าหลายคนมีฐานะทางบ้านดีมาก) มักไม่เกินคนละหนึ่งร้อยบาทต่อครั้ง
ส่วนข้าพเจ้าเองด้วยสถานภาพตามหน้าที่การงานที่สลัดไม่หลุด
ก็ตระหนักตลอดเวลาว่าหากเพื่อนร่วมวงเกิดเป็นอะไรไป
ตนเองย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบต่อพวกเขาไม่ได้
การดื่มของข้าพเจ้าจึงเต็มไปด้วยความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและความพร้อม
ที่จะรับผิดชอบด้วยเสมอ แต่ก็โชคดีอย่างหนึ่งที่รอบ ๆ
สถานศึกษาและที่พักของพวกเรามีร้านเหล้าอยู่กลาดเกลื่อนพวกเราจึงไม่จำเป็น
ต้องเดินทางไกลทำให้มีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุน้อยลง
ตรรกะของการดื่ม
ในข้อเขียนนี้ข้าพเจ้ายังไม่ได้โต้แย้งในเรื่องตรรกะทางศีลธรรม สุขภาพ
หรือความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอันเป็นเหตุผลที่ถูกใช้อ้างว่าเหตุใดเรา
จึงไม่ควรจะดื่มเหล้า แต่หวังว่าจะมีโอกาสต่อ ๆ
ไปในการโต้แย้งประเด็นเหล่านั้น
และทั้งไม่ได้เขียนเพื่อที่จะบอกว่าถ้าเช่นนั้นเรามาดื่มกันเถิด
และไม่ได้บอกอย่างเหมารวมว่าการดื่มของนักศึกษานั้นจะมีวัฒนธรรมและความรับ
ผิดชอบแบบนี้เสมอไป
ที่เล่ามาเพียงอยากจะชี้ให้เห็นว่าคนที่เขาดื่ม ตั้งใจดื่ม
เลือกที่จะดื่ม มีตรรกะชุดอื่น ๆ
ที่อธิบายและสร้างความชอบธรรมในการดื่มของตนเองเหมือนกัน
ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ซับซ้อนและหลากหลายมากไปกว่าชุดคำอธิบายแบบเดียวที่แฝง
อคติและดูถูกดูแคลนว่า “จน เครียด” จึง ดื่มเหล้า ไร้การศึกษา ไร้สำนึก
หรือเป็น “เด็ก” ที่ไม่รู้จักคิดมีแต่คึกคะนอง ฯลฯ
ในข้อเขียนนี้ข้าพเจ้าเสนอเหตุผลในการดื่มของตนเองว่าด้วยเรื่องการ
สลายเส้นแบ่งและทำลายสถานะบางอย่างที่สังคมคาดหวัง
แต่สำหรับนักศึกษาการดื่มของพวกเขาอาจมีความหมายที่หลากหลายมากไปกว่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันหมายรวมไปถึงการข้ามเส้นแบ่งระหว่างการเป็น “เด็ก”
กับการเป็น “ผู้ใหญ่” ที่สังคมมักพยายามกำกับควบคุมพวกเขาด้วยคำอธิบายสั้น ๆ
เพียงแค่ว่าพวกเขายังเป็น “เด็ก” จึงควรหรือไม่ควรทำอะไร
ซึ่งข้าพเจ้าก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถดื่มได้โดยไม่เป็นพิษเป็นภัย
กับใคร และปลอดภัยเสียกว่า “ผู้ใหญ่”
อีกหลายคนที่แม้ไม่ดื่มแต่ก็ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม
สังคมเราทุกวันนี้นิยมยัดเยียดบรรทัดฐานเพียงแบบเดียวในการกำกับควบคุม
ชีวิตผู้คน
โดยเฉพาะบรรทัดฐานในเรื่องศีลธรรมจนประหนึ่งว่ามันเป็นคำตอบแรกและคำตอบสุด
ท้ายของชีวิต แต่กลับละเลยที่จะพยายามทำ “ความเข้าใจ”
วิธีคิดและวิถีชีวิตที่หลากหลายของผู้คนในสังคม หากทบทวนกันดี ๆ
จะเห็นว่าการยัดเยียดแบบนั้นดูไม่ค่อยเข้าท่าและไม่บรรลุผลเอาเสียเลยในยุค
สมัยที่ผู้คนจำนวนมากต่างเชื่อและยึดถือในเรื่องเสรีภาพในการกำหนดเส้นทาง
การดำเนินชีวิตของตนเอง ที่สำคัญผู้คนในสังคมไม่ใช่ “เด็ก”
ที่จะต้องมีใครสักคนมาสั่งสอนและคอยกำกับควบคุมอยู่ตลอดเวลาว่าเราควรหรือ
ไม่ควรทำอะไร ด้วยข้อห้ามหรือเหตุผลของ “ผู้ใหญ่” เพียงคนเดียว
ซึ่งเหตุผลนั้นก็ฟังประหลาด ๆ อยู่ไม่น้อย
หากฝ่ายที่เชื่อว่าการดื่มเหล้านั้น “ไม่ดี”
และอยากจะรณรงค์ในเรื่องนี้ (ซึ่งอันที่จริงข้าพเจ้าก็เห็นด้วยอยู่มาก
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์)
ฝ่ายรณรงค์ก็ควรคิดให้ซับซ้อนแยบคายกว่าการรณรงค์ด้วยเหตุผลอันทื่อมะลื่อ
แบบที่ใช้กันอยู่
บอกได้เลยว่าการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษานั้นจะสำเร็จก็เฉพาะกับคนที่ตั้งใจ
ว่าจะงดอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่คิดจะงดก็คงแค่เจ็บ ๆ คัน ๆ
เมื่อได้ยินคำขวัญรณรงค์ต่าง ๆ
แต่สิ่งที่พวกเขากำลังทำกันอย่างขะมักเขม้นก็คือสะสมเงินไว้ซื้อเหล้ากักตุน
สำหรับวันที่รัฐบาลห้ามขายก็แค่นั้นเอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น