ถามว่าตัวคำสอนพุทธศาสนามีมิติทางสังคม คือมีมโนทัศน์ (Concepts)
คำอธิบายเกี่ยวกับสังคมการเมืองที่ดี ที่ควรจะเป็นหรือไม่
หรือว่าคำสอนของพุทธศาสนามีเพียงมิติปัจเจก คือมีมโนทัศน์
คำอธิบายเกี่ยวกับความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณหรือการมีชีวิตที่ดีส่วนบุคคลเท่า
นั้น
คำตอบคือ คำสอนพุทธศาสนามีมิติทางสังคมแน่นอน
และเมื่อว่าเฉพาะสังคมไทย อิทธิพลของการแปรมิติทางสังคมของพุทธศาสนา เช่น
คำสอนเรื่องทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ เป็นต้น
มาเป็นปรัชญาการเมืองการปกครอง และสถาปนาสถานะความเป็นเทพ เป็นพระโพธิสัตว์
หรือกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าของชนชั้นปกครองในระบอบราชาธิปไตยนั่นเอง
ที่สถาปนาพุทธศาสนาให้เป็น “ศาสนาแห่งรัฐ”
ปลูกฝังความทรงจำและสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ว่า
พุทธศาสนากับชนชั้นปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความมั่นคงของพุทธศาสนากับความมั่นคงของรัฐ (ชนชั้นปกครอง)
ไม่อาจแยกขาดจากกันได้
ความทรงจำและสำนึกร่วมนี้พัฒนามาถึงขีดสุดในนามของอุดมการณ์จงรักภักดีต่อ
“ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
มองจากความทรงจำและสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว จะเห็นได้ชัดว่า
“พื้นที่ทางสังคม” ของพุทธศาสนาครอบคลุมกว้างขวางและลึกซึ้งมาก
ในเชิงนามธรรมเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์รัฐ
ซึ่งกำหนดให้พุทธศาสนามีบทบาทหลักในการปลูกฝังความเชื่อที่ค้ำจุนสถานะ
อำนาจ ของชนชั้นปกครอง
ในเชิงรูปธรรมอุดมการณ์ดังกล่าวได้กำหนดโครงสร้างสถาบันสงฆ์ที่ขึ้นต่ออำนาจ
รัฐ และกำหนดเนื้อหาคำสอนของพุทธศาสนาส่วนไหนบ้างที่ควรนำมาศึกษา สั่งสอน
เผยแผ่ แปรเป็นพิธีกรรม ในการอบรมปลูกฝังกล่อมเกลาศีลธรรมจรรยาของคนในชาติ
กำหนดกรอบในการตีความ การกำกับควบคุมความหมายของธรรมวินัยอย่างไร
ควรจัดให้มีการเรียนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน สวดมนต์หน้าเสาธงอย่างไร
เป็นต้น
นอกจากพื้นที่ทางสังคมของพุทธศาสนาจะแสดงออกผ่านอุดมการณ์รัฐ
ผ่านบทบาทของสถาบันสงฆ์ และการศึกษาแบบทางการแล้ว พุทธศาสนาไทยๆ
ยังเข้าไปแสดงบทบาทในพื้นที่ชีวิตส่วนตัวของปัจเจกบุคคลและพื้นที่ทางสังคม
แทบทุกพื้นที่ เป็นบทบาทของ “ตำรวจทางศีลธรรม” คอยจ้องมอง จับผิด
หรือตัดสินถูก ผิด ควร ไม่ควร มิบังควร ไปจนถึงประณาม สาปแช่ง
เช่น ไปตัดสินว่าคนที่เกิดมาเป็นเพศที่สามที่สี่เป็นเพราะ “บาป”
ในชาติก่อน เนื่องจากชาติที่แล้วประพฤติผิดศีลข้อสาม ผิดลูกผิดเมียคนอื่น
กรรมเลยตามสนองให้เกิดมาผิดเพศในชาตินี้ กระทั่งคนที่มีองคชาติเล็ก กลาง
ใหญ่ ก็เกิดจากกรรมเก่าในอดีตชาติ
ไปจนถึงคอยกำกับจิตใจคนว่าคิดอย่างนี้อย่างนั้นบาป ไม่บาป
โดยเฉพาะคิดเกี่ยวกับเรื่องด้านลบของบุคคลที่ถูกยกย่องศรัทธาว่ามีคุณธรรม
สูงส่ง เป็นพระเป็นพระเป็นเจ้า แม้แต่คิดก็บาปแล้ว ไม่ควรคิด
อย่าว่าแต่จะตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์เลย
พุทธศาสนาไทยๆ เข้าไปยุ่มย่ามในพื้นที่ทางสังคมเต็มไปหมด เช่น
ละครหลังข่าวจบ มีพระเซเลบไปเทศนาสอนว่าละครเรื่องนี้สอนธรรมะอะไร
เพราะเป็นห่วงว่าชาวบ้านเขาคิดเองไม่เป็น
เข้าไปในพื้นที่ทางการเมืองแต่เป็นการอ้างศีลธรรม
อ้างคำพระประณามนักการเมือง
กดเหยียดประชาชนว่าไม่มีศักยภาพจะใช้อำนาจอย่างมีศีลธรรม
แต่สรรเสริญคุณธรรมของชนชั้นปกครองในระบบเก่า
อ้างศีลธรรมสนับสนุนการรักษากฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ในสถานการณ์ที่รัฐบาลใช้
กำลังทหารและกระสุนจริงสลายการชุมนุม
พระบางรูปเทศนาสนับสนุนความรุนแรงในการปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่เรียกร้อง
ประชาธิปไตย
นอกจากนี้พุทธศาสนาไทยๆ
ยังเข้าไปละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในพื้นที่สื่อสาธารณะ เช่น
กรณีที่พระสงฆ์และชาวพุทธบางกลุ่มกดดันให้รายการ “คิดเล่นเห็นต่าง” ทาง
Voice TV ออกมาขอโทษกรณีวิจารณ์การสวดมนต์ข้ามปี
เป็นเหตุให้รายการดังกล่าวงดพูดเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนาไปเลย
ผมพูดเรื่องนี้บ่อยเพราะถือเป็นเรื่องสำคัญมาก
เป็นเรื่องที่ทำกันในนามปกป้องพุทธศาสนาสร้าง “ตราบาป”
ละเมิดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อสาธารณะในโลกสมัยใหม่
นอกจากบทบาท “ตำรวจทางศีลธรรม”
ที่คอยปลูกฝังควบคุมกำกับจิตสำนึกความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์
และแทรกแซงจับผิดเข้าไปในพื้นที่ชีวิตส่วนตัว
พื้นทางสังคมการเมืองดังกล่าวแล้ว บทบาทนำในทางส่งเสริมเสรีภาพ
ความเป็นธรรม สันติภาพของพุทธศาสนาไทยๆ แทบไม่ปรากฏเลย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัฐใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนในประเทศ
หรือเรื่องชาวพุทธด้วยกันเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงกับคนในศาสนาอื่น
ก็ไม่เห็นองค์กรปกครองสงฆ์ไทยแสดงท่าทีอะไรเลย
(หากจะมีก็เป็นเรื่องของพระหรือชาวพุทธรายบุคคล)
เพราะการที่พุทธศาสนาไทยแสดงบทบาทตำรวจทางศีลธรรมก้าวล้ำเข้าไปใน
พื้นที่ชีวิตและพื้นที่ทางสังคมในแทบทุกมิติ
และเข้าไปในท่วงทำนองควบคุมกำกับด้วยมาตรฐานถูก ผิด ควร ไม่ควร
มิบังควรอย่างคลุมเครือหรืออย่างลดทอนเสรีภาพและความเป็นมนุษย์อย่างโลกย์ๆ
หรือความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพและความเท่าเทียมในความหมายของโลกสมัยใหม่
ดังกล่าว จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกโชเชียลมีเดีย
เฟซบุ๊ก คือพื้นที่หนึ่งที่บรรดาผู้แสดงความเห็นทางการเมือง ศาสนา
และเรื่องอื่นๆ ต้องการสิทธิแสดงออกบนพื้นฐานของหลักการสากล คือ “freedom
of speech” ลำพังการถูกจำกัดสิทธิโดยกฎหมายที่คลุมเครืออย่าง
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ม.112 ก็เป็นเรื่องที่หนักหน่วงอยู่แล้ว
พวกเขาจึงไม่ต้องการ “ตำรวจทางศีลธรรม” ไปอ้างคำพระ อ้างคำสอนศาสนาจับผิด
หรืออบรมสั่งสอนศีลธรรมว่าด้วยท่วงทีวาจาอะไรต่ออะไรอีกแล้ว ฉะนั้น
ในโลกเฟซบุ๊กจึงมีคนจำนวนหนึ่งสร้างเพจล้อเลียนศาสนา ศีลธรรมจรรยา
พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ขนบจารีตแบบไทยๆ กระทั่งเสนอให้ “ยกเลิกความเป็นไทย”
หรือพุทธศาสนาไทยๆ
ที่ชอบทำหน้าที่ตำรวจทางศีลธรรมด้วยการอ้างบรรทัดฐานที่คลุมเครือมาทับซ้อน
แทรกแซง ลดทอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามมาตรฐานสากล
ที่เป็นมาตรฐานการแสดงออกในเรื่องสาธารณะอย่างโลกย์ๆ
เพราะพวกเขาต้องการชีวิตทางสังคมการเมืองอย่างโลกย์ๆ
ไม่ใช่สังคมการเมืองของผู้ทรงศีลธรรมสูงส่งที่นิยมใช้ศีลธรรมแต่งหน้าให้ตัว
เองดูดี หรืออ้างศีลธรรมบังหน้า กระทั่ง “บังตา”
ไม่ให้เห็นโครงสร้างอันอยุติธรรมและรุนแรง
และประวัติศาสตร์ความโหดร้ายป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาครั้งแล้ว
ครั้งเล่า!
น่าสงสัยเหลือเกินว่า
บรรดาตำรวจทางศีลธรรมเขาเคยสำเหนียกบ้างหรือเปล่าว่า
สำหรับคนที่ยืนยันเสรีภาพและความเท่าเทียมในการแสดงออกเชิงสาธารณะนั้น
พวกเขาอาจรู้สึกเฉยๆ กับคำด่าหยาบๆ คายๆ
อาจมองสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะใส่ใจ
แต่พวกเขาอาจรับไม่ได้ เจ็บปวด
หรือกระทั่งรังเกียจการใช้ภาษาศีลธรรมทางศาสนา การอ้างคำพระมาจับผิด
หรือตัดสินท่าที ท่วงทีวาจาที่พวกเขาแสดงออก โดยละเลย “เนื้อหา”
หรือประเด็นความคิดที่พวกเขาเสนอ
เพราะตราบใดที่การแสดงออกของพวกเขาไม่ละเมิดเสรีภาพและศักดิ์ศรีความ
เป็นมนุษย์ของคนอื่น ยังอยู่ในกรอบของ freedom of speech
ศีลธรรมทางศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องควร ไม่ควร มิบังควรในการพูด ควรพูดน้อย
พูดมาก มีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ ฯลฯ ก็ไม่ควรเข้าไปพิพากษาตัดสินพวกเขา
ศีลธรรมทางศาสนาแบบสร้างจินตภาพ“บุคคลที่ดีงามด้วยกาย วาจา ใจ”
ควรเป็นเรื่องรสนิยมของปัจเจกบุคคลเท่านั้น
ใครทำได้ปฏิบัติได้ก็เป็นเรื่องความดีส่วนตัวของบุคคลนั้น
ไม่ควรเอามาตรฐานที่ตัวเองทำได้ (?) ไปตัดสินคนอื่น
หรือหากจะใช้ศีลธรรมทางศาสนามาตั้งคำถาม
ก็ควรใช้กับบรรดาคนที่อ้างศาสนาอ้างศีลธรรม อ้างการปล่อยวาง เสียสละ เมตตา
ฯลฯ สั่งสอนคนอื่นๆ มากกว่าว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงไม่ยอมปล่อยวางสถานะ
อำนาจ ระบบ จารีตเก่าที่ไม่สมสมัย ทำไมจึงยังอยากขยายอำนาจ
สะสมความมั่งคั่งจากทรัพย์บริจาค อ้างเป็นพระอรหันต์จนร่ำรวยถอยรถเบนซ์ 10
คัน ในเวลา 3 ปี คิดเป็นเงิน 100 ล้าน แถมมีบ้านเดี่ยวในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งแน่นอนไม่มีแต่หลวงปู่เณรคำรูปเดียวนี้แน่ๆ
น่าเสียดายที่ศีลธรรมแบบพุทธศาสนาแห่งรัฐ หรือพุทธศาสนาไทยๆ
ยิ่งขยายพื้นที่ทางสังคมออกไปมากเท่าไร
ยิ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อพื้นที่เสรีภาพและความเท่าเทียมมากขึ้นทุกที
แทนที่จะขยายออกไปเพื่อสนับสนุนเสรีภาพและความเท่าเทียม
เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น