รัฐบาลไทยและตุรกี เห็นพ้อง
ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันภายใน 5 ปีให้มากกว่า 1,500
ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางถึงประเทศตรุกี
และเข้าพบหารือกับ นายเรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน นายกรัฐมนตรีตุรกี
และหารือข้อราชการแบบเต็มคณะ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี นครอิสตันบูล
สาธารณรัฐตุรกี
หลังการหารือเสร็จสิ้น นายธีรัตถ์ รัตนเสวี
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือว่า
ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์ไทย-ตุรกี ที่มีมาอย่างราบรื่น และในปี 2561
ซึ่งเป็นปีครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ตุรกี 60 ปี
จะมีการจัดกิจกรรมร่วมกัน
ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดทำความตกลง FTA ไทย-ตุรกี
โดยเริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกันก่อน
และเห็นควรที่จะเพิ่มมูลค่าทางการค้าอย่างเป็นรูปธรรมใน 5 ปีข้างหน้า
โดยหาแนวทางการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน
เพื่อขยายมูลค่าการค้าและการติดต่อให้มากกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
และในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี
ได้นำภาคเอกชนไทยในด้านต่างๆ เช่น พลังงาน ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารฮาลาล
ก่อสร้าง และสิ่งทอ ร่วมเดินทางด้วย เพื่อแสวงหาลู่ทางการลงทุนใหม่ๆ
ในด้านที่ตุรกีมีศักยภาพ และสร้างความเชื่อมโยง
เพราะทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทางการขนส่งเพื่อเชื่อมโยงแต่ละภูมิภาค
โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
กลาโหม แจ้งว่าไทยจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท
ในการสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงลาว และจีน
รวมไปถึงรัสเซียและยุโรป
เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของประชาคมอาเซียน
ส่วนด้านการท่องเที่ยว
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ประชาชนเดินทางติดต่อกันมากขึ้น
และรัฐบาลไทยวางแผนที่จะเปิดสถานกงสุลประจำเมืองอันทาเลียและนครอิซเมียร์
เช่นเดียวกับฝ่ายตุรกี ที่เตรียมเปิดสถานกงสุล ที่ภูเก็ตและเชียงใหม่
ซึ่งส่งเสริมให้การติดต่อระหว่างประชาชน การท่องเที่ยวและการค้า
การศึกษาและวัฒนธรรมมีเพิ่มมากขึ้น
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือเต็มคณะ
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายกรัฐมนตรีตุรกีเป็นประธาน
ในพิธีลงนามความตกลง จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่
สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไป
ตามคำพิพากษาในคดีอาญา แผนปฏิบัติการร่วมไทย-ตุรกี
และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิชาการและการฝึกอบรมนักการ
ทูตระหว่างสถาบันการต่างประเทศของไทยกับตุรกี
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า
ไทยยินดีที่จะสนับสนุนโครงการ New silk road ของตุรกี
เพื่อเชื่อมโยงเอเชียและยุโรปด้วยเส้นทางรถไฟผ่านตุรกี
และชื่นชมโครงการพัฒนาอุโมงค์รถไฟ Marmaray ที่ทางคณะได้เยี่ยมชม
ซึ่งในส่วนของประเทศไทยได้มีโครงการลง
ทุนกว่า 66 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาการขนส่งและจะสนับสนุนโครงการ
New Silk Route ภายใต้กรอบความร่วมมือเอเซีย หรือ ACD
ซึ่งหากสองโครงการนี้บรรลุผลจะช่วยเชื่อมต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เอเชียกลาง กับยุโรป และแอฟริกา ผ่านเส้นทางของตุรกี
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียินดีสนับสนุนตุรกีในการเข้าเป็นสมาชิก ACD
สำหรับประเทศไทย ถือว่า ตรุกี
เป็นตลาดใหม่ สำหรับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของไทย
เป็นจุดเชี่อมต่อระหว่างภูมิภาคยุโรปและเอเชีย
เป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่ที่มีแนวคิดสายกลาง
และมีอิทธิพลต่อประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง เอเชียกลาง บอลข่าน
รวมถึงองค์การความร่วมมือศาสนาอิสลาม หรือ OIC ด้วย
by
Watsana
6 กรกฎาคม 2556 เวลา 11:27 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น