แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เปิดปมลึกเสกที่ดินคลินิคพม่าพลัดถิ่นให้ตำรวจ ข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธเพราะเหตุพฤติการณ์พระกิตติศักดิ์

ที่มา Thai E-News




กรณีพิพาทที่ ดินคลินิคพม่าพลัดถิ่นล่าสุด พระกิตติศักดิ์ได้เสนอเจรจาจะ"ขอยืม"โฉนดที่ดินไปจำนอง และหาเงินมาจ่ายคืนในกำหนด5ปี แต่จากพฤติการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คู่กรณีไม่ยินดีจะเจรจากับพระกิตติศักดิ์ เพราะเกรงว่าจะเป็นการถ่วงเวลา และต้องการคำตอบว่าเงิน2.7ล้านบาทที่ได้จากการขายที่ดิืน ซึ่งไม่มีสิทธิอันชอบธรรมนั้นไปอยู่ที่ไหน หากมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ควรคืน หรือไปซื้อที่ดินคืนจากนายตำรวจคนนี้ และโอนที่ดินไปยังมูลนิธิแห่งใหม่ที่หมอซินเธียและคณะจัดตั้งขึ้นแทน

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์

11 กรกฎาคม 2556

กรณีพิพาทที่ดินคลินิกแม่ตาว อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่ง
พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ได้ขา่ยให้กับพ.ต.ท.ชล เทพ ใหม่ไชย นายตำรวจ สภอ.ฝาง เชียงใหม่ ไปในราคา 2.7 ล้านบาท ต่อมาถูกคัดค้านว่าพระกิตติศักดิ์ไม่มีสิทธิในการขาย เพราะเป็นที่ดินซึ่งผู้บริืจาคชาวอเมริกันได้บริจาคเงินจำนวน 2.5 ล้านบาทจัดซื้อให้ โดยมีเจตนาบริจาคให้แก่คลินิกแม่ตาว ดำเนินการโดยหมอซินเธีย แพทย์หญิงชาวพม่า เพื่อช่วยเหลือรักษาแก่ผู้พลัดถิ่นชาวพม่านั้น ล่าสุดยังไม่มีข้อยุติ

ประกาศ5ข้อจากพระกิตติศักดิ์ แต่ไม่มีคำตอบเอาเงิน2.7ล้านไปทำอะไร

พระกิตติศักดิ์ได้โพสต์ข้อความผ่านทางfacebookส่วนตัว 
Phra Kittisak Kittisobhano ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เคยตอบข้อสงสัยว่า ขายที่ดินแปลงนั้นไปทำไม และนำเงินไปที่ไหน เข้ามูลนิธิ หรือเก็บไว้เอง

โดยพระกิตติศักดิ์เขียนไว้ดังนี้
 
ประกาศ 

ใน กรณีที่ดินคลินิคแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และผู้อื่น ซึ่งมีภาระรับผิดตามกฎหมายต่อกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

๑. ถึงบัดนี้ คลินิคแม่ตาว ซึ่งรับผิดชอบโดย คุณหมอซินเธีย หม่อง ยังใช้และสามารถใช้ที่ดิน ดังกล่าวได้อยู่ และยังใช้ได้ต่อไป เท่าที่มิได้ผิดข้อตกลง ซึ่งให้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ทั้งนี้ โดยมิได้มีกำหนดเวลาใดๆ

๒. หากคลินิคแม่ตาว หรือคุณหมอซินเธีย หม่อง สามารถพิสูจน์สิทธิ์ ว่าตนเองมีสิทธิ์ตามกฎหมาย หรือมีองค์กร หรือบุคคล ที่พร้อมจะรับผิดชอบตามกฎหมาย ในการถือครองที่ดิน ซึ่งมีบางบุคคลพยายามอ้างว่าเป็นที่ "พิพาท" ขอความกรุณาติดต่อมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยตรง และโดยเร็ว ในลักษณะเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่คลินิคแม่ตาวปฏิบัติผิดกฎหมาย และร้องขอให้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ช่วยเหลือ เช่น การแอบอ้างนำเอกสารปลอม ไปยื่นขอบ้านเลขที่กับทางราชการ โดยระบุว่ามูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์เป็นเจ้าบ้าน(ในทะเบียนบ้าน)ซึ่งมีผลให้ ต้องรับผิดต่อผู้อพยพ หรือผู้หลบหนีเข้าเมือง หรือในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง โดยมิได้มีการขออนุญาตใดๆ ในที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์

๓. ความพยายามสร้างกระแสสังคม ในลักษณะเรียกร้องความสนใจ หรือขอความสนใจ-เห็นใจ จากทางคลินิคแม่ตาว หรือบุคคลที่พยายามอ้างถึงคลินิคแม่ตาว นั้นเป็นคนละประเด็นกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรับผิดตามกฎหมาย ที่มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ต้องแบกรับ ตลอดระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา

๔. ในกรณีที่กรรมการในบางมูลนิธิ ซึ่งได้รับการร้องขอจากคลินิคแม่ตาวในเบื้องต้น ว่าให้ช่วยเหลือในการรับเงินบริจาค จากต่างชาติ ในลักษณะนิติกรรมอำพราง แล้วมูลนิธิฯดังกล่าวนั้น พยายามยัดเยียดการรับบริจาคนั้น ให้มาอยู่ในความรับผิดชอบของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ โดยที่มูลนิธิดังกล่าว ได้มีการเตียมการ มีการใช้อิทธิพลในการ "หมกเม็ด" เช่น ระบุเอาไว้ในข้องบังคับของ "มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์" ว่า "หากมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ถูกยุบเลิกกิจการไป ทรัพย์สินทั้งปวง(รวมถึงที่ดินที่กำลังมีปัญหา) จะตกเป็นของมุลนิธิฯ ดังกล่าวนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้ปฏิบัติงาน หรือกรรมการของมูลนิธิดังกล่าว ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเปิดเผยรายละเอียดอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชน หรือพยายามจะยุบเลิกมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ เพื่อหวังผลประโยชนน์ในทรัพย์สินของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ทั้งที่มิได้มีความเป็นจริงรองรับแต่อย่างใด

๕. กรณีนี้เป็นเรื่องที่ประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องราวที่แวด-วงออนไลน์เรียกกันว่าเรื่อง "ดราม่า" ซึ่งจะต้องถกเถียงโต้แย้ง จึงขอให้ผู้สนใจให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และข้อกฎหมาย มากกว่าการสรุปความชนิด "แม่เลี้ยงใจร้าย นางเอกใจดี" ซึ่งหากมีการพิสูจน์กันอย่างจริงจัง (ซึ่งควรจะมี) ท่านผู้สนใจอาจพบได้ในที่สุด ว่าเหตุไร "อองซานซูจี" จึงมิได้ให้ความสนใจต่อคลินิคแห่งนี้ ดังที่ควรจะเป็น และเหตุไร จึงมีความพยายามจะเปิดประเด็นนี้ให้ได้ ก่อนที่อาเซี่ยนจะเปิด AEC.

หมาย เหตุ พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ยังพำนักอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม โดยมิได้หลบหนี หรือโยกย้ายไปที่ใด นับตั้งแต่เดือน ธันวาคม ๒๕๔๑ ถึงปัจจุบัน และพร้อมอย่างยิ่ง ที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริง และ/หรือ ส่งมอบที่ดิน หรือหลักฐานอื่นๆ ให้กับผู้ที่มีสิทธิครอบครองตามกฎหมายต่อไป.


พระกิตติศักดิ์ติดต่อเจรจาขอใช้เงินคืนภายใน 5 ปี แต่คู่กรณีปฏิเสธ

หลังจาก ชี้แจงไปเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา พระกิตติศักดิ์ยังไม่ได้ชี้แจงข้อสงสัยเรื่องมีสิทธิขายที่ดินหรือไม่ และนำเงินไปใช้ทำอะไร แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เปิดเผยว่า ล่า สุด พระกิตติศักดิ์ได้ติดต่อขอเจรจา 3 ฝ่าย คือมูลนิธิสุวรรณนิมิตร ซึ่งติดต่อขอรับโอนที่ดินไปดำเนินการแทนมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์, หมอซินเธีย และตัวพระกิติศักดิ์เอง เพื่อ"ขอยืม"โฉนดที่ดินไปจำนอง และผ่อนใช้คืนเงินทั้งหมด ภายใน 5 ปี แต่ทางมูลนิธิสุวรรณนิมิตรไม่รับนัด เช่นเดียวกับหมอซินเธีย

เหตุที่ไม่รับนัดเจรจานั้น 2 ฝ่ายที่เป็นคู่กรณีของพระกิตติศักดิ์อ้างว่า พฤติการณฺ์ของพระกิตติศักดิ์หมดความน่าเชื่อถือ

มีรายงานว่าพระกิตติศักดิ์ได้ก่อหนี้ไว้จำนวนมากกับบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับแวดวงปัญญาชน นักกิจกรรมสังคม อาทิเช่น 

-ยืมเงินจากศิลปินนักวาดภาพชื่้อดัง จำนวน
 50,000บาท เมื่อวันที่10 กรกฎาคม 2554 หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยให้โอนผ่านบัญชีของผู้อื่น


-ยืมจากพระที่เป็นปัญญาชนและมีชื่อ เสียงในระดับประเทศรูปหนึ่งจำนวน 1.2  แสนบาท ทั้งที่พระรูปนี้ก็ไม่ได้เป็นพุทธพาณิชย์ เป็นเงินออมมานาน

-ยืมจากเลขานุการของอาจารย์สุ ลักษณ์ ศิวรักษ์  หรือ ส.ศิวรักษ์ จำนวน 7  หมื่นบาท แต่ไม่เคยคืนให้ ทำให้ส.ศิวรักษ์ต้องเป็นคนช่วยใช้คืินแทน
-ยืมจากนายสมเกียรติ มีธรรม อดีตกรรมการมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์จำนวน 3  หมื่นบาท
ในการยืมจากแต่ละคน พระกิตติศักดิ์ให้เหตุผลอ้างเรื่องจะนำไปผ่าตัดหัวเข่าบ้าง หรือหมุนเงินมูลนิธิบ้าง  แล้วเดี๋ยวจะใช้คืนให้  แต่ทุกคนถูกเบี้ยว  ทวงถามก็ถูกกรรโชกกลับหรือใช้วิธีบอกไม่มีเอาดื้อๆ  

-นอกจากนี้มีการกล่าวหาว่า องค์กรระหว่างประเทศ  ที่โอนเงินเข้าบัญชีมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์  โดยเขาต้องการให้แก่คลินิคแม่ตาวของหมอซินเธีย  เช่น  องค์กร EaRTH RIGHTS  และ BRC  อีกแห่งละ 2 แสนบาท  รวม 4 แสนบาท เงินบริจาคนี้ก็ไม่ตกมาถึงมือคลินิคแม่ตาว

-กรณีล่าสุดก็คือการนำที่ดินคลินิกแม่้ตาว ซึ่งมีชาวอเมริกันเรี่ยไรเงินบริจาคมาได้ 2.5 ล้านบาท  ต้องการให้หมอซินเธียใช้ซื้อที่ดินเพื่อก่อตั้งคลินิคแม่ตาว นำไปขายให้พ.ต.ท.ชลเทพ ตำรวจสภอ.ฝาง เป็นเงิน 2.7 ล้านบาท  เหตุืั้่ที่พระกิตติศักดิ์ทำได้นั้นก็ด้วยการอาศัยฐานะเป็นประธา่นมูลนิธิที่เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ดูแลที่ดินผืนนี้ ขณะที่หมอซินเธียทำนิติกรรมไม่ได้ เพราะเป็นแพทย์ชาวพม่า  ที่ผ่านมาเลยขอใช้ชื่อมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ (โดยมีส.ศิวรักษ์ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ และเป็นกรรมการชุดแรกป็นผู้แนะนำ) "คลินิกแม่ตาวเป็นโปรเจ็คใต้ร่มมูลนิธิเมตตาฯ  พูดง่ายๆขอใช้ชื่อเท่านั้นเอง  แต่พระกิตติศักดิ์ซึ่งมาเป็นประธานในเวลาต่อมากลับไปขายให้กับนายตำรวจ"
จากพฤติการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้คู่กรณีไม่ยินดีจะเจรจากับพระกิตติศักดิ์ เพราะเกรงว่าจะเป็นการถ่วงเวลา และต้องการคำตอบว่าเงิน2.7ล้านบาทที่ได้จากการขายที่ดิืน ซึ่งไม่มีสิทธิอันชอบธรรมนั้นไปอยู่ที่ไหน หากมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ควรคืน หรือไปซื้อที่ดินคืนจากนายตำรวจคนนี้ และโอนที่ดินไปยังมูลนิธิแห่งใหม่ที่หมอซินเธียและคณะจัดตั้งขึ้นแทน

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ใครเป็นใครในข่าวเสกที่ดินคลินิกพม่าพลัดถิ่นให้ตร.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น