แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์: เงื่อนปมรัฐ+ศาสนา

ที่มา ประชาไท


ในเมืองไทยและบางประเทศ อย่างเช่น พม่า(กรณีพระวิราธุ- ความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับมุสลิม) เกิดกระแสวิจารณ์พระสงฆ์ในศาสนาพุทธและกระบวนการจัดการด้านศาสนาอย่างกัน อย่างขนานใหญ่  เพราะเรื่องศาสนาเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเชื่อความศรัทธาโดยตรง  หากธรรมนูญแห่งรัฐ หรือหลักการบริหารจัดการของรัฐไม่ดี ไม่มีประสิทธิภาพ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นตามมาได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างน้อย 2 ประการ  คือ
หนึ่ง เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนิกของแต่ละศาสนากับ สอง ส่งผลต่อจริยธรรมและวัฒนธรรมของแต่ละศาสนิก  เพราะต้องไม่ลืมว่าจริยธรรมและวัฒนธรรมเป็นเบ้าหลอมรูปร่างและการคงอยู่ของ สังคม เพื่อให้สังคมนั้นๆอยู่กันอย่างสันติโดยอิสระในส่วนของความเชื่อทางด้าน ศาสนาหรือลัทธิใดก็ตาม ที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนในสังคมคนอื่นๆ
การคำนึงผลกระทบด้านจริยธรรมและวัฒนธรรมของสังคมส่วนหนึ่ง เป็นที่มาของความพยายามอนุรักษ์หรือปกป้องลัทธิศาสนา หรือความเชื่อของคนสังคม  ซึ่งหากในสังคมใดมีความเชื่อ ความนับถือในศาสนาที่หลากหลายก็เกิดเป็นปัญหาความขัดแย้ง ในหลายแง่มุม อย่างน้อยในแง่ “ความยุติธรรม” หรือความเสมอภาคที่คนในสังคมได้รับ ก็เป็นประเด็นหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติต่อคน(ประชาชน)ใน ประเด็นความเชื่อที่แตกต่าง
การบริหารสังคมหรือบริหารรัฐ เพื่อไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวลักษณะของการบริหารจัดการ เพื่อคงอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมและความเชื่อความศรัทธาของประชาชน เพื่อจริยธรรม(ความสงบสุข)ในการอยู่ร่วมกันก็จำเป็นเช่นกัน
เรื่องนี้ คนอเมริกันและสังคมอเมริกันได้บทเรียน เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งศาสนาหรือความเชื่อนี้มาจากหลายเหตุการณ์ใน ประวัติศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือ สงครามครูเสด ซึ่งเกิดขึ้นอย่างยาวนานในยุโรป เป็นช่วงๆ ราวสองศตวรรษ  นอกเหนือไปจากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างศาสนิกในศาสนาเดียวกันหลายกรณี โดยเฉพาะความขัดแย้งในบรรดาคริสตศาสนิกด้วยกันในยุโรป ระหว่างนิกายใหม่โปรแตสแต้นท์ กับนิกายโรมันแคททอลิก ที่ต้นเหตุความขัดแย้งเริ่มจากฝรั่งเศส (French Wars of Religion) เป็นต้น
สำหรับอเมริกันจึงนำมาสู่การบัญญัติหรือกำหนดรัฐธรรมนูญข้อแรก (First amendment) ไม่ให้มีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวข้องกับศาสนา  (Congress shall make no law respecting an establishment of religion)  และยังมีบางมาตราที่กำหนดให้การทดสอบเพื่อทำงาน มีข้อห้ามเรื่องการตั้งคำถามเกี่ยวกับศาสนาในการรับคนเข้าทำงาน ซึ่งยังแสดงให้เห็นถึงหลักการบริหารจัดการ(ปรัชญา)ของรัฐที่มีต่อศาสนา ตามคำกล่าวที่ว่า “เสรีภาพทางศาสนาเพื่อทุกคน (Religious Liberty for All)”
สหรัฐอเมริกา จึงเป็นตัวอย่างของรัฐที่แยกกิจการของรัฐออกจากศาสนา (Secular State) เหมือนกับแคนาดา เม็กซิโก และอีกหลายประเทศในยุโรป ซึ่งการแยกดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าคนอเมริกันไม่มีศาสนา หรือจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อหรือศาสนาก็ได้ แต่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายรัฐธรรมนูญ คนอเมริกันมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการนับถือศาสนาด้วย แต่เป็นความรับผิดชอบอย่างยุติธรรมและเสมอภาค เหตุดังกล่าว ทำให้หลายศาสนา  รวมถึงพุทธศาสนามาเบ่งบานอยู่ในดินแดนตะวันตกแห่งนี้  ซึ่งจะเปรียบเทียบกับพุทธศาสนาตามรูปแบบของรัฐไทยคงไม่ได้ เพราะสำหรับรัฐไทยแล้ว รัฐ เป็นฝ่ายออกแบบลักษณะวิธีการศาสนาเอง ผ่านระบบกฎหมายพุทธศาสนา หรือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์(พ.ร.บ. สงฆ์) พ.ศ.2505 แก้ไข พ.ศ. 2535
การออกกฎหมายดังกล่าว เท่ากับรัฐไทยได้ถูกทำให้เป็นรัฐศาสนา(State Religion)กลายๆ, ศาสนาถูกทำให้กลายเป็นสถาบัน ซึ่งผลของการทำให้เป็นสถาบันนี้ มีทั้งดีและเสีย
ผลดีเห็นจะได้แก่ การสร้างอุดมการณ์/คุณค่าของรัฐ ในเรื่องของศีลธรรม และจริยธรรม  รวมถึงการปกป้องศาสนาในขอบวงของอุดมการณ์/คุณค่าของรัฐ  ส่วนผลเสีย ได้แก่ การที่(พุทธ)ศาสนา ถูกจำกัดอาณาบริเวณ(นิยาม/ตีความ)โดยรัฐ โดยที่การนิยาม/การตีความ ดังกล่าว ก่อให้เกิดการผูกขาดแบบแช่แข็ง(พุทธ)ศาสนาขึ้นในประเทศไทย ขณะการให้คุณค่าของการดำเนินชีวิตของคนในโลกปัจจุบันเปลี่ยนไป และในอนาคตคุณค่านี้ก็จะยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
นอกจากนี้ การที่(พุทธ)ศาสนาถูกจำกัดอาณาบริเวณโดยรัฐ ยังเป็นเหตุให้เกิดความไม่เสมอภาคในแง่ของการปฏิบัติต่อศาสนิกในศาสนาเดียว กันและศาสนิกของศาสนาอื่น เกิดการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์มากบ้างน้อยบ้าง โดยการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยรัฐ ยิ่งในสังคมอุปถัมภ์อย่างสังคมไทยด้วยแล้ว ศาสนาที่อยู่ในสังคมอุปถัมภ์มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อกระแสชาตินิยมและจริยธรรม ชนิดผูกขาด ซึ่งอยู่เหนือหลักจริยธรรมสากล(สิทธิมนุษยชน)ออกไป
ดังนั้น กรณีของอเมริกา รัฐอเมริกันจึงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในเชิงการอุปถัมภ์ เกื้อกูลศาสนาใดโดยตรง เพียงแต่มีการอำนวยความสะดวกให้ศาสนิกและที่ไม่เป็นศาสนิกใด ในแง่ของสิทธิเสรีภาพของการนับถือ หรือไม่นับถือศาสนาเท่านั้น
แนวทางในการเข้าไปจัดการหรือเกี่ยวข้องกับศาสนาของรัฐอเมริกัน จึงมีลักษณะดังนี้
            1. ให้สิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือไม่นับถือศาสนา
            2. สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาของศาสนิก ต้องไปละเมิดสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือความของศาสนิกอื่น หรือความเชื่อของคนที่ไม่มีศาสนา
            3. อาศัยหลักพื้นฐานด้านความเชื่อ “เชิงหลักการสิทธิมนุษยชน”ของปัจเจกบุคคล
            4. องค์กรศาสนาได้รับการยอมรับในบริบทกฎหมาย( เช่น นิติบุคคล) ซึ่งอาจเป็นองค์กรมุ่งผลกำไร (profit organization) หรือองค์กรไม่หวังผลกำไร(nonprofit organization)ก็ได้
            5. เมื่อองค์กรศาสนาถูกยอมรับในบริบทกฎหมาย ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
            6. เมื่อรัฐให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและแยกศาสนาออกจากรัฐ ว่ากันว่ามีผลเชิงบวกต่อความมั่นคงของรัฐ ในทางที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นกับรัฐ เพราะอย่างน้อยความขัดแย้งในเรื่องความเชื่อทางด้านศาสนาจะลดลง
เรื่องเดียวกันนี้  วิลเลียม ไอโบเดน( Dr. William Inboden) แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส (เมืองออสติน) ซึ่งศึกษาเรื่องผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างรัฐศาสนากับรัฐโลกีย์ (รัฐฆราวาส- Secular State) พบว่ารัฐศาสนา (Religious Persecution)มีแนวโน้มของความขัดแย้งในประเทศและความขัดแย้งระหว่างประเทศ สูง โดยเฉพาะกรณีศึกษาความมั่นของอเมริกา
น่าสนใจว่า องค์กรศาสนาในอเมริกา ซึ่งอยู่ในฐานะของนิติบุคคลนั้น นอกจากมีเรื่องสิทธิเสรีภาพเกี่ยวข้องแล้ว ยังมีเรื่องของหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และเป็นหน้าที่จากหลักความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐอเมริกัน เช่นเดียวกับองค์กรนิติบุคคลของอเมริกันโดยทั่วไป เช่น หน้าที่ในการเสียภาษี หรือหากเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรก็ต้องรายงานรายรับรายจ่ายให้กับรัฐอย่างไม่ มีข้อยกเว้น   
(ดูได้จากตัวอย่าง “องค์กรวัดไทย”ในอเมริกา ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งขององค์กรนิติบุคคล ไม่หวังผลกำไร ที่ต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะองค์กรนิติบุคคลเหมือนองค์กรนิติบุคคลอื่น)
ที่สำคัญ คือ การตรวจสอบบุคคลที่ทำงานในองค์กรด้านศาสนาเท่ากับกับการตรวจสอบบุคคลที่ทำ งานในองค์กรด้านอื่น  เช่น บุคคลที่ทำงานในองค์กรศาสนาต้องรายมีการจัดทำงบดุลบัญชีอย่างโปร่งใสและเปิด เผย และรัฐบังคับให้ต้องมีการงานเป็นระยะ ซึ่งทราบกันดีว่า องค์กรศาสนาจำนวนมากอยู่ได้โดยอาศัยเงินบริจาค  แต่หากการบริจาค เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่ใช่ปัญหาขององค์กรศาสนาในสหรัฐอเมริกา      
กรณีผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับองค์กรเกี่ยวกับศาสนาในอเมริกาทีผ่านมาส่วน ใหญ่ เกิดจากความไม่โปร่งใสขององค์กรเหล่านั้น เช่น กรณีของโยคีบางตน ที่มาเปิดสำนักอยู่อเมริกา บางตนรัฐบาลอเมริกันตรวจพบความไม่ชอบมาพากลด้านการเงิน(ธุรกิจ)และปัญหา เกี่ยวกับสถานะต่างด้าวของบุคคลเหล่านั้น      
สำหรับกรณีของประเทศไทย  เราเป็นรัฐศาสนาแบบกึ่งๆ เพราะมี พ.ร.บ.สงฆ์และหน่วยงานรัฐอย่างเช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาดูแลและกำกับคณะสงฆ์และคอยสอดส่องความเป็นไป เกี่ยวกับพุทธศาสนา โดยถึงแม้หน่วยของรัฐเหล่านี้ดูแลกำกับศาสนาตามหน้าที่แล้ว ก็ยังมีพฤติกรรมที่กล่าวได้ว่า แย้งกับ “ความเรียบร้อยทางศาสนา” อยู่จำนวนมาก พฤติกรรมของพระสงฆ์หลายรูปเป็นที่ขัดตาขัดใจชาวพุทธ  ตามที่ปรากฏข่าวไปทั่วโลกผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ นอกเหนือไปจากปัญหาของการเลือกปฏิบัติอีกประการหนึ่ง
ด้วยความที่ไทยเป็นรัฐลักปิดลักเปิด วับๆแวมๆ แบบกึ่งๆ  ดังกรณีใช้กฎหมายเข้าแทรกแซงเรื่องความเชื่อความศรัทธา จนบางครั้งล้นออกมา จนเกิดเป็นสิทธิพิเศษสำหรับคนบางกลุ่มบางองค์กรแม้กระทั่งองค์กรศาสนาที่ ส่วนใหญ่อยู่ได้ด้วยศรัทธาจากเงินบริจาค แต่องค์กรเหล่านั้นกลับตรวจสอบได้บ้าง ตรวจสอบไม่ได้บ้าง ทำให้งานศาสนาบางส่วนอยู่ในมุมมืด ไม่โปร่งใส ก่อให้เกิดวิจิกิจฉากับศาสนิกและคนทั่วไป
งานกำกับดูแลด้านศาสนา หรืออีกนัยหนึ่งการกำกับความเชื่อจึงไม่ใช่เรื่องง่าย  
อเมริกันจึงเลือกใช้หลัก “การกำกับความเชื่อความศรัทธาที่ดี คือ การไม่กำกับ(ความเชื่อความศรัทธา)”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น