การต่อต้าน "ค่านิยมเก่า" เช่น กฎ ระเบียบ บุคคล ตลอดจนขนบ ธรรมเนียม
ประเพณี จารีต ศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ ฯ กำลังแพร่ระบาดไปทั่วสังคมไ
ทย และจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ เพราะมีคนจำนวนมากอยาก "เปลี่ยน" ค่านิยมเก่ามาเป็นค่านิยมให
ม่...ที่ผมขอเรียกเหมารวมว่
า "ลิเบอรัล"
หลายเรื่องผมก็สงสัยว่าค่านิยมเก่ามัน "กดทับ - ปิดกั้น หรือควบคุมชีวิต" ของคนเหล่าไม่ให้มีเสรีภาพต
รงไหน และอย่างไร
อย่างเรื่อง "เครื่องแบบ" นักเรียน - นักศึกษา เป็นต้น...ถ้าใส่หรือไม่ใส่
แล้วมันทำให้มีหรือไม่มีเสร
ีภาตรงไหน-อย่างไร เพราะเครื่องแบบไม่ใช่ขื่อค
า หรือโซ่ตรวนที่เป็นเครื่องจ
องจำคน...อย่างมากที่สุดมัน
ก็เป็นเรื่องที่เป็นนักเรีย
น-นักศึกษาต้องใส่ตาม "กฎ" ของกระทรวงศึกษาธิการ
แน่นอน - เมื่อคนสร้างกฎได้ ก็ย่อมเปลี่ยนหรือยกเลิกกฎนั้นๆได้ แต่เรื่องเครื่องแบบและอีกห
ลายๆเรื่อง (เช่นการไหว้ครู) มันมีเหตุผลรองรับ หรือมีเหตุผลว่าทำไมนักเรีย
น-นักศึกษาต้องแต่งเครื่องแ
บบ...ทำไมไม่คิดให้หลายแง่ห
ลายมุม เพื่อว่าจะได้พบทั้งข้อดีแล
ะข้อด้อย แล้วค่อยเลือกว่าจะแต่งหรือ
ไม่แต่ง โดยมีมติร่วมกันทั้งสถาบัน
แต่ผมก็เห็นว่า การไม่แต่งเครื่องแบบนักเรี
ยน-นักศึกษา แล้วยังสวมใส่เสื้อผ้าแบบอื่นอยู่ เสื้อผ้าแบบอื่นก็เป็น "เครื่องแบบ" เช่นกัน เพียงแต่ดูหลากหลายกว่าเท่า
นั้น (แน่จริงต้องเปลือย จึงนับว่าปลดเปลื้องพันธนาก
ารของเครื่องแบบไปได้...แต่
ว่า รูปแบบหรือรูปทรงของตัวคนก็
เป็นเครื่องแบบนะ!)
จึง
ไม่ใช่ว่า...เรื่องอะไรที่เป็นค่านิยมเก่า
หรือเรื่องที่ตนเองไม่พอใจก็โวยวายโจมตีว่า "จำกัดสิทธิและเสรีภาพ"
หรือเป็นเรื่อง "อำนาจนิยม" หรือ "ลัทธิบูชาเครื่องแบบ" ไปโน่น
หากพูดในระดับสัจจะ...สมมุติว่า การทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง ถือว่ามีและเป็นสิทธิ-เสรีภ
าพ ผมก็ยืนยันว่ามันไม่ใช่สิทธิ-เสรีภาพของคนๆนั้นเลย มันเป็นเสรีภาพของกิเลส-ตัณ
หาต่างหาก...ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ไม่เท่าทันมันแน่ๆ เพราะหากรู้ เขาก็จะไม่ออกมาโวยวายโจมตี
โดยไม่มีเหตุมีผล
แม้ในวงการพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวงการของผู้ต้องการ
สลายกิเลสตัณหา ก็ยังมี "กฎ" หรือ "วินัย" ให้ภิกษุใส่เครื่องแบบ! ซ้ำยังมีกฎอื่นๆอีกสารพัด..
.ถึง ๒๒๗ ข้อ ส่วนภิกษุณียิ่งมีมากกว่าอี
ก!
ทำไมไม่ลองพิจารณาบ้างเล่าว่า "เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น"...
เพราะตนเองก็เป็นนักเรียน - เป็นนักศึกษา บ้างก็เป็นปริญญาชน บางคนเป็นถึงดอกเตอร์ และเป็น ผ.ศ. ร.ศ. ศ. ซึ่งหลายคนก็ผมเปลี่ยนสีและ
เดินเข้าใกล้โลงทุกวินาทีแล้ว
ผม
ไม่เห็นว่า "การไม่เอาอะไรแบบเก่า" เท่ากับสลัดความเป็นทาส
หรืออำนาจนิยมของ "อำมาตย์-ศักดินา" ออกไป แล้วสิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คือ
"เสรีภาพ"
ตราบใดที่เรายังมีกิเลส มีตัญหา ตราบนั้นเราไม่มีวันมี "เสรีภาพที่แท้" ได้หรอก แม้ล้มล้างค่านิยมเก่าออกไป
หมด เราก็จะรับเอาค่านิยมอีกแบบ
ที่เรียกว่า "ใหม่" เข้ามา "ครอบ" ความรู้สึกนึกคิด หรือชีวิตของเราต่อไปอีก
ล้มล้างความเป็นทาสแบบหนึ่ง
ออกไป (ถ้าคิดว่ามันเป็น) ก็จะรับเอานายทาสใหม่เข้ามา
ครอบหัวต่อไปอีก...นั่นไม่ไ
ช่เสรีภาพที่แท้
แต่หากจะบอกว่า "นายทาสใหม่" ดีกว่า "นายทาสเก่า" ก็แล้วไป แต่ไม่ควรจะมาอ้างเรื่องสิทธิ-เสรีภาพ ไม่เช่นนั้นคนที่เขายังเลือกค่านิยมเก่าก็จะอ้างได้เช่นกันว่า เป็นสิทธิและเสรีภาพของเขายังมีคนอีกมหาศาลที่ยังมี "หัวคิด" ที่จะพิจารณาเลือกสิ่งที่เห
มาะสมและมีคุณค่ากับชีวิตตน
เอง...ทั้งจากสิ่งเก่าและสิ่งใหม่...ในขณะที่ยังต้องดำ
เนินชีวิตตามกฎระเบียบของธร
รมชาติ และค่านิยมต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
สิทธิและเสรีภาพที่ไม่มีควา
มรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมสัง
คม เป็นสิทธิและเสรีภาพที่ไร้เ
ดียงสา
การทำอะไรตามใจอยาก ไม่ใช่เรื่องสิทธิและเสรีภา
พเสมอไป แต่เป็นเรื่อง "ภาวะอนาธิปไตยของใจ" หรือไม่ก็จิตป่วยด้วยโรคเผด็จอำนาจ...ที่มันเร่าร้อนอย
ากจะกำจัดทุกอย่างที่ตนเกลี
ยดชังให้หมดไป.
ขอบคุณเจ้าของภาพครับ
ที่มา: เฟซบุ๊กของ
วิมล ไทรนิ่มนวล
หมายเหตุ: ภาพประกอบจาก ประชาไท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น