แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อย่าดรามาปล้นประชาธิปไตย

ที่มา Voice TV


ใบตองแห้ง Baitonghaeng

VoiceTV Staff

Bio

คอลัมนิสต์อิสระ

วุฒิสภานัดประชุมด่วนเพื่อลงมติคว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง แต่องค์ประชุมไม่ครบ เพราะพวก 40 สว.ล็อกห้องไม่ยอมเข้าประชุมด้วย

นี่แสดงเจตนาอะไร แสดงเจตนาไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบใช่หรือไม่

แก๊ง 40 สว.อ้างว่าวุฒิสภาจะรับหลักการ แล้วแปรญัตติ 3 วาระรวดให้กลับไปใช้ร่างวรชัย เหมะ ทั้งที่วิปวุฒิสภาแถลงชัดเจนว่าจะไม่รับหลักการ แล้วถามว่าใครเป็นคนเสนอให้วุฒิสภาแปรญัตติกลับไปใช้ร่างวรชัย สุเทพ เทือกสุบรรณ พูดบนเวทีประชาธิปัตย์ไงครับ ไม่ใช่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยสักหน่อย

จะเล่นเล่ห์กันไปถึงไหน วุฒิสภาประกาศแล้วว่าจะคว่ำร่าง รัฐบาลก็ยอมรับ แต่พวกต่อต้านฝั่งหนึ่งบอกให้วุฒิรับแล้วแปรญัตติ อีกฝั่งหนึ่งกลับไม่ยอม ยังไงก็จะลากม็อบยาวไปถึงเป้าหมายซ่อนเร้นให้ได้ใช่ไหม

มีเป้าหมายอะไรก็ควรประกาศให้ชัดเจน ให้เป็นไปตามระบอบ ไม่ใช่ปั่นกระแสต่อเนื่องทั้งที่เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษจบแล้ว ถ้าเป็นไปตามระบอบ ก็เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาสิ เอ้า ยุบสภาใน 3 เดือน เหมือนที่มวลชนเสื้อแดงเรียกร้อง เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน เพราะเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสร้างความเสียหาย ออกกฎหมายตอนตีสี่ ลักหลับประชาชน สมควรยุบ

เรียกร้องสิครับ แต่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเรียกร้องเองนะ ต้องบอกให้รัฐบาลกำหนดวันยุบสภา แล้วจะเลิกม็อบ พร้อมให้สัตยาบันว่าจะลงเลือกตั้ง ไม่ใช่กลัวแพ้แล้วตีรวนอีก กล้าเรียกร้องหรือเปล่า พรรคเพื่อไทยเสื่อมขนาดนี้แล้ว ยังกลัวแพ้อีกหรือ ถ้ากล้า ผมก็จะเรียกร้องรัฐบาลด้วย

แต่ถ้าไม่กล้า เมื่อ พ.ร.บ.นิรโทษตกก็ต้องเลิกม็อบ อย่ามาสร้างกระแสหวังล้มรัฐบาลนอกวิถีทาง ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองจากการเลือกตั้ง

สำหรับพรรคเพื่อไทย ถ้าประชาธิปัตย์เรียกร้องยุบสภา ก็ต้องกล้ารับ อย่าแข็งกร้าวไม่ออกไม่ยุบแบบออเหลิม เพราะไม่เช่นนั้น แมลงสาบก็จะได้โอกาสลากม็อบยืดเยื้อ เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ชนะไหม ไม่รู้ แต่นี่คือเกม “วัดใจ” เพราะแมลงสาบเองก็ไม่กล้าเรียกร้อง กลัวแพ้ แต่อาจจะเรียกร้องเพื่อให้รัฐบาลไม่รับ แล้วปลุกม็อบต่อ ฉะนั้นถ้าเรียกร้องอย่างเป็นทางการ รัฐบาลควรขอฉันทามติจากสังคมแล้วตอบรับ โดยกำหนดเวลา 3-6 เดือน แบบเดียวกับรัฐบาลอภิสิทธิ์


ปล้นความชอบธรรม

ความเหลิงอำนาจ ความเชื่อเรื่องการ “เกี้ยเซี้ย” เฉพาะชนชั้นนำ ไม่เข้าใจกระแสสังคม ประเมินสังคมไทยผิดพลาด และไม่ยึดหลักการประชาธิปไตย ทำให้รถกระบะพรรคเพื่อไทยที่บรรทุกกันมาเต็มหลัง โห่ร้องหุยฮาเอะอะเสียงดัง ตะบึงเข้าซอยตัน แล้วชนกำแพงพลิกคว่ำ ตายหมู่

พรรคเพื่อไทยไม่เข้าใจคำว่า “ความชอบธรรม” ซึ่งดูเหมือนเป็นนามธรรม แต่ก็มีพลังอย่างคาดไม่ถึง ยอมรับว่าผมเองก็คาดไม่ถึง ว่ากระแสต้านจะเร็วและแรงถึงเพียงนี้ แต่ก็เตือนแล้วว่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล สร้างความเสียหายต่อประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกปฏิปักษ์ประชาธิปไตยฉวยกระแสความไม่ชอบธรรมของพรรคการเมืองที่มาจาก การเลือกตั้งไปใช้ พรรคประชาธิปัตย์ฉวยโอกาสปล้นความชอบธรรม ฟอกตัวคดีสั่งฆ่าประชาชนเมื่อปี 53 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลอยหน้าลอยตาพูดด้านๆ ว่าทักษิณพาคนมาตาย พาคนมาฆ่า พวก “ปีศาจรัฐประหาร” บิดกระแสต้านนิรโทษเหมาเข่ง นิดเดียวเท่านั้น กลายเป็น “นิรโทษคนโกง” สร้างความชอบธรรมให้รัฐประหารและตุลาการภิวัตน์อย่างง่ายดาย

แล้วตอนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็กำลังจะได้โอกาสวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งวุฒิสภามาจากเลือกตั้ง และมาตรา 190 ซึ่งอ้างเฉยเลยว่ามีมูลล้มล้างการปกครองใน “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

อ้อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” น่าจะแปลว่าการเจรจาทำสัญญาต่างประเทศ เป็นอำนาจของรัฐสภา รัฐบาลทำอะไรไม่ได้เลย จะเจรจากับประเทศไหนก็ต้องมาขออนุญาตรัฐสภา ต้องอธิบายให้ฟังก่อนว่าจะต่อรองกับเขาอย่างไร ประเทศไหนจะเจรจากับประเทศไทยก็นอนตีพุงหัวร่อก๊าก

“ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แปลว่าต้องมี สว.ลากตั้งตลอดไป ชั่วกัลปาวสาน เพราะ ส.ส. ส.ว.จากการเลือกตั้งมันเลวอย่างที่เห็น ข่มขืน ลักหลับ พวกมากลากไป

ไชโย ผู้ที่ชูป้ายขนมเปียกปูนไขว้มือแปลงร่าง คงโห่ร้องดีใจ โดยไม่รู้ว่าถูกริบอำนาจไปให้อำมาตย์ แทนที่จะได้เลือก สว.กทม.สิบกว่าคน ก็ยังได้คนเดียวเหมือนเดิม

พูดอย่างนี้ไม่ได้ดูหมิ่น ตรงกันข้าม เราต้องเคารพการแสดงออกของมติมหาชน ที่ต่อต้านการนิรโทษเหมาเข่ง แต่ประณามผู้ที่ชักจูงกระแส พร้อมกับประณามพรรคเพื่อไทยไปด้วย

มวลชนเสื้อแดงที่จะเคลื่อนไหวต่อต้านพรรคประชาธิปัตย์และเหล่า “ปีศาจรัฐประหาร” ควรตระหนักข้อนี้ อย่าชนกับมติมหาชนที่คัดค้านนิรโทษเหมาเข่ง ตรงข้าม ต้องชื่นชม เพราะถ้าไม่มีดรามาแปลงร่าง ป่านนี้ มาร์ค-เทือก ก็พ้นผิดลอยหน้าลอยตาเยาะเย้ยมวลชนเสื้อแดงไปแล้ว

มวลชนเสื้อแดงต้อง “ขอบคุณ” มติมหาชนที่ช่วยคัดค้านนิรโทษเหมาเข่ง แต่ขณะเดียวกันก็ประณามพรรคแมลงสาบ ที่ฉวยโอกาสฟอกตัว ปัดความรับผิดจากการเข่นฆ่าประชาชนเมื่อปี 53 ปลุกวลีเก่าๆ “เผาบ้านเผาเมือง” ต้องเรียกร้องผู้ที่ไปร่วมม็อบว่า อย่าตกเป็นเครื่องมือรองรับการบิดเบือน ควรตระหนักว่าการโพสต์ภาพลง Instagram ของเหล่าดาราเซเลบส์ ถูกฉวยไปรองรับความชอบธรรมของ “กระสุนจริง” โดยอัตโนมัติ

เมื่อวุฒิสภาและรัฐบาลประกาศคว่ำร่างเหมาเข่งชัดเจนแล้ว การยังไปร่วมม็อบ หรือช่วงชิงกันไม่ตก Trend ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็อาจถูกชักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนอกวิถีประชาธิปไตย นี่ไม่ใช่ 14 ตุลา เพราะ 14 ตุลาไล่เผด็จการ แต่นี่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และ 14 ตุลาไม่มี “ปีศาจรัฐประหาร” ขุนนางมหาวิทยาลัย มาชักนำนิสิตนักศึกษา จัดสถานที่ จัดรถรับส่ง ออกใบลาเรียนให้อย่างนี้

สิ่งที่คุณเห็นอยู่นี่แหละคือ “ประชาธิปไตย” เพราะเมื่อรัฐสภาใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ลากถู น่ารังเกียจ แล้วประชาชนคัดค้าน ก็ต้องยอมแพ้ ต้องถอยกระเจิงออกปากซอยจนหวิดโดนสิบล้อชน และจะถูกลงโทษในการเลือกตั้ง (ถ้ามีคู่แข่งไฟลัมสูงกว่าแมลงหน่อย)

นี่แหละคือประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการรัฐสภา และไม่ใช่เรียกร้องให้ยุบสภาแล้วถูกปราบ

ฉะนั้นต้องขีดเส้น กระแสเคลื่อนไหวคัดค้านนิรโทษเหมาเข่ง ในด้านหลักมีความชอบธรรม แต่หลังวันที่ 11 พ.ย.เมื่อวุฒิสภาคว่ำร่างแล้ว ถ้าใครยังไปร่วมม็อบแมลงสาบ ก็เท่ากับไขว้มือแปลงร่างเป็นสลิ่มไปเรียบร้อย (หรือเป็นมาแต่แรก แต่ทำแอบ)




ต้านโกงไม่ต้านปล้น

กระแสต้านนิรโทษถูกบิดไปเป็น “ต้านโกง” อย่างน่าเศร้า เพราะกลับไปสร้างความชอบธรรมให้รัฐประหารและตุลาการภิวัตน์ โดยอ้าง “นิติรัฐ” “นิติธรรม” หน้าตาเฉย

“นิติรัฐ” ไม่ใช่การตั้งข้อหาโดยรัฐประหาร รัฐประหารสิครับ “ปล้นอำนาจ” ล้มหลักนิติรัฐ และนิติรัฐก็ไม่ใช่การยอมรับคำตัดสินของศาลซึ่งอาศัยการตีความโดยไม่มีพยาน หลักฐานว่าทุจริต

ผมขำปนเศร้าที่แถลงการณ์ 63 ตุลาการผู้รักแผ่นดิน อ้างว่านิรโทษให้ความผิดฐานทุจริตไม่ได้ พวกท่านกลับไปอ่านคำพิพากษาใหม่นะครับ ทั้ง 2 คดี ไม่มีตรงไหนบอกว่าทักษิณ “ทุจริต”

“ไม่มีคำพิพากษาว่าทักษิณทุจริต” นี่ไม่ได้เล่นลิ้น ใครเล่นลิ้นกันแน่ อ่านให้จบแล้วคิดเอง

คำพิพากษาคดีที่ดินรัชดา อ้างมาตรา 100 กฎหมาย ป.ป.ช.ว่าด้วยการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เสียงข้างมาก 5 เสียงอ้างว่าเมื่อผัวเป็นนายกฯ เมียซื้อที่ดิน ก็ถือว่าผิด ไม่ต้องพิสูจน์ทุจริต ติดคุกได้เลย แต่เสียงข้างน้อย 4 เสียง เห็นว่ากรณีนี้เป็นการประมูลขายทอดตลาด ไม่มีใครใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปเกี่ยวได้ และขายได้สูงกว่าราคากลาง จึงไม่ผิด

คดียึดทรัพย์ก็ “เล่น” กับการตีความกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 4 ร่ำรวยผิดปกติ=ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร

คตส.และศาลทำ 2 อย่างเท่านั้นคือ หนึ่ง อ้างว่าหุ้นชินคอร์ปยังเป็นของทักษิณ สอง ชินคอร์ปได้ประโยชน์จากช่วงที่ทักษิณเป็นนายกฯ เท่ากับได้ประโยชน์โดยไม่สมควร ไม่ต้องพิสูจน์ว่าทุจริต ยึดทรัพย์เลย

บริษัทที่รับสัมปทานรัฐทุกบริษัท ล้วนได้ประโยชน์จากรัฐทั้งนั้นครับ มีการแก้ไขสัญญา เปลี่ยนแปลงสัญญาเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับสถาพที่เปลี่ยนแปลงไป ยุคทักษิณลดค่าสัมปทานทุกบริษัทมือถือ ทำให้คนไทยได้ใช้โทรศัพท์ราคาถูกทั่วประเทศ กลับถูกตีความว่าทำให้รัฐเสียประโยชน์ เช่นเดียวกับการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ส่งเงินเข้าคลังโดยตรงไม่ต้องผ่านปากเสือนอนกิน กสท.ทศท.ก็ถูกตีความว่ารัฐเสียหาย

ทั้งสองคดีเป็นคำพิพากษาโดยการ “ตีความ” กฎหมาย ที่ไม่สามารถยอมรับได้ว่าเป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ตรงข้ามกลับทำให้เสียหลักนิติรัฐ นิติธรรม ด้วยซ้ำ

ทำไมไม่ตีความบ้างว่าในยุค ปชป.ที่ซิโนไทยของลูกชวรัตน์ ชาญวีรกูล ได้สัมปทานรถไฟฟ้า ธนาคารกรุงเทพ เครือญาติสามีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ได้ทำเช็คช่วยชาติ ทำไมไม่ผิด หลีกเลี่ยงได้เพราะไม่ใช่รัฐมนตรีที่รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ

คณาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งออกคำแถลงโดยคณบดีนั่งจ๋องอยู่ข้างๆ สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี อดีตคณบดี “ม.7” (ผู้ได้เป็นประธานบอร์ด อสมท.และบอร์ด ปตท.ในยุคแมลงสาบ) ยิ่งสังเวชหนัก เพราะอ้างมาตรา 309 มาตราอัปยศของรัฐธรรมนูญ 2550 (ที่สมคิด เลิศไพฑูรย์ ร่างมากับมือ) มาคัดค้านนิรโทษกรรม

“....ซึ่งหากพิจารณามาตรา ๓๐๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่า “บรรดา การใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้” ย่อมเป็นการรับรองความชอบของการกระทำขององค์กรที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐ ประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เอาไว้ในส่วนที่ถูกต้องตามกฎหมาย.......”

ชอบเลยครับ คณะนิติศาสตร์ยอมรับว่าชอบด้วยกฎหมาย ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา 309 แปลว่าอะไร แปลว่าการใดๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญชั่วคราวรับรองไว้ ก็ให้ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2550 ถ้อยคำที่เขียนไว้เป็นภาษาศรีธนญชัยหลอกชาวบ้าน ดูเหมือนถูกต้อง สวยงาม แต่ถามว่าถ้าการกระทำของ คตส.ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ แล้วจะต้องบัญญัติมาตรา 309 ไว้หาหอกอะไร

คณะนิติศาสตร์ยอมรับมาตราอัปลักษณ์ที่อธิการบดีเขียนไว้หรือ ครับ แล้วท่านจะสอนนักศึกษาอย่างไร ในเมื่อยอมรับว่า ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด มีมาตราหนึ่งยกเว้น ให้องค์กรที่ตั้งโดยรัฐประหารขัดรัฐธรรมนูญได้ และขัดได้ชั่วกัลปาวสาน


เพราะไม่สู้อย่างชอบธรรม

การบิดกระแส “ต้านนิรโทษ” เป็น “ต้านโกง” โดยไม่พูดถึง “ปล้นอำนาจ” “ฆ่าประชาชน” เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายในสังคมไทยซึ่งสอนศีลธรรมแบบจารีตไม่อิงกับระบอบ ประชาธิปไตย มองเพียงปรากฏการณ์ไม่มองเชิงระบบ (เห็นนักการเมืองชั่วออกมาต้านกันเต็มเมือง แต่เห็นรัฐประหารกลับมอบช่อดอกไม้)

นี่เป็นประเด็นที่ต้องต่อสู้ความคิดกันยาวนาน กับพวกรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นแบบหอการค้า (รวยแล้วไม่โกง) ซึ่งฉวยเพียงปรากฏการณ์มาสร้างเครดิต ไม่ได้อิงหลักการประชาธิปไตย

ถ้าแยกแยะกระแสต้านครั้งนี้ (ไม่นับฝ่ายแดง) อาจแยกได้ 3 ส่วนคือ พรรคประชาธิปัตย์ ความจริงไม่มีพลังนักหรอก ผู้คนรู้ไส้ แต่ส่วนที่สองคือสถาบันวิชาการ แพทย์ พยาบาล คนชั้นกลาง ซึ่งมีพวกเกลียดทักษิณเกลียดเสื้อแดงแฝงอยู่เพียบ เป็นตัวจุดรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ สร้าง gimmick ดึงประชาชนทั่วไปผู้รักความเป็นธรรมให้เข้าร่วม

รัฐบาล พรรคเพื่อไทย ต้องให้ความสนใจคนกลุ่มหลังเป็นสำคัญ อย่าท้าชน อย่ายั่วยุ ใช้ความอ่อนน้อม ยอมฟัง ดึงไปถึงเย็นวันจันทร์จึงค่อยๆ รุกกลับ (ไม่ต้องกลัวคดีปราสาทพระวิหาร ผมไม่เชื่อว่ากระแสคลั่งชาติยังปลุกขึ้น)

ส่วนพวกซากเดนพันธมิตรจู้กกรู้ ไม่จำเป็นต้องให้ราคา วุฒิสภาประกาศคว่ำร่างฯ ยังบุกสะพานมัฆวาน จงใจอยากเห็นความรุนแรง ประกาศ “ไล่รัฐบาลแล้วปฏิรูปประเทศไทย” บ้าถึงขั้นให้ถอนตัวจากศาลโลกก่อนวันที่ 11 พ.ย. (ม็อบนี้ต้องเลี้ยงไว้ เป็นประโยชน์ด้านกลับ)

อย่างไรก็ดี รัฐบาล พรรคเพื่อไทย เสื้อแดง ต้องตระหนักว่าสาเหตุหลักที่ประชาชนผู้รักความเป็นธรรมคล้อยตามป้าย “ต้านโกง” ก็เพราะความไม่ชอบธรรมทั้งกระบวนการและเนื้อหา ของร่างเหมาเข่งนั่นเอง

รับหลักการวาระแรก ร่างวรชัย บอกไม่มียัดไส้ ที่ไหนได้แปรญัตติยัดเข่งเข้ามาวาระ 2 แล้วลงมติวาระ 3 “ลักหลับ” ตอนตีสี่ พวกเดียวกันค้านก็ไม่ฟังยังดึงดันจะเอาให้ได้

ในความรู้สึกประชาชนทั่วไป นี่มัน “โกง” กันชัดๆ ลุแก่อำนาจ บังคับ ข่มขืน

จึงไม่แปลกเลยที่ผู้คนซึ่งเข้าใจคดีเดิมเพียงผิวเผิน จะรู้สึกว่าทำแบบนี้แปลว่าผิดจริงนี่หว่า ถ้าไม่ผิดจริง จะมาดันทุรังนิรโทษอย่างนี้ทำไม

นี่คือผลของความพยายาม “เอาทักษิณกลับบ้าน” แบบไม่อิงความชอบธรรมและหลักการประชาธิปไตย กลับไปเชื่อการ “เกี้ยเซี้ย” กับชนชั้นนำอีกฝ่าย ผมไม่สนใจเรื่อง “ถูกหลอกอีกแล้ว” เพราะไม่ใช่ประเด็น เพราะมันชัดเจนว่า ในความขัดแย้งครั้งนี้ “ชนชั้นนำ” ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถสั่งมวลชนของตนให้ซ้ายหันขวาหันได้ มวลชนหรือกลุ่มพลัง องค์กร แต่ละฝ่าย มีอิสระ มีเป้าหมายของตัวเอง คุณยังสั่งเสื้อแดงไม่ได้เลย อีกฝ่ายก็สั่งเสื้อเหลืองหรือสั่งสังคมไม่ได้เช่นกัน

มีแต่การต่อสู้บนหลักการประชาธิปไตย และสร้างความชอบธรรมให้สังคมยอมรับเท่านั้น จึงจะบรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าเรื่องทักษิณหรือเรื่องอะไร

โอเค การเมืองไม่ต้องเดินบนหลักการเป๊ะๆ แต่ถ้าไม่มีหลักรองรับเลย ก็ไม่มีความชอบธรรม โอเค การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ถ้ารัฐบาลทำให้เศรษฐกิจดี ขายฝันโครงการใหญ่ ผู้คนสนับสนุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้อำนาจทำอะไรก็ได้

ยกตัวอย่างเรื่องทักษิณ ลองคิดดูว่าถ้าย้อนเวลาได้ ถ้าโยนข้อเสนอ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร” แบบนิติราษฎร์ ให้สังคมทบทวน อาจจะไม่ต้องยึดตามนิติราษฎร์ก็ได้ อาจจะแก้เสนอแก้มาตรา 309 ใส่เนื้อหาลบล้างผลพวงรัฐประหาร ให้ ปปช.นำคดีความต่างๆ มาเริ่มต้นใหม่ นำเสนอวาระ แล้วให้สังคมถกเถียง ไม่จำเป็นต้องลงมติทันที การถกเถียงในสังคมก็จะเปลี่ยนไป จาก “ต้านโกง” กระหน่ำ ก็จะเป็นการถกเถียงกันว่าทักษิณได้รับความยุติธรรมแล้วหรือ ก็จะเป็นการถลกหนังรัฐประหารตุลาการภิวัตน์มาชำแหละอีกรอบ รอบแรก สังคมอาจไม่ยอมรับ ไม่เป็นไร สร้างเชื้อไว้ รอบใหม่ยังมีโอกาส

แต่รอบนี้หมดโอกาสแล้ว มาออกกฎหมาย “ลักหลับ” อย่างนี้ อีกสิบปีจะกลับบ้านได้หรือเปล่าไม่รู้

แพ้ครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เปลี่ยนดุลอำนาจ ปฏิรูปพรรคให้เป็นระบบมากขึ้น ไม่ใช่ทำตามใบสั่งใครคนใดคนหนึ่ง หรือ 2-3 คน (ขั้วอำนาจสับสนอีกต่างหาก เด็กฝากเด็กเส้นชนกันขวักไขว่) แต่ต้องมีคณะกรรมการ คณะทำงาน ที่มีอำนาจมีบทบาทจริง ขณะเดียวกันก็ต้องรื้อล้างนักการเมืองเก่าๆ ที่ไม่เข้าใจการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าใจการต่อสู้บนหลักความชอบธรรม เพิ่มบทบาทคนใหม่ๆ คนมีฝีมือ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ยอมรับ Primary Voteฯลฯ เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อไปหรือยุบสภา ก็ยากลำบากทั้งสิ้น

คิดง่ายๆ นะครับ ถ้ายุบสภาครั้งนี้ ชูป้าย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อีกละก็ หงายหลังเลย

บทเรียนอันเจ็บแสบยังทำให้ขบวนเสื้อแดง นปช. ขบวนประชาธิปไตย ตระหนักว่าต้องสร้างอำนาจต่อรองกับพรรคเพื่อไทย ต้องสร้างพลังที่จะดึงผู้รักความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องดี ที่จะต้องพูดกันจริงจังต่อไป

                                                                                                ใบตองแห้ง
                                                                                                10 พ.ย.56
......................................................................


10 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13:41 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น