แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ในหลวงเสด็จฯทอดพระเนตรแม่น้ำเจ้าพระยา

ที่มา Voice TV

 ในหลวงเสด็จฯทอดพระเนตรแม่น้ำเจ้าพระยา


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จพระราชดำเนินยังชั้น 7 โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุญย์ สถาบันการแพทย์สยามินทร์ เพื่อทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถ ทอดพระเนตรทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยายามเย็นและทรงเสวยพระกระยาหารค่ำ
 
เมื่อเวลา 16.22 น. วันที่ 27 ก.พ. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ลงจากที่ประทับ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยรถเข็นพระที่นั่ง ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ นพ.ดิเรก จุลชาต เป็นผู้ถวายการเข็นรถพระที่นั่ง โดยมี ศ.คลีนิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยแพทย์และพยาบาล ตามเสด็จฯ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าอมเทา ลายทางสีทองที่ด้านหน้า ทรงสวมสนับเพลาสีดำ รองพระบาทสีดำ พระหัตถ์ขวาทรงจูงคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง พระองค์ทรงมีพระพักตร์ที่แจ่มใส ทรงแย้มพระสรวลให้กับพสกนิกรที่มาเฝ้ารอรับเสด็จฯที่โถงชั้นล่างอาคารเฉลิม พระเกียรติโดยเมื่อพสกนิกรเห็นพระองค์เสด็จฯผ่านต่างพร้อมใจกันเปล่งสียง "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ บางรายหลั่งน้ำตาด้วยความปิติที่ทรงเห็นพระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง
 
จากนั้นเวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จฯ โดยรถตู้พระที่นั่ง เสด็จฯ ยังโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุญย์ สถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช โดยมี ศ.คลีนิค น.พ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผอ.โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุญย์ พร้อมด้วยแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่และประชาชนที่มารอรับการรักษา เฝ้ารับเสด็จฯ ทุกคนต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ก่อนเสด็จฯ ยังชั้น 7 สถาบันการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เพื่อทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถ พร้อมทอดพระเนตรทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยายามเย็นและทรงเสวยพระกระยาหาร ค่ำ.
 
 
 

27 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 21:07 น.

นักศึกษา 'PERMAS' ส่งจดหมายถึงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส - See more at: http://prachatai.com/journal/2013/02/45526#sthash.JXnWVvMH.dpuf

ที่มา ประชาไท


27 กุมภาพันธ์ 2556 สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้  (PERMAS) ทำ จดหมายเปิดผนึกลงนามโดยนายกริยา มูซอ เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงผู้อำนวยการ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) กรณีการนำเสนอข่าวของทางสถานีฯ เรื่อง “ชักจูง นศ. เป็นแนวร่วม” ในช่วง ข่าวเด่น ประเด็นใต้ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2556 โดยเนื้อหาของรายการดังกล่าวมีการพาดพิง สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ PERMAS ว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติปาตานี หรือ BRN-Coordinate โดยจดหมายเปิดผนึกระบุ อาจเป็นแผนการทำลายความน่าเชื่อถือ หรือดิสเครดิต บทบาทนักศึกษาของสื่อสาธารณะที่สังคมหลายส่วนเชื่อว่าไม่ได้เป็นเครื่องมือ ของรัฐที่บิดเบือนข้อมูลในพื้นที่มาโดยตลอด และเรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์ Thai PBS ชี้แจงถึงที่มาของแหล่งข้อมูลที่ได้นำเสนอ และ เผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างชัดเจน ให้ระบุ องค์กร หรือ นักศึกษาเป็นรายปัจเจก ว่าเกี่ยวข้องกับ BRN-Coordinate อย่างไร พร้อมทั้งแสดงหลักฐานที่ชัดเจน และขอให้ทางสถานีฯ แสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษที่ทำให้ภาพลักษณ์นักศึกษาโดยรวมเกิดความเสีย หาย โดยมีจดหมายฉบับเต็ม ดังนี้
0 0 0

จดหมายเปิดผนึก
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
(PERMAS)

เรียน  ผู้อำนวยการ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS)
เรื่อง  กรณีการนำเสนอข่าวของทางสถานีฯ เรื่อง “ชักจูง นศ. เป็นแนวร่วม” ในช่วง ข่าวเด่น ประเด็นใต้
เนื่องด้วยกรณีการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ Thai PBS เรื่อง “ชักจูง นศ. เป็นแนวร่วม” ในช่วงรายการ “ข่าวเด่น ประเด็นใต้” เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2556 โดยเนื้อหาของรายการดังกล่าวมีการพาดพิง สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ PERMAS ว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติปาตานี หรือ BRN-Coordinate ซึ่งเป็นการรายงานข่าวที่ไม่ระบุแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงต่อขบวนการนิสิตนักศึกษาที่มุ่งมั่น ขับเคลื่อนประเด็นสันติภาพ
นักศึกษาช่วยสร้างบรรยากาศให้เกิดพื้นที่ทางการเมือง ในภาวะที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างการปกครองและกระบวนการ ยุติธรรมของรัฐ ผ่านการทำกิจกรรมรณรงค์และจัดการศึกษาให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการ ประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษย์ชนและกระบวนการสร้างสันติภาพ แต่ตัวรายงานข่าวกลับมองว่า นักศึกษามีแนวคิดนิยมความรุนแรง
ในภาวะที่รัฐไทยมีจุดยืนชัดเจนว่าไม่ยอมรับสถานะทางการเมืองของ BRN-Coordinate ว่าสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง ไม่ใช่โจรที่ทำผิดกฎหมายแห่งรัฐ จึงเป็นผลให้ BRN-Coordinate ไม่สามารถสื่อสารกับสังคมสาธารณะได้ เพราะคงไม่มีสื่อมวลชนใดที่จะเป็นพื้นที่สื่อให้กับโจรที่ทำผิดกฎหมายแห่ง รัฐ การกล่าวหานักศึกษาว่าเป็นโครงสร้างของ BRN-Coordinate ในนัยยะของการนิยมความรุนแรงนั้น ความเป็นจริงจะใช่หรือเป็นไปตามข้อกล่าวหาจริงหรือไม่ ก็คงมีเพียงแต่ BRN-Coordinate เท่านั้นที่จะตอบได้ เพราะถ้านักศึกษาบอกว่าไม่ใช่ รัฐก็คงไม่เชื่อ นี่อาจเป็นแผนการทำลายความน่าเชื่อถือ หรือ ดิสเครดิต บทบาทนักศึกษาของสื่อสาธารณะที่สังคมหลายส่วนเชื่อว่าไม่ได้เป็นเครื่องมือ ของรัฐที่บิดเบือนข้อมูลในพื้นที่มาโดยตลอด
ดังนั้น สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ PERMAS จึงขอเรียกร้องต่อสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ดังนี้
1. ให้ทางสถานีฯ ชี้แจงถึงที่มาของแหล่งข้อมูลที่ได้นำเสนอ และ เผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างชัดเจน
2. ให้ระบุ องค์กร หรือ นักศึกษาเป็นรายปัจเจก ว่าเกี่ยวข้องกับ BRN-Coordinate อย่างไร พร้อมทั้งแสดงหลักฐานที่ชัดเจน
3. ให้ทางสถานีฯ แสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษที่ทำให้ภาพลักษณ์นักศึกษาโดยรวมเกิดความเสียหาย
                                                                               ด้วยจิตศรัทธาต่อสันติภาพ
                                                                               นายกริยา มูซอ
                                                                               เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
                                                                               27 กุมภาพันธ์ 2556

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 28/02/56 มื้อมิตรภาพบนกับระเบิด...

ที่มา blablabla



ไฟสงคราม ที่ก่อ รอระอุ
อาจปะทุ แผดเผา เข้าล้างผลาญ
มิตรภาพ เคยโอบเอื้อ เมื่อวันวาน
กลายเป็นบ้าน ที่ร้อนรุ่ม กว่าสุมไฟ....

มื้อมิตรภาพ ท่วมท้น บนกับระเบิด
หวังก่อเกิด มิตรไมตรี ที่ยื่นให้
รั้วเขตแดน เราสอง มองให้ไกล
ใจต่อใจ ร่ำร้อง ต้องคุยกัน....

ให้คลี่คลาย ด้วยดี มีสันติสุข
ก้าวข้ามยุค ก่อนนี้ กี่เรื่องนั่น
อย่ามัวนิ่ง ดูดาย สายสัมพันธ์
ร่วมสร้างฝัน เพื่อพี่น้อง ผองประชา....

ต่างคนต่าง มีหัวใจ ใฝ่รักชาติ
หวังเติมวาด สิ่งดีๆ ที่โหยหา
หยุดก่อไฟ ให้มันเดือด เลือดน้ำตา
แล้วหันมา ร่วมสร้าง ทางร่มเย็น....

๓ บลา / ๒๘ ก.พ.๕๖

คลิป "สมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 16" กล่าวอำลาตำแหน่ง

ที่มา go6tv



คริสตศาสนิกชนจำนวนมากมาร่วมอำลาสมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในนครรัฐวาติกัน ในวันสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะสละตำแหน่งในวันพฤหัสบดี

พระองค์นับเป็นสมเด็จพระสันตปาปาองค์แรกในรอบ 600 ปีที่ทรงประกาศสละตำแหน่ง นับตั้งแต่องค์สันตะปาปาเกรกอรี ที่ 12 สละตำแหน่งเมื่อปี 1415

สมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่16 ตรัสถึงห้วงเวลาของคริสตจักรแห่งความสุขและแสงสว่างในสมัยของพระองค์ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นในการปรากฏพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนอำลาตำแหน่งที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์

พระองค์ตรัสต่อฝูงชนว่า การรับตำแหน่งถือเป็นภารกิจที่หนัก แต่พระองค์ก็ยอมรับที่จะปฏิบัติ เนื่องจากพระองค์เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจะชี้หนทางให้แก่พระองค์ เช่นเดียวกับเรื่องเล่าในคัมภีร์ไบเบิล ที่เหล่าสาวกต้องเผชิญหน้ากับคลื่นลมแรง และองค์พระเยซูปรากฏต่อหน้าบุคคลเหล่านั้น

พระองค์ยังตรัสขอบใจพระราชาคณะ ผู้มีส่วนร่วมและคริสตศาสนิกชนทุกคนที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือและเคารพการ ตัดสินพระทัยสละตำแหน่งของพระองค์ และว่าความรักในคริสตจักรหมายถึงความกล้าที่จะเผชิญปัญหา การตัดสินใจรวมทั้งคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของศาสนจักรไว้เสมอ

โดยการประชุมลับเพื่อแต่งตั้งองค์สันตะปาปาองค์ใหม่ จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งเท่ากับว่าห่างจากช่วงสัปดาห์อันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Week) ที่สิ้นสุดลงในวันอาทิตย์ที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือวันอีสเตอร์ (Easter Sunday) ในวันที่ 24 มีนาคม

รายงานระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ.) พระองค์จะเสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังพระตำหนักคาสเทล แกนดอลโฟ ที่ห่างจากกรุงโรมไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงโรมราว 24 กม. โดยพระองค์จะสิ้นสุดความเป็นองค์สันตะปาปาในเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (02.00 น. วันที่ 1 มี.ค. ตามเวลาในไทย) โดยหลังจากนั้น พระองค์จะได้รับตำแหน่ง"พระสันตะปาปากิตติคุณแห่งโรมัน"

พรรคเพื่อไทย เปิดนโยบายใหม่ โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.

ที่มา go6tv


แม้จะเหลือเวลาอีก 3 วัน แต่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.พรรคเพื่อไทย แถลงนโยบายเพิ่มเติม ขณะที่รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ยืนยันกรณีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของพรรคฯ ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หาเสียงนั้น อยู่นอกเวลาราชการและเป็นวันหยุดราชการ จึงไม่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (27 ก.พ.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และส.ส.พรรคเพื่อไทย ปฏิเสธความกังวลหลังมีคำร้องการใช้อำนาจหน้าที่ช่วยผู้สมัครหาเสียง ทั้งกรณีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เพราะในแต่ละครั้งที่ร่วมคณะลงพื้นที่หาเสียง จะเป็นนอกเวลาราชการและเป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ได้พิจารณาข้อกฎหมายอย่างรอบคอบแล้ว พร้อมเรียกร้องให้ผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งในช่วงเวลาที่เหลือด้วยความสร้าง สรรค์ ไม่ควรใช้วิธีกล่าวหาสาดโคลน เพื่อลดความน่าเชื่อถือของคู่แข่ง

ขณะที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคเพื่อไทยเดินหน้าหาเสียง และแถลงเปิดนโยบายเพิ่มเติม แม้จะเหลือเวลาหาเสียงเพียงแค่ 3 วันก่อนวันเลือกตั้ง


โดยวันนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่ากทม. หมายเลข9 จากพรรคเพื่อไทย แถลงเปิดนโยบาย “พลิกโฉมกรุงเทพฯ Revitalize Bangkok สร้าง โอกาสใหม่ สร้างรายได้ใหม่ให้คนกรุงเทพฯ” ซึ่งเป็นนโยบายสุดท้ายในการหาเสียง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งส.ส.และแกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทย ร่วมในการแถลงเปิดนโยบายอย่างพร้อมเพรียง โดยพล.ต.อ.พงศพัศ แถลงว่า หลังจากลงพื้นที่หาเสียงมา 44 วัน ได้ไปครบแล้ว 50 เขต ทุกชุมชน ได้ทราบปัญหาต่างๆ ทุกคนยืนยันว่า กทม.ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง โดยตนยืนยันจะบริหารงานในกทม.ให้มีความโปร่งใส พร้อมเพิ่มกระบวนการตรวจสอบการทำงานของผู้ว่าฯกทม. เพราะคนกทม.ตั้งความหวังว่า เงินทุกบาทสมควรต้องนำไปใช้จ่ายอย่างประหยัด เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไร้การคอรัปชั่น หากมีการทุจริตเกิดขึ้น ผู้ว่าฯกทม.ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

สำหรับนโยบายพลิกโฉมกรุงเทพฯนั้น มียุทธศาสตร์สำคัญ 3 ส่วนได้แก่ 1.การพลิกโฉมกทม. จะพัฒนาเขตกรุงเก่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ โดยฟื้นรถรางในพื้นที่รัตนโกสินทร์ การทำเยาวราชให้เป็นแหล่งอาหารจีนที่ดีที่สุดในโลก การพัฒนาย่านเจริญกรุงที่ขนานกับแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นสถานที่พักผ่อนและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาจับจ่ายใช้สอย 2.การเปลี่ยนชีวิต พัฒนาย่านการค้าเก่าเป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างรายได้ใหม่ ต่อยอดโอกาสธุรกิจ เติมความฝันเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ จะสร้างศูนย์แสดงสินค้าโอทอปที่หัวลำโพง นำสินค้าโอทอป 50 เขต มาจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวรู้จักสินค้าโอทอปไทย การพลิกฟื้นตลาดสดที่ถูกละเลยเป็นแหล่งรายได้ใหม่ คงเสน่ห์วิถีตลาดไทยแบบดั้งเดิม 3.การสร้างเศรษฐกิจใหม่ โดยประสานกับรัฐบาลเพื่อพัฒนาเชื่อมโยงโครงการต่างๆให้มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนกทม. โดยจะโซนนิ่งกรุงเทพฯ สร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตใหม่ให้คนกทม. โดยใจกลางกทม.และย่านมักกะสัน จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนแห่งใหม่ กทม.ด้านเหนือพัฒนาเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งกระจายสินค้า กทม.ด้านใต้ พัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และกทม.ด้านตะวันตกพัฒนาเป็นแหล่งรายได้และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านศิลป วัฒนธรรม ทั้งนี้ หากได้เป็นผู้ว่าฯกทม. สิ่งที่จะทำทันที 2 เรื่องคือ 1.การลดค่าครองชีพให้ชาวกทม. โดยกทม.จะร่วมมือกับรัฐบาล ให้มีการลดต้นทุนผลิตสินค้าให้มากที่สุด กทม.จะเป็นเจ้าภาพนำสินค้าต่างๆลงสู่ร้านถูกใจ การลดรายจ่ายจากการเดินทาง ส่วนต้นทุนการค้าขายที่เพิ่มขึ้นจากเทศกิจ เจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มมาเฟีย จะแก้ไขทันที ไม่ให้อำนาจนอกระบบทำให้การค้าขายได้รับผลกระทบ และ 2.การแก้ปัญหาจราจร ลดเวลาการเดินทาง เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นการพัฒนาสร้างอนาคต รายได้ใหม่ๆ ทุกคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง ทำงานแบบไร้รอยต่อ เพื่ออนาคตของกทม.

"เขตหลักสี่" โบ้ยไม่รู้ไม่ชี้! บัญชีผีโผล่ตายไป 30ปี แต่ได้สิทธิ์เลือกผู้ว่าฯเก๋ๆ

ที่มา go6tv

คุณยายสงวน กลิ่นรำพึง ยืนยันตนเองอาศัยอยู่เขตสายไหม ไม่เคยย้ายทะเบียนบ้านตนเองไปไหน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 (go6TV) เวลา 19.00 น. ที่ สน.ทุ่งสองห้อง พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2   และ พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผกก.สน.บก.น.2 ได้แถลงข่าว   เปิดเผยความคืบหน้ากรณี นางสุภัค สุขบุญแดง อยู่บ้านเลขที่ 20ม.2 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ เข้าร้องเรียนว่ามีรายชื่อผี เพิ่มเข้ามาในบ้านตนเองโดยไม่ทราบที่มาที่ไป จำนวน 6 ราย 

พ.ต.อ.เจริญ เปิดเผยว่า หลังรับร้องเรียน ทางเจ้าหน้าที่ ตร.กก.สส.บก.น.2 ได้นำรายชื่อบุคคลที่มรชื่อในทะเบียนบ้านทั้งหมดมาตรวจสอบ พบว่า บ้านของผู้ที่ร้องเรียนมีผู้พักอาศัยอยู่ทั้งหมด 17ราย โดยเป็นบุคคลที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง จำนวน10ราย แต่ปรากฏว่ามีรายชื่อเพิ่มมาจำนวน6ราย มี นางหวิง สายดี อายุ 95ปี นางสังวาลย์ สายดี อายุ 71ปี นายเยื้อ สายดี อายุ 59  นายม่อม กลิ่นรำพึง อายุ 83ปี นางสงวนกลิ่นรำพึง อายุ75ปี และ นางแต๋ว กลิ่นรำพึง อายุ 58ปี 
ซึ่งทั้ง 6 รายเป็นผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ทางเจ้าหน้าที่ ตร.จึงได้ประสานไปทางเขตหลักสี่ เพื่อขอทราบข้อมูลรายละเอียดการย้ายเข้ามา แต่ทางเขตแจ้งมาว่าไม่ทราบว่าทั้ง 6 คนมีรายชื่อเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทางฝ่านสืบสวนจึงมีการตรวจสอบต่อไป ก็พบว่าทั้ง 6 รายใช้เลขบัตรประชาชนที่ไม่ตรงกับฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้พบว่ามีอยู่ 3รายคือ นางหวิง นายเยื้อและ นายม่อม มีข้อมูลว่าได้เสียชีวิตแล้ว 
จากนั้น ทาง สน.ทุ่งสองห้องได้เดินทางไปเชิญ นางสงวน กลิ่นรำพึง อายุ 75ปี ที่พักอยู่ย่านสายใหม เบื้องต้น นางสงวนให้การว่าไม่รู้เรื่องว่าไปมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านคนอื่นได้อย่างไร และก็พักอยู่ที่บ้านที่สายใหม ไม่เคยย้ายไปไหน และ นาง สงวนยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รายชื่อ 6 รายนั้น มี 3 รายที่ตายไปแล้ว คือ นางหวิง สายดี เป็นพี่สาวตนตายไปสิบกว่าปี  นายเยื้อ สายดี สามีของตนรายนี้ตายไป 30 กว่าปี นายหม่อม กลิ่นรำพึง พี่ชายก็ตายไปสิบกว่าปีเช่นกัน  ส่วนอีกชื่อคือนางแต๋ว กลิ่นรำพึง น้องสาวย้ายไปอยู่แถวระยอง-จันทบุรี ตั้งเป็นสิบกว่าปีไม่ได้เจอกันอีกเลย
และ พิรุธอีกข้อหนึ่ง ที่ทางตำรวจกล่าวคือ รายชื่อทั้ง 6 รายชื่อที่มาโผล่ที่เขตทุ่งสองห้องนั้น ปรากฏว่าถูกตั้ง "เลขที่บัตรประจำตัวประชาชนใหม่ทั้งหมด มีหมายเลข 3 หลักสุดท้ายเรียงกัน  ตั้งแต่หมายเลข 59 - 64 ซึ่งคือการ "ออกบัตรประชาชนใหม่ทั้งหมด"
ซึ่งจากข้อมูลที่ได้มาให้กับทางสำนักงานเขต และ กกต. และในส่วนของเจ้าหน้าที่ ตร. ก็จะได้ทำการสอบสวนหาที่มาที่ไปของรายชื่อผีดังกล่าวต่อไป


รายชื่อเจ้าบ้านผู้มีสิทธิ์ ในบ้านเลขที่ 20 หมู่ 2 เขตหลักสี่ ภาพที่ 1 
รายชื่อเจ้าบ้านผู้มีสิทธิ์ ในบ้านเลขที่ 20 หมู่ 2 เขตหลักสี่ ภาพที่ 2  ซึ่งรวมกันแล้วแล้วมีผู้ใช้สิทธิ์รวมกัน 10 ราย
สังเกตได้ว่า  แม้จะเป็นบุคคลครอบครัวเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน ปกติ "เลขบัตรประชาชนจะไม่เรียงลำดับหมายเลขกัน"
รายชื่อผู้มี สิทธิ์ ที่ไม่ได้มีตัวตนจริง 6 รายชื่อ ชื่อที่ 1 ตายไปแล้ว ชื่อที่ 2 อายุ 71 ปี ไม่ได้ที่เขตหลักสี่ แต่มีทะเบียนบ้านจริงของตนอยู่เขตสายไหม  ชื่อที่ 3 ตายไปแล้วสามสิบกว่าปี (สามีนางสงวน)
รายชื่อผู้มี สิทธิ์ ที่ไม่ได้มีตัวตนจริง รายที่ 4 เป็นพี่ชายนางสงวนตายไปสิบกว่าปีแล้ว  รายที่ 5 คือนางสงวน รายที่ 6 น้องสาวนางสงวน ย้ายไปอยู่ระยอง-จันทบุรีมากกว่า 10 ปี  ข้อน่าสังเกตุคือ ทั้ง 6 รายชื่อ ถูกอ้าง "ยกครอบครัว" มาจากเขตสายไหม มาใส่ในทะเบียนบ้านเขตหลักสี่  นางสงวนบอกว่า ตนเองไม่เคยย้ายบ้านไปไหนเลย และสังเกตดู "หมายเลขประจำตัวประชาชน" ด้านซ้ายมือ ของทั้ง 6 รายชื่อเรียงลำดับกันหมด  และแตกต่างกันคนละหมายเลขกับภาพด้านขวา ซึ่งเป็นภาพจากบัตรประชาชนจริง และมีเลขบัตรจริงอยู่ แม้จะเป็นพี่น้องกันนามสกุลเดียวกันแต่จะไม่เรียงหมายเลขกัน
สำนักงานกรรมการการเลือกตั้ง ส่งจดหมายมายังนางสงวน ยืนยันว่านางสงวนมีชื่ออยู่ในบ้านเขตสายไหม

ทะเบียนบ้านนางสงวน ยืนยันว่าย้ายเข้ามาอาศัยที่เขตสายไหม ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2524 คือเมื่อ 32 ปีที่แล้ว







ชาวเน็ต แห่เขียนเบอร์16 ตามร่างกาย คึกคัก

ที่มา go6tv



ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ใช้หมึกสีน้ำเงินเขียนบนนิ้วเป็นหมายเลข 16 เพื่อเป็นการเชิญชวนประชาชนมาช่วยกันสร้างเมืองกรุงเทพฯ ของเรา พร้อมกับช่วยกันสนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 16 ของพรรคประชาธิปัตย์ 

ขณะ เดียวกัน กลุ่มผู้สนับสนุนบางส่วนต่างก็ใช้หมึกสีน้ำเงินเขียนหมายเลข 16 ตามร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน โดยภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเครือข่ายสังคมเป็นจำนวนมาก ทำให้สร้างความคึกคักช่วงการหาเสียงโค้งสุดท้ายเป็นอย่างมาก



วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซีรีส์ทบทวน 15 ปีองค์กรอิสระ2 ศราวุฒิ ประทุมราช: กสม. ล้มเหลวในการปกป้องสิทธิทางการเมือง - See more at: http://prachatai.com/journal/2013/02/45502#sthash.jxxHapiC.dpuf

ที่มา ประชาไท


นับแต่มีการต่อต้านรัฐบาลทักษิณเรื่อยมาจนถึงการรัฐประหาร กรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยถูกตั้งคำถามไม่น้อย ถึงบทบาทหน้าที่ในการปกป้องสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ประชาไทสัมภาษณ์ ศราวุฒิ ประทุมราช ซึ่งวิพากษ์การทำงานของกรรมการสิทธิรวมถึงที่มาซึ่งเขาเห็นว่าไม่เป็น ประชาธิปไตยและต้องแก้ไข
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก่อตั้งขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนส่วนหนึ่ง ในช่วงนั้นศราวุฒิ ประทุมราช ก็อยู่ในเครือข่ายที่ร่วมผลักดันโครงสร้างกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขึ้น และยังได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมการฯ ทั้งชุดแรกและชุดปัจจุบัน ในฐานะอนุกรรมการด้านสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง
แน่นอนว่า ในห้วงเวลานับแต่มีการต่อต้านรัฐบาลทักษิณเรื่อยมาจนถึงการรัฐประหาร กรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยนั้นถูกตั้งคำถามไม่น้อย ถึงบทบาทหน้าที่ในการปกป้องสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในฐานะที่เป็น ส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน
ที่ผ่านมา ประชาไทได้สัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการสิทธิทั้งชุดแรก คือ จรัล ดิษฐาอภิชัย และกรรมการสิทธิชุดปัจจุบันคือ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เพื่อทบทวนประสบการณ์ และเงื่อนไขข้อจำกัดของการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการสิทธิมาแล้ว
เพื่อสะท้อนเสียงจากคนทำงานภาคประชาสังคม ที่ได้รู้เห็นและมีส่วนร่วมในการทำงานกับกรรมการสิทธิ ครั้งนี้ประชาไทคุยกับศราวุฒิในฐานะคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น จนถึงวันนี้ เขาได้กรรมการสิทธิที่เขาคาดหวังหรือไม่ และมองการทำงานของกรรมการสิทธิอย่างไร
ศราวุฒิ ประทุมราช ผู้อำนวยการสถาบันหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน 
และอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กสม.

ประชาไท: ทำไมตอนนั้น (รณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญ 2540) จึงมีแนวคิดเรื่องการก่อตั้งกรรมการสิทธิ
ศราวุฒิ: ช่วงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมืองไทยขาดองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถ้าเกิดการละเมิดสิทธิโดยรัฐหรือโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระบวนการที่ใช้อยู่ตามปกติก็มีสองส่วนคือ กลไกของฝ่ายบริหารเอง เช่น ถ้าตำรวจละเมิดก็ไปร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืออย่างมากก็ไปฟ้องศาล แต่ถามว่ากระบวนการพวกนี้ใช้เวลาไหม- ใช้เวลานาน
อีกกลไกหนึ่งก็คือไปที่สภาผู้แทน กรรมาธิการสามัญ ซึ่งก็ไม่มีอำนาจอะไร ทำได้เพียงเรียกคนนั้นคนนี้มาชี้แจง แล้วก็ทำรายงานต่อสภา สภาก็ทำการตรวจสอบกับรัฐบาลในการอภิปรายหรือในการตั้งกระทู้ถาม กระบวนการพวกนี้ไม่ได้ให้คุณให้โทษได้โดยตรง อาจจะทำให้เสียหน้าแต่ก็ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ แล้วก็ถ้าจะฟ้องศาลคุณก็ต้องมีทุนทรัพย์พอสมควร ต้องมีทนายความ จะไปพึ่งสภาทนายความก็ได้ แต่ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ทำคดีได้ยาก ก็เลยมีการศึกษาดูว่าในต่างประเทศเขามีกลไกอะไรที่พอจะเป็นหน่วยงานที่อิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร ไม่ขึ้นกับศาล ทำหน้าที่กึ่งตุลาการ ก็ได้เจอหลักการเกี่ยวกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เกิดขึ้นจากหลักการ ปารีส ระบุเอาไว้ว่ากลไกหรือองค์กรสถาบันสิทธิมนุษยชนระดับชาติที่รัฐต้องสนับสนุน ให้มีขึ้นมา และทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเอกชนด้วย
ก็มีการผลักดันให้มีกรรมการสิทธิฯ บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และในรัฐธรรมนูญก็เขียนว่าการจะตั้งหน่วยงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ก็มีการร่างพ.ร.บ. กรรมการสิทธิฯ จนกระทั่งมีคณะกรรมการสิทธิฯ เมื่อปี 2544 เป็นกรรมการสิทธิฯ ชุดแรก
ตามหลักการแล้ว กรรมการสิทธิมีอำนาจหน้าที่อยู่สองสามประการ หน้าที่หลักคือตรวจสอบ แต่ประเด็นของการตรวจสอบไม่ใช่หน้าที่ที่จะลงโทษหรือเอาใครเข้าคุก เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะดำเนินการทางอาญา หรือทางแพ่งอะไรก็ตาม แต่เป็นการไปแนะนำให้หน่วยงานนั้นปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับหลักสิทธิ มนุษยชน ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ต้องให้มีการชดเชย สร้างหลักประกันให้ไม่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีก ทำรายงานให้รัฐบาลสั่งการเพราะรัฐบาลเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆ เช่น ถ้ากระทรวงผิด นายกฯ มีคำสั่ง แต่ถ้านายกฯ ไม่สั่ง ก็ต้องฟ้องสภาเพื่อให้ประชาชนจับตาดูว่าคุณจะทำแบบนี้อีกไม่ได้
ประการที่สองคือ การให้ความรู้ให้การศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนต่อสาธารณะ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกันในเรื่องของ สิทธิมนุษยชนว่าจะอยู่กันอย่างไรที่จะไม่ไปละเมิด ไม่ไปเบียดเบียน อยู่บนหลักของความเสมอภาค เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ประการที่สาม ที่เป็นเรื่องสำคัญคือบทบาทของกรรมการสิทธิที่จะต้องประสานงานกับ องค์การ หน่วยงาน ที่สอดคล้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
ตัวบุคคลที่เป็นกรรมการสิทธิต้องเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน
ประชาไท: แล้วพอมีกรรมการสิทธิฯ ชุดแรก คุณมีข้อสังเกตอย่างไร
ศราวุฒิ: เราก็ได้คนที่หลากหลาย เนื่องจากว่ามี 11 คนในชุดแรก กรรมการสิทธิฯ ชุดแรกอาจจะดีหน่อยในแง่ที่ได้คนที่มีพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษยชนมาก่อนแต่ ก็จะถูกจำกัดลงด้วยความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนที่เป็นความเข้าใจเฉพาะด้าน ที่ตัวเองถนัด เช่น มาจากองค์กรทำงานด้านสตรี เด็ก มีทนายความ นักวิชาการ ความหลากหลายเยอะ ทำให้การประสานงานขัดข้องกันอยู่ เนื่องจากทั้ง 11 คนไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน ต่างก็เป็นอิสระจากกัน
ประชาไท: กลายเป็นว่ามีความรู้เฉพาะด้าน แต่ไม่สามารถมองภาพรวมร่วมกัน
ศราวุฒิ: ไม่สามารถมองภาพรวมและทำงานไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างเป็นเอกภาพ ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังว่ากรรมการทุกคนจะต้องมีภาพรวม หรือทำงานโดยรวมได้ แต่ว่าจะต้องไม่ยึดติดอยู่กับประเด็นของตัวเอง แต่เนื่องจากที่มาของกรรมการสิทธิฯ ในชุดแรก ภาคประชาชนไปผลักดันไว้เยอะ ทำให้การนำเสนอตัวบุคคลที่จะให้วุฒิสภาเป็นคนคัดเลือกก็ผลักดันเฉพาะเครือ ข่ายที่ตัวเองทำงานอยู่ด้วย โดยเราก็ไม่ได้มอง
คือเราเข้าใจว่าถ้าคนเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดพัฒนาการดีขึ้น ไม่มากก็น้อย ก็เลยเสนอเป็นด้านๆ ไป แต่ไม่สามารถผลักดันให้กลไกสิทธิมนุษยชนมีความเปลี่ยนแปลงในระดับที่มีนัยยะ สำคัญหรือจับต้องได้
แต่ก็ต้องถือว่าเป็นองค์กรที่เป็นโมเดลนะ เพราะว่าที่มาของกรรมการสิทธิฯ เมืองไทยไม่ได้ มาจากการคัดเลือกของรัฐ แต่มาจากคณะกรรมการสรรหา ก็ถือว่าเป็นประโยชน์
แต่พอปี 2550 กรรมการสรรหามาจากภาคศาล มาจากองค์กรอิสระอื่นๆ เพราะฉะนั้นความจำกัดของผู้พิพากษา การดีไซน์ให้ผู้พิพากษาเป็นคนคัดเลือกองค์กรอิสระ ผมถือว่าเป็นความล้มเหลวของสังคมไทยนะ เพราะผู้พิพากษาไม่ได้รู้ทุกเรื่อง และอาจจะเป็นการเลือกข้างทางการเมือง เพราะที่มาของรัฐธรรมนูญ 2550 ก็อย่างที่ทราบกันว่าเกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและต้องการ กำจัดระบอบทักษิณหรืออะไรก็ตามแต่จะเรียก ก็คือต้องการที่จะเอาคนที่ไม่สนับสนุนส่งเสริม หรืออยูในแวดวงของทักษิณเข้ามาทำงาน
เพราะฉะนั้นกรรมการสิทธิฯ ชุดใหม่นี่ก็เป็นข้าราชการเก่าทั้งหมด หรือเป็นคนที่ใกล้ชิดกับแวดวงราชการเพราะฉะนั้นก็จะไม่เข้าใจองค์ประกอบของ การทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม หรือประชาชน องค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนก็อาจจะมีไม่มากนัก มีอยู่บางส่วนแต่จะไม่กว้างขวางรอบด้านเหมือนกับกรรมการชุดแรก
แต่เนื่องจากสถาบันนี้มันต้องดำรงอยู่ และมีอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นที่พึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่ากรรมการสิทธิฯ รุ่นต่อๆ ไป จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลง เริ่มจากที่มา ที่ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญก่อน
ประชาไท: นี่คือการเสนอว่าถ้ามีการแก้รัฐธรรมนูญต้องแก้ส่วนของกรรมการสิทธิด้วย
ศราวุฒิ: ต้องแก้ไขในส่วนที่เป็นกรรมการสรรหาในทุกองค์กรอิสระ เพราะมาจากที่เดียวกันหมดเลย 7 คน ตัวแทนศาลฎีกา ตัวแทนศาลปกครอง ตัวแทนศาลรัฐธรรมนูญ  ซึ่งผมคิดว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และผมก็คิดว่าศาลเองก็ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนักการเมืองในลักษณะก้าว ก่ายฝ่ายนิติบัญญัติแบบนี้ คือเรื่องนี้มันควรจะเป็นเรื่องของสภาที่จะคัดเลือกคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ ในการดูภาพรวมของสิทธิมนุษยชน
ประชาไท: ส่วนที่เป็นสำนักงานกรรมการสิทธิ น่าจะมีความต่อเนื่องกว่าตัวกรรมการ ส่วนนี้คุณมองเห็นพัฒนาการไหม
ศราวุฒิ: ส่วนนี้เป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน เนื่องจากว่าการออกแบบให้องค์กรนี้ไปขึ้นกับรัฐสภาในยุคแรก สำนักงานเป็นอิสระแต่ขึ้นกับเลขาธิการรัฐสภา ก็เลยทำให้เจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิเป็นข้าราชการในสังกัดรัฐสภา ซึ่งการเป็นข้าราชการรัฐสภาเป็นข้าราชการที่ทำงานเกื้อหนุนฝ่ายนิติบัญญัติ มีกองการประชุม มีกองการเจ้าหน้าที่ มีบุคลาการจดรายงานการประชุมที่เก่งมากแล้วก็ทำงานสนับสนุนกรรมาธิการชุด ต่างๆ แต่ทีนี้พอมาเป็นเจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ ก็เป็นเพียงแต่ลอกกรอบที่มาของข้าราชการว่าแยกจาก ก.พ. ให้ขึ้นกับ ก.พ.ร. คือข้าราชการรัฐสภา
ในส่วนของการบังคับบัญชาตามกฎหมายให้เลขาธิการสำนักงานกรรมการสิทธิฯ ขึ้นกับประธานกรรมการสิทธิ ฉะนั้นกรรมการจะมี 11 คนหรือมี 7 คนก็ตามแต่ แต่ประธานกรรมการสิทธิฯ เท่านั้นที่จะสั่งเลขาธิการได้ โดยสายงานที่ติดยึดมาจาก ก.พ.ร. คือเลขาธิการขึ้นกับประธาน เมื่อกฎหมายเขียนเช่นนั้นว่าเลขาธิการขึ้นต่อประธาน ก็ขึ้นกับประธานคนเดียว ใครจะมาสั่งผมไม่ได้นอกจากประธานสั่ง มันก็เลยเกิดความอิหลักอิเหลื่อว่าจริงๆ แล้วเลขาธิการควรจะทำงานสนับสนุนกรรมการ เหมือนกับที่ข้าราชการรัฐสภาทำงานสนับสนุนการทำงานของกรรมาธิการหรือเปล่า กรณีของรัฐภาเขาไม่มีปัญหาในการทำงานสนับสนุน ในการจดการประชุมก็มีประสิทธิภาพมาก
แต่พอมาถึงกรรมการสิทธิฯ เนื่องจากเป็นองค์กรใหม่รับคนมาจากภาครัฐก็จะมีความหลากหลาย การทำงานก็ไม่เคยทำร่วมกันมาก่อนต้องมาสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ แต่ก็ติดกับวัฒนธรรมเดิมขององค์กรตัวเอง ปัดแข้งปัดขากัน พวกใครพวกมัน ซึ่งผมว่านี่เป็นข้ออ่อนนะ คือข้าราชการเข้ามาปุ๊บก็ได้เลื่อนหนึ่งขั้นจากตำแหน่งตัวเอง และก็ก้าวหน้าตามแท่งที่กรรมการสิทธิฯ จัดแบ่งระเบียบภายในของเขาไว้ ทีนี้ตัวข้าราชการเองควรจะมีการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่ด้วย แต่กรรมการเองอาจจะไม่มีใครที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการบริหารงาน ไม่มีการสานต่อการทำงานก็เลยเหมือนกับกลายเป็นใช้อนุกรรมการซึ่งก็ยอมรับว่า การทำงานในกรรมการสิทธิมนุษยชนจำนวน 7 คนหรือ 11 คนนั้นไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต้องมีอนุกรรมการที่มาจากคนที่หลากหลาย แต่อนุกรรมการนี้ก็เกิดช่องว่างว่ากรรมการคนนั้นๆ รู้จักใครก็เชิญคนนั้นมาเป็นอนุกรรมการ
ถามว่าเขามีความเชี่ยวชาญเขียนรายงานตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพไหมก็ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ถ้าอนุกรรมการนั้นเกี่ยวข้องกับภาครัฐเยอะ การวินิจฉัยก็มักจะแคบว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพราะว่าต้องตั้งคำถาม ก่อนว่าอะไรคือเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดจากหลักเกณฑ์อะไร ละเมิดรัฐธรรมนูญหรือละเมิดหลักการกฎหมายระหว่างประเทศอะไร อย่างไร แล้วถาละเมิดอย่างนี้ กรรมการสิทธิฯ มีความเห็นอย่างไร แล้วพอมีความเห็นให้ดำเนินการแก้ไขหน่วยงานของรัฐก็อาจจะไม่ทำตามก็ได้ เพราะไม่ใช่สายบังคับบัญชา
ผมว่านี่เป็นภาพรวมที่เป็นข้ออ่อนของกรรมการซึ่งผมเชื่อว่ากรรมการสิทธิฯ มีข้ออ่อนเรื่องเจ้าหน้าที่ของตัวเองที่ไม่มีการพัฒนาองค์ความรู้ เช่น การอบรม สั่งสมประสบการณ์ หรือไปเรียนจากต่างประเทศเพื่อจะกลับมาพัฒนางาน มัวแต่มาทะเลาะกันภายในสำนักงาน ภายในระหว่างการสั่งการ ระหว่างกรรมการ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้ามากนะ ประชาชนไม่มีที่พึ่งเลยถ้าหน่วยงานทีทำงานเป็นความหวังปัดแข้งปัดขากันเอง
ประชาไท: การทำงานของกรรมการสิทธิฯ ที่ต่อเนื่องมาสิบกว่าปีแล้ว อะไรที่ท้าทายกรรมการสิทธิที่สุด
ศราวุฒิ: จริงๆ แล้วสถาบันนี้ควรจะทำหน้าที่เป็นหลักของสังคม เป็นหลักเสาหนึ่งได้นะ คือสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตยซึ่งมีสามส่วนใหญ่ๆ  คือหลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย ซึ่งต้องไปพร้อมๆ กัน หลักนิติธรรมนั้นเป็นรากฐานของสิทธิมนุษยชนและเป็นรากฐานของระบอบ ประชาธิปไตย ฉะนั้นถ้ามันไปด้วยกันได้ รัฐที่ฟังเสียงขององค์กรอิสระเพื่อแก้ไขปัญหามันจะส่งเสริมประชาธิปไตยใน ระยะยาว
แต่ถ้าเกิดองค์กรอิสระเลือกข้างหนึ่งซึ่งเอียง ไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม นิติรัฐ ก็จะไม่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ และรวมไปถึงเรื่องไม่มีธรรมาภิบาลระยะยาวด้วย ผมเชื่อว่ามันจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย นี่ตอนนี้บ้านเรา 4-5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ข้าราชการต่างๆ องค์กรอิสระต่างๆ เลือกข้าง ซึ่งมันไม่ควรจะเลือก  เราควรจะเลือกประเด็นความสนใจทางการเมือง พรรคการเมืองเรื่องแบบนี้เลือกได้อิสระ แต่เมื่อคุณทำงานในอาชีพที่ให้คุณให้โทษแล้วเลือกข้างไม่ได้ ข้างที่เลือกได้คือหลักการพื้นฐานและกลไกด้านสิทธิมนุษยชน
ทีนี้กรรมการสิทธิชุดใหม่นี้เองก็บางคนเลือกข้างชัดเจนว่าจะไม่เอาข้าง รัฐบาล เพราะฉะนั้นก็จะไม่ตรวจสอบรายงานที่เกี่ยวกับเรื่องสลายการชุมนุม ไม่กล้าฟันธง ผมก็ยังไม่แน่ใจนะว่าการไม่กล้าฟันธงเพราะกลัวปัญหาทางการเมือง หรือเป็นเพราะไม่มีองค์ความรู้เพียงพอที่จะเขียนรายงาน ถ้าเกิดเขียนรายงานวินิจฉัยแล้วมันอิหลักอิเหลื่อกับความถูกต้องกับคนที่เรา เลือกเชียร์ แล้วตรวจสอบแล้วจะเจอข้อเท็จจริงมากมายว่าคำสั่งนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง นี่เป็นปัญหาที่ต้องก้าวข้ามพ้นให้ได้ ถ้าก้าวไม่พ้นประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิทางการเมือง กรรมการสิทธิฯ อยู่ไม่ได้
ประชาไท: คุณมองว่ากรรมการสิทธิฯ ล้มเหลวในประเด็นสิทธิทางการเมืองใช่ไหม
ศราวุฒิ: ถือว่าล้มเหลวก็คงจะได้ เพราะว่าในบางเรื่องไม่มีแอคชั่น ไม่มีความเห็นที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อย่างความเห็นเรื่องมาตรา 112 กรรมการสิทธิฯ ก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจนว่ามองอย่างไร แต่เนื่องจากตัวเองเกร็ง กลัวว่าจะไปขัดกับความเชื่อความจงรักภักดีของตัวเองก็เลยไม่กล้าออกมาเป็น คณะที่จะฟันธง นอกจากหมอนิรันดร์ที่ออกมาพูดหรือไปประกันนักโทษการเมืองบางคน แต่ก็ไม่มีน้ำหนัก เพราะไม่ใช่องค์คณะของกรรมการสิทธิฯ ทั้งหมด
อนุกรรมการที่ทำเรื่องกระบวนการยุติธรรมไม่มีผลงานอะไรเลยในปีนี้ที่จะ เสนอแนะแก้ไขปัญหาเรื่องกรอบในการใช้หลักนิติธรรมในกระบวนการยุติธรรม เรื่องเด็ก เรื่องผู้หญิงก็ไม่เด่นชัด เรื่องความหลากหลายทางเพศอาจจะมีความเคลื่อนไหวแต่เป็นเพราะว่าเครือข่ายของ กลุ่มนี้เขาเข้มแข็งมาอยู่แล้ว ไม่ได้เข้มแข็งเพราะกรรมการ
ส่วนประเด็นสิทธิอื่นๆ เรื่องทรัพยากรทางทะเล ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ผมคิดว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ยังจับจุดไม่ถูกว่าจะออกไปตรงไหนเพราะว่าคนที่ มาร้องเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายของเอ็นจีโอในเรื่องนั้นๆ ผมคิดว่าเป็นข้ออ่อนเหมือนกันที่มีเพียงกลุ่มเดียวที่เชี่ยวชาญหรือแอคทีฟใน เรื่องนี้ ตัวชาวบ้านถ้าไม่มีเอ็นจีโอหรือคนที่ไปทำงานในพื้นที่ เขาก็อาจจะไม่มีช่องทางที่จะมาร้องเรียนกรรมการสิทธิฯ ได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นข้ออ่อนของกรรมการสิทธิฯ
ประชาไท: คุณเข้าไปทำหน้าที่อนุกรรมการฯ ในฐานะที่เป็นคนทำงานภาคประชาสังคม และได้เข้าไปร่วมงานบ้างในฐานะอนุกรรมการ พบปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง
ศราวุฒิ: กลไกการตรวจสอบมีปัญหาอยู่ คือแม้ว่ากรรมการสิทธิฯ จะสามารถมอบหมายให้อนุกรรมการฯ เป็นเจ้าพนักงานตรวจสอบตามกฎหมายได้ แต่ความสามารถของคนที่ไปตรวจสอบนั้นผมคิดว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน คือเป็นบุคลากรที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบบางเรื่องซึ่งผมคิดว่า...คือ บางคณะบางอนุฯ เขามีผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ซึ่งเชี่ยวชาญจริง แต่ถามว่าจะตรวจสอบรัฐหรือเปล่าก็อีกเรื่อง ซึ่งผมเห็นว่าอนุฯ เรื่องกระบวนการยุติธรรมนั้นไม่ตรวจสอบรัฐ เช่นมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การละเมิดสิทธิ คือพิจารณาเหมือนกับว่าตัวเองเคยเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้นของรัฐมาก่อน ก็เห็นใจพวกเดียวกัน ซึ่งผมว่ามันไม่ถูกเพราะคุณสวมหมวกเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญต้องฟันธง แต่การจะอธิบายว่าเรื่องนี้ละเมิดหรือไม่ละเมิดไม่ได้เป็นการทำลายสี หรือเหล่าของตัวเองหรือภาคที่ตัวเองทำงานอยู่ แต่มันคือการสร้างหลักประกันให้แก่ประชาชนและสร้างมาตรฐานของการปฏิบัติใน หลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน
ประชาไท: กรรมการสิทธิเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมมากแค่ไหน
ศราวุฒิ: ก็เปิดอยู่นะ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่หลากหลายมาก คือวนเวียนกันอยู่ไม่กี่กลุ่ม คือถ้าเป็นเอ็นจีโอใหม่ๆ ที่มีประเด็นใหม่ๆ อย่างเรื่องคอมพิวเตอร์ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการเชิญใครเข้ามาเป็นอนุกรรมการ ในการตรวจสอบประเด็นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ นอกจากอาจารย์มหาวิยาลัยที่สอนเรื่องกฎหมายกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ซึ่งอาจารย์พวกนี้ก็จะมีภาระงานเยอะมากอยู่แล้ว เอ็นจีโอที่ทำงานด้านเสรีภาพเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็อาจจะถูกมองว่าเลือกข้าง เลยไม่ได้รับเชิญเข้ามาเป็นอนุกรรมการ ผมคิดว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทบทวน
ผมยังมีปัญหาอีกว่าบางเรื่องเอ็นจีโอบางกลุ่มทำงานเรื่องภาคใต้แต่เข้าไป เป็นอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิโดยเจ้าหน้าที่รัฐในภาคใต้ มันก็มีผลประโยชน์ทับซ้อน นี่พูดตรงไปตรงมา เพราะคุณร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว แต่คุณใช้ขาของกรรมการสิทธิฯ ในการลงไปตรวจสอบแล้วเอาข้อมูล แต่ถามว่าข้อมูลแบบนั้นจำเป็นต่อสาธารณะไหม ก็จำเป็น คือโดยหลักถ้าเราคิดว่ากรรมการสิทธิฯ เป็นประโยชน์และมาพึ่งเอ็นจีโอเหล่านี้เพื่อขอข้อมูลซึ่งกรรมการสิทธิฯ อาจจะไม่ต้องพึ่งเอ็นจีโอก็ได้ ทำหน้าที่ตัวเองได้โดยตรงเพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ จะต้องมีความสามารถบางอย่างที่มีประสบการณ์ที่เอ็นจีโอทำอยู่แล้งลงไปทำ ซึ่งผมก็คิดว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ หลายคนที่มีความสามารถทำงานได้ แต่หลายส่วนก็กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา แล้วบางส่วนอยู่ในช่วงปัดแข้งปัดขากันแล้วไม่สนใจที่จะทำงาน (หัวเราะ)
ผมก็คิดว่านี่เป็นข้อที่น่าเสียดายอย่างยิ่งนะ ทำงานมาแปดปี สิบปี ไม่มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนเลย กรรมการก็ไม่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งผมคิดว่าน่าเสียดาย และคิดว่ารุ่นต่อๆ ไปก็ต้องหาคนที่มีวิสัยทัศน์ในด้านการบริหารเข้ามาดูแลเฉพาะเรื่องบุคลาการ
ประชาไท: กรรมการสิทธิฯ ในฝันของคุณ ถ้าแก้รัฐธรรมนูญได้ ตัวองค์กรควรจะเป็นอย่างไร ทั้งที่มา ทั้งรูปแบบ
ศราวุฒิ: รูปแบบโอเคแล้ว แต่ว่าการเชื่อมโยงระหว่างการบริหารงานระหว่างกรรมการกับเลขาฯ ต้องมีการเขียนอย่างไรที่จะไม่ให้เลขาฯ ฟังเฉพาะประธานอย่างเดียว เลขาธิการอาจจะมาจากภาคเอกชนที่ไม่ใช่ภาครัฐ เจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ โอนมาจากภาคเอกชนได้ คือรับใครก็ได้ แต่มีประสบการณ์เพื่อให้สามารถมีความหลากหลายในมุมมองการทำงานไม่ติดกรอบ ระบบราชการ แยกออกจากระบบรัฐสภามาทำหน้าที่องค์กรอิสระ แต่ยึดโยงกับระเบียบ ก.พ.หรืออะไรก็ตามที่พออนุโลมได้ ดึงคนที่มาจากระบบราชการเก่ามาพัฒนาสำนักงาน แล้วเขียนไปเลยว่าการได้มาของเลขาธิการและบุคลากรมาจากความหลากหลาย มีสวัสดิการ งบประมาณ เงินเดือน
ที่มาของกรรมการ ผมคิดว่าย้อนกลับไปใช้แบบปี 2540 ก็จะดีกว่าในแง่ความหลากหลาย แล้วคนเหล่านี้ก็จะสมัครเข้ามาแล้วให้วุฒิสภาเป็นคนคัดเลือกและถอดถอนได้

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 27/02/56 โค้งสุดท้าย...

ที่มา blablabla



ขันอาสา ทำงาน ผสานสุข
ละลายทุกข์ สร้างสดใส ไร้รอยต่อ
นำรอยยิ้ม พริ้มระรื่น คืน กทม.
ไม่รีรอ กล่าวย้ำ ทำได้จริง....

ไม่งี่เง่า งอแง เรื่องแพ้ชนะ
ไม่ลดละ ใฝ่รู้ สู้อย่างสิงห์
ไม่เร่งรีบ บีบน้ำตา มาประวิง
ไม่แอบอิง ใส่ร้าย หมายคะแนน....

โค้งสุดท้าย ใครเด่น เริ่มเห็นชัด
ตัวชี้วัด จัดเจน เป็นมั่นแม่น
รักคนไหน ก็เชิญกา อย่าดูแคลน
สมเป็นแฟน ใครมัน อย่าหวั่นเกรง....

3 มีนา รวมใจ ไปเลือกตั้ง
เติมพลัง ประชาธิปไตย ให้กระฉับกระเฉง
เลือกคนดี ได้คนดี แค่นี้เอง
อยากกระเตง อุ้มสมใคร คิดให้ดี....

๓ บลา / ๒๗ ก.พ.๕๖

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

น้ำท่วมพัทลุงสูงร่วม1ม.-ร.ร.ปิดกว่า 20 แห่ง

ที่มา Voice TV

 น้ำท่วมพัทลุงสูงร่วม1ม.-ร.ร.ปิดกว่า 20 แห่ง


น้ำป่าหลากท่วมพัทลุงขยายวงกว้าง ระดับน้ำสูงร่วม 1 เมตร ภาครัฐเมินช่วยเหลือ ขณะที่โรงเรียนต้องปิดเรียนกว่า 20 แห่ง
 
 
สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด ฝนยังคงตกลงมา น้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัดยังคงไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มแถบเชิงเขาใน พื้นที่ อ.ศรีนครินทร์ อ.เขาชัยสน อ.ศรีบรรพต อ.ควนขนุน และ อ.เมือง โดยระดับน้ำไหลท่วมพื้นที่การเกษตร สวนยางพารา และนาข้าวที่กำลังรอการเก็บเกี่ยว เสียหายไปแล้วกว่า 50,000 ไร่ ระดับน้ำเฉลี่ยสูงกว่า 80 ซม. ถึง 1 เมตร ถนนหลายสายรถเล็กไม่สามารถใช้สัญจรผ่านไปมาได้ โดยถนนสายเอเชีย ระหว่าง จ.พัทลุง–นครศรีธรรมราช ขาขึ้น ตรงแยกโพทอง เจ้าหน้าที่ต้องใช้แผงกั้นปิดเส้นทางจราจร 1 ช่องทาง และเส้นทางเข้า อ.ศรีบรรพต ตรงหน้าวัดล้อ เนื่องจากมีน้ำไหลผ่าน
 
 
ในขณะที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบแล้วกว่า 18,000 ครัวเรือน ส่วนชาวบ้านในพื้นที่ ต.แพรกหา อ.ควนขนุน และ ต.นาโหนด ต.ท่าแค อ.เมือง ต้องเร่งขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง หลังมวลน้ำป่าไหลทะลักท่วมกลางดึก และเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ส่วนความช่วยเหลือความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบภัย จนถึงขณะนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องยังคงเมินเฉย ทำให้ชาวบ้านต้องเผชิญชะตากรรมด้วยตัวเอง ขณะที่เช้าวันนี้โรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยม จำนวนกว่า 20 แห่ง ต้องปิดการเรียนการสอน เนื่องจากระดับน้ำยังท่วมสูง ทั้งภายในโรงเรียนและเส้นทางระหว่างโรงเรียนกับบ้านเรือน
 
 
Source :    News  Center /   INN 
26 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 08:50 น.

ปภ.ประสานผู้ว่าฯภาคใต้ รับมือน้ำท่วม 10 จ.

ที่มา Voice TV




สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ มีการแจ้งเตือนเพิ่มเติมจาก 8 จังหวัดเป็น 10 จังหวัด แล้ว ล่าสุดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไประสานไปยังจังหวัดฯ แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ แจ้งห้ามเข้าเขตอุทยานฯและน้ำตก รวมไปถึงการเฝ้าระวังคลื่นลมในทะเล
 
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประสานไปยังจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ ทั้งเรื่องฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม พร้อมทั้งมีคำสั่งห้ามเข้าเขตอุทยานฯ และน้ำตก รวมไปถึงการเฝ้าระวังคลื่นลมในทะเล
 
ล่าสุดได้แจ้งเตือนไปรวม 10 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา กระบี่ ตรัง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
 
ส่วนสถานการณ์อุทกภัยที่ จังหวัดพัทลุง คาดว่าจะคลี่คลายภายใน 1-2 วันนี้ หลังมีฝนตกหนักวัดได้ 208 มิลลิเมตร แต่ขณะนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว
 
อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยนั้นได้ประสานจังหวัดแจ้งไปยังองค์ปกครอง ส่วนท้องถิ่นบูรณาการกำลังเฝ้าระวังจุดเสี่ยง 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันเหตุเฉพาะหน้า และภายหลังน้ำลดแล้วจะเข้าไปสำรวจความเสียหายอีกครั้ง โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุสาธารณภัยได้ที่สายด่วนนิรภัย 1784
 
อย่างไรก็ตาม ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ แจ้งเตือนภาวะน้ำล้นตลิ่งเพิ่มขึ้นในพื้นที่ลุ่มต่ำของ อำเภอเมือง และ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ส่วนในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้เช่นกัน
26 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 11:10 น.

รมว.กลาโหม เจรจาพูโล

ที่มา Voice TV




กรณีสื่อเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของประธานกลุ่มพูโล ที่ต้องการขอเจรจากับทางรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนำความเห็นประธานกลุ่มพูโลมาพิจารณา เเต่ยืนยันจะไม่เปลี่ยนแนวทางการแก้ไขปัญหา เพราะรัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว แต่อาจปรับเปลี่ยนยุทธวิธี เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และสถานการณ์ในพื้นที่
26 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 11:06 น.

'กังนัม สไตล์' ในพิธีสาบานตน และประธานาธิบดีหญิงเกาหลีใต้ปราศรัยถึงสิ่งใด

ที่มา ประชาไท


ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเกาหลีใต้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับ ตำแหน่ง-ให้คำมั่นว่าจะสร้างเกาหลีที่รุ่งเรือง ย้ำเรื่องการฟื้นฟู-การสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ขณะที่ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ซึ่งได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนดังกล่าว ยังปรากฏอยู่ในคลิปช่วง 'PSY' โชว์เพลง 'กังนัม สไตล์' ด้วย
บรรยากาศพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ของปัก กึน เฮ ผู้นำหญิงคนแรก เมื่อ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา (ที่มาของภาพ: เฟซบุค Yingluck Shinwatra)
ปัก กึน เฮ (ซ้าย) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ระหว่างพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา เดินเคียงกันนั้นคืออี มยอง บัค อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ซึ่งเพิ่งพ้นจากตำแหน่ง และคิม ยูน อ๊ก ภริยาของอี มยอง บัค (ที่มาของภาพ: เฟซบุค Yingluck Shinwatra)
เมื่อวานนี้ (25 ก.พ.) ณ ที่ทำการรัฐสภาแห่งชาติ กรุงโซล มีการจัดพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีหรือเกาหลีใต้ ของปัก กึน เฮ วัย 61 ปี ประธานาธิบดีคนที่ 11 ของเกาหลีใต้ ซึ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา โดยเป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก อี มยอง บัค ประธานาธิบดีจากพรรคแซนูรี พรรคการเมืองเดียวกันที่ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2551

ประธานาธิบดีคนใหม่ย้ำเรื่องการฟื้นเศรษฐกิจ และปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
ทั้งนี้การสาบานตนของ ปัก กึน เฮ เกิดขึ้นหลังจากที่ไม่กี่สัปดาห์ก่อน เกาหลีเหนือได้ทดลองอาวุธนิวเคลียร์บริเวณ ทางตอนเหนือของประเทศ นับเป็นการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่สาม นับตั้งแต่การทดสอบครั้งแรกในปี 2549 นอกจากนี้ในการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ปัก กึน เฮ เองก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดของ เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเอเชียอย่างเกาหลีใต้ รวมไปถึงช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย
โดยสำนักข่าวยอนฮัป รายงานว่า ในพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดี ปัก กึน เฮ ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้มาร่วมงานว่า “ในฐานะประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ตามความมุ่งหมายของประชาชนด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้สำเร็จ ให้ประชาชนมีความสุข และทำให้วัฒนธรรมของเราเฟื่องฟู”
“ข้าพเจ้าจะทำดีที่สุดเพื่อสร้างสาธารณรัฐเกาหลีที่ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรือง และประชาชนเกาหลีทุกคนมีความสุข”
โดยตอนหนึ่งของสุนทรพจน์ ปัก กึน เฮ ได้กล่าวถึงการทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือว่า “การทดสอบนิวเคลียร์ล่าสุดของเกาหลีเหนือเป็นการท้าทายต่อความอยู่รอดและ อนาคตของประชาชนเกาหลี และผู้ตกเป็นเหยื่อมากที่สุดจะไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเกาหลีเหนือเอง” ปัก กึน เฮ กล่าวต่อไปว่า “ข้าพเจ้าขอแนะนำให้เกาหลีเหนือละทิ้งความพยายามด้านอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ไม่รอช้า และดำเนินหนทางสู่สันติภาพและการพัฒนาร่วมกัน”
ประธานาธิบดีหญิงของเกาหลีใต้ กล่าวด้วยว่าจะสร้างความเชื่อมั่นระหว่างสองเกาหลีอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บนพื้นฐานของการป้องปรามอย่างแข็งขัน โดยความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเจรจาและการยึดคำมั่นสัญญา และเธอยังเรียกร้องให้เกาหลีเหนือ “ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของนานาประเทศ และตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง”

มุ่งสร้าง “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ”
ปัก กึน เฮ ได้ให้คำมั่นว่าจะให้ความสำคัญกับการฟื้นชนชั้นกลาง สนับสนุนกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง และป้องกันกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่หรือ “แชโบล” ไม่ให้ใช้อำนาจของตนไปในทางที่ผิด หรือขยายกิจการของตนอย่างขาดหลักการในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบ
ปัก กึน เฮ กล่าวด้วยว่า “กระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจ” จะเป็นเสาหลักสำคัญของนโยบายด้านเศรษฐกิจ พร้อมไปกับการสร้าง “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์” ในขณะที่อุตสาหกรรมด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมด้านสารสนเทศจะมีบทบาทหลักต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวด้วยว่าเธอจะมุ่งสร้าง “ปาฏิหาริย์แห่งลุ่มแม่น้ำฮันครั้งที่ 2” โดยให้คำมั่นว่าจะเร่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ อย่างที่ประเทศเกาหลีใต้เคยบรรลุกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมของชาติจากที่เคย เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกเมื่อหลังสงครามเกาหลีในปี พ.ศ. 2493 – 2496

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ 'กังนัม สไตล์' ในพิธีสาบานตนประธานาธิบดีเกาหลีใต้
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระหว่างร่วมงานพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ของ ปัก กึน เฮ (ที่มาของภาพ: เฟซบุค Yingluck Shinawatra)
ภาพจากคลิปการแสดงของ PSY ก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยในคลิปหลายช่วงจะเห็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ยืนอยู่ด้านหลังเวทีแสดงของ PSY และใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพการแสดง (ที่มา: คัดลอกจาก kobebryantdwight/http://youtu.be/qlfYkFwQcH0)
ภาพจากคลิปการแสดงของ PSY ก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยในคลิปหลายช่วงจะเห็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ยืนอยู่ด้านหลังเวทีแสดงของ PSY และใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพการแสดง (ที่มา: คัดลอกจาก kobebryantdwight/http://youtu.be/qlfYkFwQcH0)



ที่มาของคลิปkobebryantdwight/http://youtu.be/qlfYkFwQcH0
นอกจากนี้ ก็มีเรื่องฮือฮาเล็กน้อยในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทย เมื่อมีผู้ใช้ยูทิวป์นาม kobebryantdwight โพสต์วิดีโอคลิปการแสดงของศิลปินชาวเกาหลี ปัก แจ ซาน (Park Jae-sang) หรือ “ไซ” (PSY) ซึ่งมีกำหนดร้องเพลง “Gangnam Sytle” ก่อนเริ่มพิธีสาบานตน โดยในคลิปหลายช่วง เช่น ช่วงนาทีที่ 1.41 ถึง 1.48 และนาทีที่ 1.53 ถึง 2.02 จะเห็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งได้รับเชิญให้ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และมีที่นั่งอยู่ด้านหลังพื้นที่แสดงของ PSY ได้ยืนขึ้นและใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพการแสดง โดยหลังการเผยแพร่คลิปดังกล่าวออกไป ได้มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยแสดงความเห็นในคลิปดังกล่าวจำนวนมากทั้งชื่น ชม และวิจารณ์นายกรัฐมนตรีไทย
ทั้งนี้ในเพจ Yingluck Shinawatra ให้ข้อมูลว่า นายกรัฐมนตรีไทยมีกำหนดการเยือนเกาหลีใต้ในระหว่างวันที่ 24 – 25 ก.พ. โดยปัก กึน เฮ ได้เชิญนายกรัฐมนตรีเป็นแขกพิเศษเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีที่จัดขึ้นในวันดังกล่าว โดยในเพจ Yingluck Shinnawatra ยังได้เปลี่ยนภาพปกของ เพจแสดงให้เห็นตำแหน่งที่นั่งของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรซึ่งกำลังนั่งอยู่ในแถวของผู้นำต่างประเทศ และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ก็ได้หารือทวิภาคีกับ นายอี มยอง บัค ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ที่ทำเนียบประธานาธิบดีชอง วา แด เพื่อแสดงความขอบคุณ พร้อมกับอำลาในโอกาสพ้นที่นายอี มยอง บัค จะพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี

ผู้นำหญิงเกาหลีใต้ หารือทวิภาคีกับผู้นำระดับสูงหลายประเทศ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ปัก กึน เฮ ระหว่างหารือทวิภาคี ที่ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ (ที่มา: เพจ Yingluck Shinawatra)
ทั้งนี้สำนักข่าวยอนฮัป รายงาน ด้วยว่า ภายหลังพิธีสาบานตน น.ส.ปัก กึน เฮ ได้เดินทางไปยังทำเนียบประธานาธิบดีชอง วา แด โดยมีการหารือทวิภาคีผู้นำชาติต่างๆ อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ทาโร อาโสะ รองนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
นอกจากนี้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ยังมีกำหนดพบกับนางหลิว เหยียนตง สมาชิกคณะกรรมการประจำกรมการเมืองกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมนตรีแห่งชาติจีน ซึ่งเป็นผู้แทนของนายหู จิ่นเทา ประธานาธิบดีจีน และนายสี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการร่วมพิธีสาบานตน และยังมีกำหนดพบกับนางมิเชล บาเชเล็ต อดีตรองประธานาธิบดีชิลี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารหน่วยงานสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) นายวิคเตอร์ อิชาเยฟ รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย และนายโก๊ะ จ๊ก ตง อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอาวุโสสิงคโปร์
สำหรับปัก กึน เฮเป็นบุตรสาวคนโตของอดีตประธานาธิบดีปัก จอง ฮี ผู้นำเผด็จการที่ปกครองเกาหลีใต้ถึง 18 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2504 - พ.ศ. 2521 โดยฟื้นเกาหลีใต้หลังสงครามเกาหลีด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการพัฒนาภาค อุตสาหกรรม ก่อนจะถูกลอบสังหารในปี พ.ศ. 2521 โดยปัก กึน เฮ เคยทำหน้าที่สตรีหมายเลขหนึ่งในฐานะบุตรสาวของประธานาธิบดี เนื่องจากมารดาของเธอยุก ย็องซู ถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2517 และสิ้นสุดการทำหน้าที่เมื่อบิดาถูกลอบสังหารในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2521 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
โดยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อ วันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา ปัก กึน เฮ จากพรรคแซนูรี (Saenuri หรือ New Frontier Party) ได้รับเสียงสนับสนุน 15.77 ล้านคะแนน หรือร้อยละ 51.6 เอาชนะนายมุน แจ อิน คู่แข่งจากพรรคสหประชาธิปไตย (Democratic United Party) ซึ่งได้คะแนน 14.69 ล้านคะแนน หรือร้อยละ 48.0

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 26/02/56 กรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยนแปลงให้ดี ขึ้น...

ที่มา blablabla



สี่ปีผ่าน เป็นอย่างไร ใครก็เห็น
แม้ซ่อนเร้น ความระยำ ทำไขสือ
สารพัด เรื่องเฉไฉ ไร้ฝีมือ
ยังดึงดื้อ อวดฉลาด มาดผู้นำ....

หวังชาวกรุง คิดเป็น เห็นทาสแท้ 
ดีหรือแย่ แน่หรือห่วย ช่่วยตอกย้ำ
เห็นกันชัด ปัดไม่หมด คนจดจำ
สิ่งที่ทำ ภาพที่เห็น เป็นเดิมพัน....

กระแนะกระแหน โห่ฮา-บ้า สิ้นคิด
วิกลจริต คิดใส่ร้าย มากมายนั่น
วิชามาร สรรหา มากีดกัน
ไม่สร้างสรรค์ มีแต่ชั่ว มั่วร่ำไป....

3 มีนา ประชาชน คนตัดสิน
ทั่วแผ่นดิน กทม. รอสดใส
เลือกคนดี คนฉลาด พลาดได้ไง
เลือกคนโง่ นอนเสียใจ ไปสี่ปี....

๓ บลา / ๒๖ ก.พ.๕๖

นายกปูงัดไอโฟน ถ่ายศืลปืนเกาหลีน่ารักน่าชัง

ที่มา Thai Free News



นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ได้เข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
ประธานาธิบดีของ มาดามปัก กึน-ฮเย 
ประธานาธิบดีคนใหม่แห่งสาธารณรัฐเกาหลี 

 ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนที่ 18 

ประเทศเกาหลีใต้ ได้มีศิลปิน  ร่วมแสดงในพิธีอันทรงเกียรติครั้งนี้หลายคน  


นักแสดงมิวสิคคัลชื่อดัง  ประกอบด้วย   
นัม คยองจู , จาง ยูนจอง และ ซอนยา แล้ว 
ยังมีชื่อของสามหนุ่ม จุนซู, ยูชอน และแจจุง แห่ง JYJ   
รวมทั้ง PSY เจ้าของเพลงฮิตทั่วโลก Gangnum Style รวมอยู่ด้วย

ถ่ายภาพ นาย  PSY หรือ ปาร์ก แจ ซาง  

เต้นกังนัมสไตล์ ดังกล่าว  ย่อมเป็นธรรมดา 
คนชอบนายกฯปู ก็ชมว่า น่ารัก  เป็นธรรมชาติ 
ส่วนพวกไม่ชอบก็วิจารณ์ เสียยับเยินว่า ไม่รู้จักกาละเทศะ   ไม่เหมาะสม .......
แต่ก็มีคนชมว่าน่ารักน่าชังเช่นเดียวกัน 

http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=44782.0

วิวาทะสมศักดิ์เจียมVSป๋าส.:ปากยังไม่สิ้ินกลิ่นน้ำนม

ที่มา Thai E-News




บางท่าน อาจจะได้เห็นแล้ว แต่ผมขอ copy ข้อความทั้งหมด 2 กระทุ้ ทีผมเขียนที วอลล์ ของ เพจ Sulak Sivaraksa กรณี ที อ.สุลักษณ์ เขียร์ ให้เลือก ปชป เพื่อให้เห็นกันทั่วๆ และชัดๆง่ายๆ (กว่าการตามอ่านที่เพจนั้น)

..........................

[กระทู้ที่ 1]

ผมไม่มีปัญหาที่ อ. Sulak Sivaraksa จะไม่เลือกเพื่อไทย ผมก็ไม่ได้เลือกเหมือนกัน คร้้งนี้
(ถ้า ผมจะมีข้อให้บ่น คือ อ.สุลักษณ์ ไม่ได้ให้เหตุผลจริงๆว่า ทำไมจึงไม่เลือก หรือไม่ควรเลือก นอกจากบอกว่า "พรรคทักษิณเหี้ย" ผมคิดว่า ในฐานะปัญญาชน ถ้าจะเลือก หรือไม่เลือก ควรให้เหตุผลประกอบ ไม่ใช่เพียงแค่ด่าเท่านี้)

แต่ที่ผมมีปัญหาจริงๆคือ การเสนอว่า ถ้ามีตัวเลือกระหว่าง เพื่อไทย กับ ปชป จะต้องเลือกเลือก ปชป

ปัญหา ของผม ไมใช่ว่า อ.สุลักษณ์ จะถือว่า ปชป เป็น lesser evil (คือ แย่น้อยกว่า) โดยตัวเอง ที่ไมใช่ปัญหานี เพราะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า evil ในทีนี้ อธิบายยังไง เนืองจาก ว่า อ.สุลักษณ์ ไม่ได้อธิบาย ว่า "พรรคทักษิณเหี้ย" นั้น อย่งไร (และดังนั้นจะว่า ปชป "เหี้ย" "น้อยกว่า" (คือ lesser evil) ยังไง ก็เลยไม่รู้ หรือไม่มีเหตุผลเหมือนกัน

แต่ ประเด็นที่ผมคิดว่า เป็นปัญหาจริงๆ คือ โดยการ ignore เมินเฉย ต่อการที ปชป เล่นการเมือง โดยการเชียร์เจ้า อิงอำนาจเจ้า (หรือในหลายด้าน เป็นการเพิ่มอำนาจเจ้า) ในระยะไม่กี่ปีนี้

ถ้า อ.สุลักษณ์ เลือก เทากับเป็นการขัดแย้งกับ ข้อเสนอของ สุลักษณ์ เอง ที่พูดเรือง "ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์" (เรือง ต้องโปร่งใส วิพากษ์วิจารณ์ได้ ฯลฯ)

การเสนอให้เลือก ปชป เท่ากับขัดแย้งกับข้อเสนอ เรือง ปฏิรูปสถาบันฯ ที อ.สุลักษณ์ ว่าไว้เองดังกล่าว

เพราะ ในหลายปีนี้ จนถึงบัดนี้ ปชป เป็นตัวแทนสำคัญของการทิศทาง ตรงข้าม กับการปฏิรูปสถาบันฯ

(แน่ นอน ผมตระหนักว่า เพือไทย หรือ "พรรคทักษิณ" เอง ก็ไม่สามารถ เคลม ว่า มีทิศทาง ปฏิรูปสถาบันฯ โดยแท้จริง แต่อย่างน้อย จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พรรคนี ยังไมใช่ พรรคที่ อาศัยอำนาจเจ้า อิงเจ้า และเสริม สถานะเจ้า อย่างที ปชป เป็น ในหลายปีนี้)

.......................

[กระทู้ที่ 2]


เสริมจากที่เขียนเมื่อครู่

ที่ผมมีปัญหามาก ในการที่ อ. Sulak Sivaraksa เสนอให้เลือก ปชป

คือ ในทางปฏิบัติ เท่ากับ อาจารย์กำลัง เล่นเกมส์ "อิงอำนาจเจ้า" (ทั้งๆที เสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์)

นี่ไมใช่อะไรทีไม่เคยเกิดมาก่อน

อัน ทีจริง นี่เป็นสิ่งที อาจารย์ทำเป็นระยะๆ ในระยะหลายปีนี้ (และ เป็นประเด็นใหญ๋ ทีผมตั้งใจจะพูดในงาน "80 ปี" ของอาจารย์ ในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ... เรืองนี้ คิดไว้หลายสัปดาห์แล้ว ตังแต่ถูกชวนให้พูด และรับปากไป คือ ก่อนกรณีล่าสุด เรืองเชียร์ ปชป นี้หลายวัน)

ทีว่า ทำเป็นระยะๆ แบบนี้ เช่น การขึ้นเวทีพันธมิตร ในปี 2549 ในช่วงที พันธมิตร ชูคำขวัญ "เราจะสู้เพื่อในหลวง" (เรืองนี้ อาจารย์ย่อมจำได้ดีว่า ผมมี "จดหมายเปิดผนึก" แสดงความไม่เห็นด้วยตั้งแต่ตอนนั้น)

หลังจากนั้น ก็ยังมีบทสัมภาษณ์ ทีเปรียบเทียบว่า ทักษิณ เลวกว่า สฤษดิื เพราะอย่างน้อย สฤษดิ์ ยังจงรักภักดี (ทักษิณ จะเลว กว่าสฤษดิ์ โดยตัวเอง ไมใช่ประเด็นของผม ประเด็นในทีนี้ คือ การที ว่า ทักษิณ เลว ด้วยเรือง "ไม่จงรักภักดี" นี่คือ การ "เล่นเกมส์ อิงเจ้า")

มาถึงเรืองทีสร้าง ความฮือฮา ทีกล่าวหาทักษิณตรงๆว่า ล้มเจ้า (คราวที่ อาจารย์ ไปฟังข่าวลือเรือง มีการเล่นละครหมิ่นเจ้า ในการชุมนุม นปช ตอนหลัง อาจารย์ ถอนเรืองละคร แต่ไม่เคย ถอนคำกล่าวหาเรืองทักษิณล้มเจ้า)

มาถึงการ กล่าวหา (ในการเดินยาตรา อะไร เมือ ปีทีแล้ว และในการพูดครังอืนอีก) ทำนองว่า การมีการใช้ 112 มาก เป็น "แผน" ทักษิณ ทีจะบ่อนทำลาย สถาบันฯ (นี่คือการ "เล่นเกมส์ อิงเจ้า" เช่นกัน)

มาถึงล่าสุด เรืองเชียร์ ปชป นี้ ซึงแม้ อาจารย์จะไม่ได้ให้เหตุผลจริงๆ แต่ใครทีติดตามการเมือง โดยเฉพาะใครที มีความตั้งใจเรือ่งปฏิรูปสถาบันฯจริง ก็ควรรู้ว่า จุดที่สำคัญมากๆ ของการเมือง ของ ปชป ในระยะหลายปีนี้ คือการ อิงเจ้า สงเสริม สถานะ ที ตรวจสอบไม่ได้ ของสถาบันกษัตริย์

และดังนั้น การเชียร์ ปชป. จึงเทากับเป็นการ เล่นเกมส์ อิงอำนาจเจ้า ไปด้วยโดยปริยาย



ทั้งหมดนี้ (เพราะอย่างทีเขียนมา ไมใช่ คร้้งเดียว) เป็นอะไรที่ disturbing (ชวนวิตก รบกวนใจ) มาก

และอย่างทีบอกว่า ผมตั้งใจจะ raise ประเด็นนี้ อยู่แล้ว ในการสัมมนาวันที่ 17

นี่ เรียกว่า อาจารย์ มา เพิ่มประเด็นตัวอย่างรูปธรรม ถึง disturbing behavior ของ อาจารย์ ในเรืองการ "เล่นเกมส์ อิงเจ้า" เข้ามาให้อีกเรืองหนึง
รูปภาพ : บางท่าน อาจจะได้เห็นแล้ว แต่ผมขอ copy ข้อความทั้งหมด 2 กระทุ้ ทีผมเขียนที วอลล์ ของ เพจ Sulak Sivaraksa กรณี ที อ.สุลักษณ์ เขียร์ ให้เลือก ปชป เพื่อให้เห็นกันทั่วๆ และชัดๆง่ายๆ (กว่าการตามอ่านที่เพจนั้น)

..........................

[กระทู้ที่ 1]

ผมไม่มีปัญหาที่ อ. Sulak Sivaraksa จะไม่เลือกเพื่อไทย ผมก็ไม่ได้เลือกเหมือนกัน คร้้งนี้
(ถ้าผมจะมีข้อให้บ่น คือ อ.สุลักษณ์ ไม่ได้ให้เหตุผลจริงๆว่า ทำไมจึงไม่เลือก หรือไม่ควรเลือก นอกจากบอกว่า "พรรคทักษิณเหี้ย" ผมคิดว่า ในฐานะปัญญาชน ถ้าจะเลือก หรือไม่เลือก ควรให้เหตุผลประกอบ ไม่ใช่เพียงแค่ด่าเท่านี้)

แต่ที่ผมมีปัญหาจริงๆคือ การเสนอว่า ถ้ามีตัวเลือกระหว่าง เพื่อไทย กับ ปชป จะต้องเลือกเลือก ปชป

ปัญหาของผม ไมใช่ว่า อ.สุลักษณ์ จะถือว่า ปชป เป็น lesser evil (คือ แย่น้อยกว่า) โดยตัวเอง ที่ไมใช่ปัญหานี เพราะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า evil ในทีนี้ อธิบายยังไง เนืองจาก ว่า อ.สุลักษณ์ ไม่ได้อธิบาย ว่า "พรรคทักษิณเหี้ย" นั้น อย่งไร (และดังนั้นจะว่า ปชป "เหี้ย" "น้อยกว่า" (คือ lesser evil) ยังไง ก็เลยไม่รู้ หรือไม่มีเหตุผลเหมือนกัน

แต่ประเด็นที่ผมคิดว่า เป็นปัญหาจริงๆ คือ โดยการ ignore เมินเฉย ต่อการที ปชป เล่นการเมือง โดยการเชียร์เจ้า อิงอำนาจเจ้า (หรือในหลายด้าน เป็นการเพิ่มอำนาจเจ้า) ในระยะไม่กี่ปีนี้ 

ถ้า อ.สุลักษณ์ เลือก เทากับเป็นการขัดแย้งกับ ข้อเสนอของ สุลักษณ์ เอง ที่พูดเรือง "ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์" (เรือง ต้องโปร่งใส วิพากษ์วิจารณ์ได้ ฯลฯ)

การเสนอให้เลือก ปชป เท่ากับขัดแย้งกับข้อเสนอ เรือง ปฏิรูปสถาบันฯ ที อ.สุลักษณ์ ว่าไว้เองดังกล่าว

เพราะ ในหลายปีนี้ จนถึงบัดนี้ ปชป เป็นตัวแทนสำคัญของการทิศทาง ตรงข้าม กับการปฏิรูปสถาบันฯ

(แน่นอน ผมตระหนักว่า เพือไทย หรือ "พรรคทักษิณ" เอง ก็ไม่สามารถ เคลม ว่า มีทิศทาง ปฏิรูปสถาบันฯ โดยแท้จริง แต่อย่างน้อย จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พรรคนี ยังไมใช่ พรรคที่ อาศัยอำนาจเจ้า อิงเจ้า และเสริม สถานะเจ้า อย่างที ปชป เป็น ในหลายปีนี้)

.......................

[กระทู้ที่ 2]


เสริมจากที่เขียนเมื่อครู่

ที่ผมมีปัญหามาก ในการที่ อ. Sulak Sivaraksa เสนอให้เลือก ปชป 

คือ ในทางปฏิบัติ เท่ากับ อาจารย์กำลัง เล่นเกมส์ "อิงอำนาจเจ้า" (ทั้งๆที เสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์)

นี่ไมใช่อะไรทีไม่เคยเกิดมาก่อน

อันทีจริง นี่เป็นสิ่งที อาจารย์ทำเป็นระยะๆ ในระยะหลายปีนี้ (และ เป็นประเด็นใหญ๋ ทีผมตั้งใจจะพูดในงาน "80 ปี" ของอาจารย์ ในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ... เรืองนี้ คิดไว้หลายสัปดาห์แล้ว ตังแต่ถูกชวนให้พูด และรับปากไป คือ ก่อนกรณีล่าสุด เรืองเชียร์ ปชป นี้หลายวัน)

ทีว่า ทำเป็นระยะๆ แบบนี้ เช่น การขึ้นเวทีพันธมิตร ในปี 2549 ในช่วงที พันธมิตร ชูคำขวัญ "เราจะสู้เพื่อในหลวง" (เรืองนี้ อาจารย์ย่อมจำได้ดีว่า ผมมี "จดหมายเปิดผนึก" แสดงความไม่เห็นด้วยตั้งแต่ตอนนั้น)

หลังจากนั้น ก็ยังมีบทสัมภาษณ์ ทีเปรียบเทียบว่า ทักษิณ เลวกว่า สฤษดิื เพราะอย่างน้อย สฤษดิ์ ยังจงรักภักดี (ทักษิณ จะเลว กว่าสฤษดิ์ โดยตัวเอง ไมใช่ประเด็นของผม ประเด็นในทีนี้ คือ การที ว่า ทักษิณ เลว ด้วยเรือง "ไม่จงรักภักดี" นี่คือ การ "เล่นเกมส์ อิงเจ้า")

มาถึงเรืองทีสร้างความฮือฮา ทีกล่าวหาทักษิณตรงๆว่า ล้มเจ้า (คราวที่ อาจารย์ ไปฟังข่าวลือเรือง มีการเล่นละครหมิ่นเจ้า ในการชุมนุม นปช ตอนหลัง อาจารย์ ถอนเรืองละคร แต่ไม่เคย ถอนคำกล่าวหาเรืองทักษิณล้มเจ้า)

มาถึงการกล่าวหา (ในการเดินยาตรา อะไร เมือ ปีทีแล้ว และในการพูดครังอืนอีก) ทำนองว่า การมีการใช้ 112 มาก เป็น "แผน" ทักษิณ ทีจะบ่อนทำลาย สถาบันฯ (นี่คือการ "เล่นเกมส์ อิงเจ้า" เช่นกัน)

มาถึงล่าสุด เรืองเชียร์ ปชป นี้ ซึงแม้ อาจารย์จะไม่ได้ให้เหตุผลจริงๆ แต่ใครทีติดตามการเมือง โดยเฉพาะใครที มีความตั้งใจเรือ่งปฏิรูปสถาบันฯจริง ก็ควรรู้ว่า จุดที่สำคัญมากๆ ของการเมือง ของ ปชป ในระยะหลายปีนี้ คือการ อิงเจ้า สงเสริม สถานะ ที ตรวจสอบไม่ได้ ของสถาบันกษัตริย์

และดังนั้น การเชียร์ ปชป. จึงเทากับเป็นการ เล่นเกมส์ อิงอำนาจเจ้า ไปด้วยโดยปริยาย



ทั้งหมดนี้ (เพราะอย่างทีเขียนมา ไมใช่ คร้้งเดียว) เป็นอะไรที่ disturbing (ชวนวิตก รบกวนใจ) มาก

และอย่างทีบอกว่า ผมตั้งใจจะ raise ประเด็นนี้ อยู่แล้ว ในการสัมมนาวันที่ 17

นี่เรียกว่า อาจารย์ มา เพิ่มประเด็นตัวอย่างรูปธรรม ถึง disturbing behavior ของ อาจารย์ ในเรืองการ "เล่นเกมส์ อิงเจ้า" เข้ามาให้อีกเรืองหนึง


ถูกใจหน้านี้ · 10 ชั่วโมงที่แล้ว 

ตอบสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ตอบ: คุณสมศักดิ์ เป็นคนน่ารัก แต่ว่าคุณสมศักดิ์ต้องถามตัวเองบ้าง ว่าคุณเกลียดเจ้ามากไปหรือเปล่า 
คือเรื่องทักษิณอยู่ฝ่ายที่ทำลายสถาบันกษัตริย์มันชัดเจน ผมไปพูดที่รัฐสภาเลยเรื่องมาตรา112 คนฟังผมเต็มรัฐสภาเลย แล้วผมบอกว่า มาตรา112 เป็นมาตราซึ่งทำลายสถาบันกษัตริย์ พระเจ้าอยู่หัวเองก็รับสั่งว่าใครทำเรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำร้ายพระองค์ท่าน และทำให้สถาบันเสื่อมทราม แน่นอน 

ถ้าเผื่อคุณอยู่ฝ่ายไม่ต้องการเจ้า คุณอาจจะเห็นด้วย แต่ผมนี่อยู่ฝ่ายที่ต้องการรักษาสถาบัน นี่จุดยืนผมชัดเจน แล้วผมก็พูดด้วย ผมพึ่งไปงานศพเสธ.หนั่น มาเมื่อเร็วๆนี้ผมก็บอกเสธ.หนั่นนี่เขาเคยพูดกับผมเลย ว่าพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกับเขาเลยว่า คุณสนั่นบอกตำรวจอย่าไปจับนะ เรื่องคดีหมิ่น แล้วตลอดเวลาที่เสธ.หนั่นเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ไม่มีคดีเลย เพราะเขาบอกตำรวจไม่ให้จับ 

แน่นอน พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เป็นพระเจ้าอยู่หัวสมบูรณาญาสิทธิ์ท่านสั่งไม่ได้ ท่านได้แต่เปรย แล้วเสธ.หนั่นเขาก็ทำตามพระราชดำรัส พอหมดเสธ.หนั่นแล้ว ทักษิณมาเป็นใหญ่ ตำรวจมันเป็นรัฐภายในรัฐ ตำรวจมันฟังทักษิณมากกว่าคนอื่นหมด สมัยที่ทักษิณเป็นใหญ่ผมถูกจับ3ครั้งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตำรวจหาเรื่องจับผมทั้งนั้น แล้วผมหลุดทุกครั้ง 

คุณสมศักดิ์พึ่งจะโดนนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง อย่าพึ่งมาเผยอพูดเลยปากยังไม่ สิ้นกลิ่นน้ำนม มันจับผมไปที่ขอนแก่น ผมได้รับประกันตัวตี2 แล้วผมต้องขึ้นไปทุกเดือน ไปปรากฏตัวที่ขอนแก่น อภิสิทธิ์โทรศัพท์มาหาผมว่าจะช่วย ไม่ช่วยห่าอะไรเลย ผมไม่รู้เหรอ มันไม่เคยช่วยเลย ตีฝีปากทั้งนั้นผมไม่รู้หรือ ความเหี้ยของประชาธิปัตย์ 

ทุกคดีครับ 3 คดีสมัยทักษิณ ต้องการจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจนที่สุด ถ้าคุณเห็นด้วยกับทักษิณต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ คุณก็เห็นไป แต่ผมเห็นชัดเจนทักษิณต้องการทำลายพระมหากษัตริย์ 

สำหรับผมนี่ ผมอยู่ฝ่ายที่รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันกษัตริย์มีอะไรจุดอ่อนเยอะเยาะ บกพร่องเยอะเยาะ แต่ผมเห็นรักษาไว้ดีกว่าไม่รักษา จุดยืนเราต่างกันเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอิงเจ้าอะไรต่างๆ แล้วผมไม่ต้องการอิงเจ้า แต่ผมต้องการรักษาสถาบันเจ้าให้ดำรงคงอยู่ แล้วผมไม่ต้องการให้ใครไปอิง ใครจะอิงก็เรื่องของเขา ไอ้อภิสิทธิ์จะไปอิงใครจะอิงก็เรื่องของเขา ต้องแยกกันให้ชัดเจน

ใช่แต่เท่านั้น ทักษิณพูดด้วย ว่าคนของเขาแม้เสาไฟฟ้าลงก็ชนะ นี่มันปรามาสคนกรุงเ้ทพทั้งหมดเลย เอาเสาไฟฟ้าลงก็ชนะ แล้วคุณจะให้มันชนะได้ยังไง เพราะฉะนั้นผมก็ต้องออกมาสิครับ ไม่ชนะมีทางเดียว ก็ต้องให้สุขุมพันธุ์ได้ เพราะถ้าคุณไปเลือกคนอื่นๆ ผมชอบคนอื่นเยอะเยาะเลย ไอ้สยามวาลา ผมชอบมันมากเลย คนรุ่นใหม่แล้วมันจะเล่นกับเด็กรุ่นใหม่ ถ้าเด็กรุ่นใหม่ไปเชื่อเลือกสยามวาลานี่ คะแนนเด็กรุ่นใหม่จะเสียหมดเลยครับ เพราะพวกไม่มีพรรคจะไม่มีทางได้ คุณอาจได้คะแนนเพิ่มขึ้น แต่ถ้าคะแนนหัวแหลกหัวแตก ไอ้เบอร์9ได้แน่ๆ 

เบอร์9ได้หมายความว่าเสาไฟฟ้าก็ได้ ก็หมายความว่าสมตามคำที่ไอ้ทักษิณมันพูดเลยว่า คนของมันจะต้องได้แน่ๆแล้วมันจะใช้ทุกวิถีทาง ทั้งโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งปั่นโพลต่างๆ โกงต่างๆสารพัดที่มันจะทำได้ มันต้องการชนะ เพื่อจะพิสูจน์ว่ามันเป็นตัวสำคัญ 

เพราะฉะนั้นเราต้องพิสูจน์ให้มันเห็น ไม่ให้มันชนะ แล้ววิธีเดียวครับ ให้สุขุมพันธุ์มา สุขุมพันธุ์ไม่ใช่คนดีวิเศษ พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเหี้ยมากเลย แต่ที่ผมยังยืนยันคำนี้ ว่า lesser evil ไอ้นั่นมัน greater evil คุณสมศักดิ์ไม่เข้าใจไม่เป็นไร 

แล้ววันที่17เรามาดวลกันได้ ตัวต่อตัว หรือของคุณ 3 รุม1ก็ได้ พวกคุณ 3 คน ผมคนเดียว วันที่ 17