แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จดหมายถึงสมาชิกรัฐสภา:การปรองดองแห่งชาติด้วยนิติวิธี วิธีสร้างความปรองดองรากหญ้าด้วยกฎหมายหนึ่งฉบับสองกรณี

ที่มา Thai E-News

 

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วรพล พรหมิกบุตร
นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี

จดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกรัฐสภา
เลขที่ ๕๖/๒๐๒ ซอยพหลโยธิน ๕๙ ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. ๑๐๒๒๐
วันที่         กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๕๖

เรื่อง ความเห็นเรื่องการสร้างความปรองดองของประชาชนด้วยกฎหมายหนึ่งฉบับสองกรณี
เรียน       

สิ่งที่ส่งมาด้วย  บทความเรื่อง วิธีสร้างความปรองดองรากหญ้าด้วยกฎหมายหนึ่งฉบับสองกรณี

                                ตามที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าความปรองดองสมานฉันท์ระหว่างคนในชาติเป็น สิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ  และทุกฝ่ายกำลังแสวงหาแนวทางและวิธีการต่าง ๆ ในการบรรลุจุดมุ่งหมายแห่งการปรองดองที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ

                                ในฐานะนักวิชาการและประชาชนที่เห็นว่าการปรองดองแห่งชาติมีขั้นตอนและระดับ ปฏิบัติการรูปธรรมหลายชั้นแต่สามารถเริ่มต้นและควรเริ่มต้นจากการสร้างความ ปรองดองระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้สำเร็จก่อน ดำเนินการปรองดองในส่วนของนักการเมืองและหรือกลุ่มองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง ต่อไป  ข้าพเจ้าจึงทำหนังสือนี้เพื่อเสนอเอกสารบทความความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยว กับวิธีสร้างความปรองดองระหว่างประชาชนที่แตกแยกทางการเมืองให้สามารถยุติ ปัญหาทางกฎหมายและคืนกลับสู่ความเป็นมิตรด้วยวิธีการทางกฎหมาย (กฎหมายหนึ่งฉบับสองกรณี) โดยให้สมาชิกรัฐสภาในฐานะผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสภา เป็นผู้พิจารณาหากเห็นว่าเป็นประโยชน์โปรดดำเนินการเพื่อร่างและเสนอร่าง กฎหมายนั้นเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาต่อไป
                                จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาหากเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

                                                                ขอแสดงความนับถือ
                                                (รองศาสตราจารย์ วรพล  พรหมิกบุตร)



การชุมนุมทางการเมืองของประชาชนระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึง ๒๕๕๕ ที่มีความเกี่ยวโยงกับผลของการรัฐประหารวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ มีความสำคัญในฐานะที่เป็นช่องทางการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน  โดยมีนักเคลื่อนไหวมวลชนและนักการเมืองฝ่ายต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันเข้าเป็นแกนนำ  

(รวมทั้งมีนักยุทธวิธีความมั่นคงภายในจากหน่วยงานของรัฐอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้อง) จนเกิดสภาพเป็นการต่อสู้ทางการเมืองแบบแบ่งขั้วสองฝ่าย  ส่งผลอันเป็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องให้มวลชนตั้งแต่ระดับรากหญ้าและชนชั้นกลางชนบทถึงรากหญ้าและชนชั้นกลางชาวเมืองพัฒนาความคิดสะสม (ที่เป็นภาวะด้อยพัฒนา) จนเกิดความรู้สึกเป็นปฎิปักษ์ฝ่ายตรงข้ามซึ่งกันและกันมาตาม

ลำดับ เหตุการณ์และสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองในห้วงเวลาดังกล่าว  รูปธรรมสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนาความคิดทางการเมืองในสภาวะการต่อสู้ดัง กล่าว ได้แก่ การกำหนดชื่อเรียกมวลชนเป็นสองฝ่าย (คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง)  โดยแนบความคิดและความรู้สึกว่าเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองเข้าไปในความหมายของ ชื่อเรียกทั้งสอง                   

การแข่งขันทางการเมืองรวมทั้งความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองระหว่างกลุ่มนักเคลื่อนไหว  นักการเมือง  ผู้นำกองทัพ  และข้า ราชการระดับสูงในระบบราชการประจำภายในระบอบรัฐสภาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ตามธรรมชาติทางการเมืองและแรงจูงใจในชีวิตและผลประโยชน์ของบุคคลที่ เกี่ยวข้องเฉพาะรายหรืออย่างมากเฉพาะกลุ่ม  

การแข่งขันและ การต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสามารถใช้วิธีการเคลื่อนไหวมวลชน ซึ่งเป็นไปตามบรรทัดฐานของสังคมปัจจุบันในประชาคมโลกโดยทั่วไป  แต่การเคลื่อนไหวมวลชนโดยใช้อาวุธและความรุนแรงประกอบกิจกรรมของตนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของแกนนำการเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำผิด ทั้งทางกฎหมาย, บรรทัดฐานของประชาคมโลก, และหลักจริยศาสตร์พื้นฐ่านของสังคมไทย                   

การ พัฒนาภาวะด้อยพัฒนาทางสังคมที่มีรูปธรรมเป็นการแยกฝ่ายแบ่งข้างเป็นปฏิปักษ์ กันระหว่างคนสีเหลืองกับคนสีแดงในการเมืองไทยอาจถึงเวลาที่ควรต้องยุติ  แต่ก็ควรเป็นการยุติด้วย ความจริงและภูมิปัญญา มากกว่าด้วยวิธีการแบบที่คติโบราณเตือนไว้ว่า อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า  ขณะเดียวกันก็ไม่ควรยุติด้วยวิธีการแบบที่เรียกกันตามสำนวนจีนว่า เกี้ยเซียะ  การหักด้ามพร้าด้วยเข่ามีสภาพเป็นการบังคับขืนใจให้ต้องยอมรับสิ่งที่ถูก กำหนดโดยผู้มีอำนาจในแต่ละขณะ  ขณะที่การเกี้ยเซียะมีกลไกของการหลอกลวงอำพรางเข้าเกี่ยวข้อง                   

การสร้างหรือการพัฒนาความรู้สึกเป็นมิตรและไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนซึ่งขณะนี้ยังมีความรู้สึกเป็นสองฝ่าย (คือคนเสื้อแดงและคนเสื้อเหลือง) หรือที่เรียกกันด้วยศัพท์ที่มีลักษณะทางเทคนิคมากขึ้นว่า การปรองดองแห่งชาติ สามารถกระทำได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยกฎหมายที่มีประเด็นข้อกฎหมายควบคู่กันสองส่วน  คือ  (๑) กฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำผิดไม่ร้ายแรง  และ (๒) กฎหมายล้างมลทินให้แก่ผู้ตกเป็นเหยื่อของการกระทำผิด  ทั้งนี้  การใช้ประโยชน์จากข้อกฎหมายดังกล่าวควรจะต้องพิจารณาดำเนินการบนพื้นฐานข้อ เท็จจริงอันเป็นที่ยอมรับได้จากประชาชนทั้งสองฝ่ายที่มีการแบ่งขั้วแยกข้าง                   

พื้นฐานข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงอันน่าจะยอมรับได้จากประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองโดยสุจริตทั้งสองฝ่าย ประการแรก ได้แก่ ข้อเท็จจริงที่ว่ากิจกรรมการชุมนุมของคนเสื้อแดงกับคนเสื้อเหลืองที่ผ่านมามีภาวะความแตกต่างสำคัญประการหนึ่ง คือ แกนนำการชุมนุมคนเสื้อเหลืองสั่งการหรืออนุญาตให้นักเคลื่อนไหวนำมวลชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเข้าร่วมปฏิบัติการด้วยกำลัง  อาวุธ  ความรุนแรง และการคุกคามต่อสวัสดิภาพของบุคคลากรของรัฐรวมทั้งทรัพย์สินของทางราชการจำนวนมาก  (โดยที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปฏิบัติการรุนแรงและอาวุธเหล่านั้นมิได้เกิด ขึ้นจากการกล่าวหาใส่ร้ายหรือลักลอบสร้างสถานการณ์ใส่ความโดยผู้อื่น  แต่เป็นที่ยอมรับโดยคำแถลงของแกนนำการเคลื่อนไหวนั้นเอง) 

ขณะที่การ ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นการชุมนุมซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ตรวจสอบทั้งทางลับ และทางแจ้งตลอดมาว่านักเคลื่อนไหวมวลชนไม่มีการสะสมอาวุธไว้ใช้ก่อเหตุ รุนแรง (ข้อเท็จริงนี้ประชาชนทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ถึงชั้นการพิจารณาของศาลอาญา) 

ประชาชน ผู้บริสุทธิ์ที่เข้าร่วมชุมนุมกับแกนนำหลักของคนเสื้อแดง (ในที่นี้คือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.) จึงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับมวลชนผู้บริสุทธิ์ในกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่ สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นผู้ร่วมชุมนุมในเหตุการณ์ที่มีการกระทำผิดกฎหมาย มากกว่า  

อย่าง ไรก็ตาม พัฒนาการของการชุมนุมคนเสื้อแดงและการตอบโต้การชุมนุมดังกล่าวด้วยอำนาจรัฐ ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ทำให้เกิดหรือมีส่วนที่ทำให้เกิดสถานการณ์บานปลายไปสู่ความรุนแรง  การบาดเจ็บและเสียชีวิต  รวมทั้งการทำลายทรัพย์สินของทางราชการและเอกชนจำนวนมาก แต่ข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฎก็ยังมีความแตกต่างจากกรณีการใช้ความรุนแรงและ อาวุธของกลุ่มพันธมิตรฯ   

เนื่อง จากอาวุธส่วนใหญ่ที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับกรณีการชุมนุมคนเสื้อแดงนั้นเป็น อาวุธสงครามของรัฐที่นำมาใช้ปราบปรามประชาชนมากกว่าจะเป็นอาวุธที่แกนนำคน เสื้อแดงสะสมมาใช้ต่อสู้    

การ เสียชีวิตและความบาดเจ็บของคนเสื้อแดงในการชุมนุมดังกล่าวมีภาพหลักฐานสื่อ มวลชนในเหตุการณ์เป็นจำนวนมากแสดงว่าเกิดจากกำลังและอาวุธของทหารที่รัฐบาล สั่งการให้สลายการชุมนุมของประชาชน  ความบาดเจ็บและการเสียชีวิตของทหารที่เข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุมคนเสื้อ แดงในค่ำวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ มีภาพบันทึกเหตุการณ์แสดงแน่ชัดว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่มคนจำนวนเล็กน้อย ที่มีความชำนาญในยุทธวิธีทางการทหารแบบจู่โจมพิเศษ

แต่ ยังไม่มีหน่วยงานใดสามารถระบุแน่ชัดได้ว่าเป็นกลุ่มใด นอกเหนือไปจากการพยายามปรักปรำจากปากคำของนักการเมืองผู้มีส่วนร่วมในการ สั่งการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงว่าเป็น ชายชุดดำ     

การ เผาทำลายทรัพย์สินเอกชนภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ตอนเย็นวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ มีภาพบันทึกจากโทรทัศน์วงจรปิดภายในศูนย์การค้าดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามี ความเกี่ยวข้องกับกองกำลังปฏิบัติการรบพิเศษนอกสารบบคำสั่งปกติ (para-military) ที่ยังไม่มีหน่วยงานใดระบุแน่ชัดว่าเป็นกลุ่มใด  

การเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการหลายแห่งในหลายจังหวัดมีคนเสื้อแดง  คนใส่เสื้อสีแดง และที่ไม่ใช่คนเสื้อแดงปะปนเกี่ยวข้อง  

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ (และที่ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมแต่ละกรณีเหตุการณ์อีกมากมาย) อาจเพียงพอต่อการสรุปความจริงที่ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันสามารถยอมรับร่วมกันในชั้นนี้ได้ว่า  ประชาชน เสื้อแดงส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับแกนนำ นปช. ไม่มีส่วนร่วมดำเนินการเคลื่อนไหวปฏิบัติการที่ผิดกฎหมายหรือใช้อาวุธและ ความรุนแรงก่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะในขณะนั้นสั่งการให้ใช้กำลังกองทัพเข้าบริหารจัดการกับแกนนำ นปช.และประชาชนผู้ร่วมชุมนุมที่เป็นคนเสื้อแดง                   

บน พื้นฐานข้อเท็จจริงและความจริงที่ (น่าจะยอมรับร่วมกันได้) ว่าประชาชนเสื้อเหลืองจำนวนมากตกอยู่ในสถานการณ์การชุมนุมที่แกนนำดำเนิน วิธีปฏิบัติการเคลื่อนไหวมวลชนอย่างผิดกฎหมาย  คนเสื้อเหลืองผู้มีเจตนาทางการเมืองโดยสุจริตจึงตกอยู่ในสภาพที่หลีกเลี่ยง ได้ยากในการเดินทางออกจากที่ชุมนุมในขณะที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงและผิด กฎหมาย  

ประชาชนเหล่านี้จำนวนหนึ่งตกเป็น เหยื่อ ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตไปแล้วส่วนหนึ่งในระหว่างช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ชุลมุนมวลชน (เช่นกรณีการเสียชีวิตของ น้องโบ ในเหตุการณ์ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภาในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ปี พ..ศ. ๒๕๕๑)  ขณะที่ประชาชนเสื้อเหลืองอีกเป็นจำนวนมากที่เข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ที่มี การกระทำผิดกฎหมายโดยแกนนำของตนนั้นต้องกลายเป็นผู้สนับสนุนหรือผู้ร่วม กระทำผิดโดยนัยข้อกฎหมายโดยไม่มีทางเลือก                        

ประชาชนที่เป็นมวลชนเสื้อเหลืองกลุ่มนี้ (ไม่ใช่ประชาชนที่เป็นแกนนำปฎิบัติการผิดกฎหมาย) คือ  ผู้ที่ควรได้รับประโยชน์จากข้อกฎหมายนิรโทษกรรม และข้อกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าวควรตราอยู่ในพระราชบัญญัติโดยอำนาจรัฐสภา หรือหากเห็นร่วมกันว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและไม่มีอันตรายต่อฝ่ายบริหารก็อาจ ตราเป็นพระราชกำหนดประกาศใช้ก่อนแล้วให้รัฐสภารับรองภายหลัง                   

ขณะที่ประชาชน ที่เป็นมวลชนเสื้อแดงส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่เข้าร่วมการชุมนุมกับ นปช. เป็นประชาชนที่มีเจตนาทางการเมืองสุจริตเท่าเทียมกับมวลชนเสื้อเหลืองทั้ง ยังเป็นที่เห็นได้ชัดจากข้อมูลหลักฐานจำนวนมากว่ามิได้เคลื่อนไหวปฏิบัติการ ด้วยอาวุธและความรุนแรง    

กิจกรรมการ แสดงออกทางการเมืองของประชาชนเสื้อแดงผู้เข้าร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ประกอบด้วย การร่วมฟังคำปราศรัยและการเคลื่อนขบวนมวลชนไปตามเส้นทางสาธารณะโดยปราศจาก อาวุธและโดยการแจ้งเรื่องประสานงานกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจ เสมอมา   (โดยที่แกนนำ นปช. ก็มิได้ประกาศสั่งการให้คนของตนดำเนินวิธีที่รุนแรงผิดกฎหมายตอบโต้กับผู้ใช้อำนาจรัฐ แม้แต่ในช่วง ๒-๓ วันสุดท้ายของการชุมนุมในกลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓)  

มวลชนเสื้อ แดงเหล่านี้ไม่ต้องการกฎหมายนิรโทษกรรมเนื่องจากเป็นมวลชนที่มิได้เป็นผู้ กระทำความผิดจึงไม่ต้องการการงดเว้นการลงโทษด้วยกฎหมายนิรโทษกรรม                   

อย่างไรก็ตาม  คนเสื้อแดงจำนวนมากถูกกระบวนการทางการเมืองของรัฐใช้อำนาจกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือสนับสนุนการกระทำความผิดของผู้อื่น  โดยมีฐานความผิดจากกฎหมาย ๔ ส่วนเกี่ยวข้องกับการตั้งข้อกล่าวหา คือ (๑) พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  (๒) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน   (๓)  ประมวลกฎหมายอาญา  และ (๔) กฎหมายพิเศษอื่น ๆ ที่มีระวางโทษสูงต่ำต่างกัน                   

การถูกตั้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีทางกฎหมายทั้งที่มิได้กระทำความผิดเป็นการถูกทำให้มีมลทินทางกฎหมายและทางการเมือง     

คนเสื้อแดงจำนวนมากถูกกระบวนการทางการเมืองในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ใช้อำนาจของกระบวนการยุติธรรมบริหารจัดการให้คนเสื้อแดงต้องมี มลทิน ตั้งแต่การถูกตั้งข้อกล่าวหาจนถึงขั้นตอนที่มีการสั่งการให้ควบคุมตัวไว้ใน เรือนจำเป็นเวลานานแรมปีโดยไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่ว คราวเหมือนกรณีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ได้รับการผ่อนปรนให้ ประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวแม้ในคดีที่แกนนำพันธมิตรถูกตั้งข้อกล่าวหา ร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายพิเศษอื่นที่มีระวางโทษสูง  

คน เสื้อแดงเหล่านี้ (ทั้งส่วนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำและส่วนที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว มาก่อนแล้วจำนวนหนึ่ง) คือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสร้างมลทินให้แปดเปื้อนโดยการใช้อำนาจทางการเมืองของ รัฐ  คนเสื้อแดงเหล่านี้ควรได้รับการเยียวยาล้างมลทินทางการเมืองให้ด้วยการใช้ อำนาจของรัฐตรากฎหมายล้างมลทินที่มีข้อความระบุว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นบุคคล ที่ เสมือนหนึ่งไม่เคยมีการตั้งข้อกล่าวหานั้นมาก่อนเลย 

ถ้าหากเป็นกรณีข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายสองฉบับ คือ พระราชบัญญัติความมั่นคงฯและพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ[i] หรือข้อกล่าวหาอื่นที่มีระวางโทษไม่สูงกว่า ; หาก เป็นข้อกล่าวหาที่มีระวางโทษสูงกว่านั้น,  คนเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาและจองจำไว้ดังกล่าวควรได้รับความเป็นธรรมเท่าเทียม กับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อ ต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป

                        ข้อกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้กระทำผิดที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองโดยสุจริต  และข้อกฎหมายล้างมลทินให้ผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองที่ตกเป็น เหยื่อ ของการกล่าวหาว่ากระทำผิด เป็นข้อกฎหมายสองกรณีที่สามารถบัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับเดียวกัน  และสามารถพิจารณาใช้เป็นคุณทั้งต่อผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองและผู้ชุมนุมเสื้อแดง  

โดยสามารถพิจารณาให้ประโยชน์แก่ประชาชนแต่ละรายบุคคลตามแต่กรณีข้อเท็จจริงที่ปรากฏ  เช่น หากข้อเท็จจริงปรากฎว่าเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายข้างต้นก็เข้ากรณีนิรโทษกรรม (ทั้งนี้ไม่เลือกว่าจะเป็นเสื้อเหลืองหรือแดง) 

หรือ หากข้อเท็จจริงปรากฎว่าเป็นผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริงเพียงพอว่าเป็น ผู้กระทำผิดกฎหมายข้างต้นก็เข้ากรณีล้างมลทิน  (ทั้งนี้ไม่เลือกว่าจะเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง)  การพิจารณาข้อเท็จจริงแต่ละกรณีว่าเข้าข่ายนิรโทษกรรมหรือล้างมลทินเป็นการ พิจารณาที่สามารถดำเนินการได้โดยอาศัยบุคคลากรตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ( พนักงานสอบสวน  อัยการ  ทนายและศาล) 

ทั้ง นี้โดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรพิเศษเพิ่มเติม  ข้อกฎหมายนิรโทษกรรมและข้อกฎหมายล้างมลทินประกอบกันในกฎหมายฉบับดังกล่าว ที่คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงสามารถใช้เป็นคุณแก่ตนตามแต่กรณีน่าจะสามารถ สร้างกลไกทางจิตวิทยามวลชนและผลต่อเนื่องเป็นรูปธรรมทางปฏิบัติให้เกิดการ ประสานความรู้สึกปรองดองระหว่างประชาชนที่เคยขัดแย้งกันให้สามารถหวนกลับ เป็นมิตรและต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการสร้างสรรค์พัฒนาประเทศร่วมกัน ต่อไป   

กลไก ทางจิตวิทยาสังคมที่ระดับมวลชนรากฐานดังกล่าวรวมทั้งรูปธรรมทางปฏิบัติเพื่อ ขยายผลการปรองดองแห่งชาติต่อไปน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการทางการเมืองที่ เหมาะสมสำหรับประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ต้องการทั้งฝ่ายการเมืองที่สามารถนำนโยบายทางการเมืองการบริหารที่สอด คล้องกับทิศทางประชาคมโลกไปปฏิบัติ  และการมีส่วนร่วมทางการเมืองจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่สามารถมีความคิดความเห็นอันแตกต่างหลากหลาย

แต่เป็นประโยชน์ต่อการประมวลสังเคราะห์หาข้อสรุปแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ร่วมกันตามกลไกการเมืองระบอบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในอนาคตต่อไป  @



[i]   ประเด็นข้อกฎหมายกฎหมายดังกล่าวสามารถรวมอยู่ในร่างกฎหมายฉบับเดียวกัน (พระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด) ที่อาจเรียกชื่อว่า ............ นิรโทษกรรมและล้างมลทินผู้ชุมนุมทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๓ พุทธศักราช ๒๕.....  โดยมีเนื้อหาที่สำคัญได้แก่ (๑) ที่มา  เหตุผลและวัตถุประสงค์ของกฎหมาย  (๒) คำจำกัดความ (๓) บทบัญญัติว่าด้วยการนิรโทษกรรมกรณีผู้กระทำผิดกฎหมายในขอบเขตที่นิรโทษกรรมได้ และ (๔) บทบัญญัติว่าด้วยการล้างมลทินให้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดแต่รัฐไม่มีหลักฐานเพียงพอในการดำเนินคดีต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น