เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ชนวนเหตุการณ์สู้รบระลอกใหม่ครั้งนี้ ถูกจุดด้วยยุทธการปล้นปืนที่ค่าย ร.5 พันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อ 4 มกราคม พ.ศ.2547 จากนั้นมากลิ่นอายของบรรยากาศสงครามประชาชนก็เกิดขึ้นอย่างมีพัฒนาการชัด ขึ้นและชัดขึ้นเรื่อยๆ ของภาพการมีหุ้นส่วนสำคัญในการดำเนินการสงครามจรยุทธ์ที่มาจากบทบาทของ ประชาชนผ่านทั้งกองกำลังติดอาวุธและแนวทางทางการเมืองทุกรูปแบบ แต่ไม่ได้หมายความว่า ก่อนปี พ.ศ.2547 นั้นสถานการณ์อยู่ในภาวะสงบ เพราะชนวนเหตุของสงครามนอกระบบในดินแดนมลายูแห่งนี้ ตามที่หลายชุดข้อมูลทางวิชาการประวัติศาสตร์ปาตานีกับสยามได้อ้างถึง ชัดเจนว่ามาจากอุดมการณ์ปลดแอกจากการยึดครองดินแดนของสยามโดยคนมลายูปาตานี กับอุดมการณ์รักษาดินแดนอันเป็นผลลัพธ์ของการล่าอาณานิคมสำเร็จของสยามหรือ กรุงเทพฯโดยรัฐไทย ซึ่งเริ่มต้นภาวะสงครามด้วยเหตุการณ์แรกที่อาณาจักรปาตานีถูกตีแตกโดย อาณาจักรสยามเมื่อปี ค.ศ.1786
จนกระทั่งวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 เกิดเหตุการณ์สลดใจแบบภาคภูมิใจของมวลชนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี และแบบหมั่นไส้อย่างสมน้ำหน้าต่อเหล่ากองกำลังปลดแอกทั้ง 16 คน ที่เสียชีวิตจากยุทธการบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิก โยธินที่ 32 นราธิวาส ของมวลชนรัฐไทย
โดยผ่านเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งสังคมไทยและสังคมโลกก็มีท่าทีสนใจเป็นพิเศษต่อความเป็นไปของสถานการณ์ สู้รบที่ปาตานีว่าจะมีจุดจบอย่างไร
โดยเฉพาะกระบวนการคลี่คลายปัญหาความรุนแรงของ กอ.รมน. ด้วยวิธีการครอบงำความคิดความรู้สึกของคนต่อการจับอาวุธสู้ของประชาชนปาตานี ว่า “เป็นพวกนิยมความรุนแรงอย่างบ้าคลั่งเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของกลุ่มไม่ใช่ เพื่อประชาชน” ผ่านการบีบแนวร่วมหรือสมาชิกขบวนการฯ ที่มีหมายจับ ป.วิอาญาให้มอบตัว กลับใจเป็นคนดี ร่วมพัฒนาชาติไทย แลกกับการได้รับอิสรภาพจากการตามล่าของเจ้าหน้าที่ และล่าสุด ผ่านวาทกรรมทางการเมือง คือคำว่า “เบื่อความรุนแรง”
สำหรับคนที่ไม่ได้มีอคติกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี และมีชุดข้อมูลองค์ความรู้อย่างรอบด้านและซื่อสัตย์ต่อความจริงนั้น ก็คงจะเข้าใจว่า ความรุนแรงของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีในรูปแบบสงครามประชาชนแบบ จรยุทธ์นั้น เป็นผลพวงของการปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐด้วยยุทธการ “ดิสเครดิต ปิดล้อม ตรวจค้น ไล่ล่า จับกุม สังหาร” จนทำให้การสู้ในทางการเมืองอย่างเดียวเพื่ออุดมการณ์ปลดปล่อยจากการยึดครอง ของการล่าอาณานิคมของสยามหรือรัฐไทยในปัจจุบันนั้นเจอทางตัน จนเป็นเหตุให้เกิดขบวนการติดอาวุธต่างๆ เช่น BRN และ PULO
โดยความหมายตรงๆ ซึ่งอิงกับข้อเท็จจริงของวาทกรรม เบื่อความรุนแรง ที่ กอ.รมน.เป็นเจ้าของ ก็น่าจะหมายความว่า กอ.รมน.เองก็เบื่อการรบด้วยกองกำลังทหาร ตำรวจ ชรบ. อรบ. อส.แล้ว
แต่ถ้าเบื่อความรุนแรงจริงๆ ก็น่าจะเร่งบรรยากาศของการเจรจาโดยมีคนกลางอย่างจริงๆ จังๆ สักที เพราะสาเหตุของการรบด้วยอาวุธ หรือที่นักสันติวิธีจ๋าชอบเรียกว่า “ความรุนแรง” นั้น มาจากภาวการณ์ที่จะพูดคุยหรือเจรจากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิงไม่ใช่หรือ?
ถ้าเบื่อความรุนแรงจริง ก็ต้องเจรจา แต่ไม่ใช่การเจรจาจัดฉากเพื่องานการข่าวเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่า อารมณ์ที่แท้จริงของประชาชนและสมาชิกขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานี ก็คงเบื่อภาวะความรุนแรงไม่ต่างกับทาง กอ.รมน. เหมือนกัน และในเวลาเดียวกันก็ “เบื่อการเจรจาจัดฉาก” ด้วยเหมือนกัน
ท่าทีที่ไม่ชัดเจนของรัฐไทยว่า กำลังทำสงครามเพื่อยุติสงครามกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชปาตานีด้วย ความรุนแรงโดยใช้การทหาร หรือด้วยสันติวิธีที่ต้องสิ้นสุดที่การเจรจาแบบมีคนกลางที่มีความเป็นรัฐโดย ใช้การเมือง ทำให้เหลือพื้นที่การต่อสู้สำหรับประชาชนปาตานีที่ต้องการเอกราชเป็นทาง เลือกแห่งสันติภาพด้วยการหลั่งเลือดเท่านั้น
นี่คือสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์ความไม่สงบ บนเส้นทางเอกราชอาบเลือดที่ปาตานีหรือชายแดนใต้ของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น