ขบวนการBRN แถลงการณ์ผ่านคลิปวีดีโอทาง Youtube เมื่อวันที่26 เมษายน
คลิปดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างในคืนวันที่
27และมีรายงานข่าวอย่างกว้างขวางตั้งแต่วันที่ 28 ต้นไป
แถลงการณ์ของ BRNครั้งนี้ทำให้สังคมไทยตกใจกันใหญ่
ความตกใจนั้นอาจะเกิดจากสาเหตุ3ประการ ประการแรก
นี่คือครั้งแรกที่องค์กรซึ่งก่อนหน้านี้รักษาความลับอย่างเข้มงวดเปิดตัวต่อ
หน้าสาธารณะ สำหรับหลายๆ คน
คลิปดังกล่าวน่าจะเป็นโอกาสครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของ อุสตาซฮัสซัน ตอยิบ
สาเหตุที่สองคือ ในคลิปที่มีความยาวประมาณ 5 นาที ตัวแทนของ BRN
ทั้งสองคนใช้ภาษามลายูกลางที่มีมาตรฐานสูงตลอดช่วงเวลาแถลงการณ์โดยไม่ใช้คำ
ศัพท์ภาษาไทยแม้แต่คำเดียว และ สาเหตุสุดท้ายคือ การใช้คำว่า
“นักล่าอาณานิคมสยาม” สำหรับเรียกรัฐไทย
ก่อนหน้านี้ไม่มีใคร (กล้า) เรียกรัฐไทยเป็นนักล่าอาณานิคม
และคนไทยก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าอาณานิคม
เพราะตามความเข้าใจประวัติสาสตร์แบบไทย/สยาม
ดินแดนปาตานีเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณและมีสิทธิที่จะ
ปกครองดินแดนแห่งนี้อย่างชอบธรรม
การที่มองรัฐสยามเป็นนักล่าอาณานิคมนั้นเกิดขึ้นจากทัศนคติทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากฉบับประวัติศาสตร์ที่คนไทยรู้จักกัน
ผมเริ่มเรียนภาษามลายูในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นและเคย
อ่านหนังสือภาษามลายูหลายเป็นจำนวนมาก หลังจากเรียนจบแล้ว
ผมก็ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมาลายาประเทศมาเลเซีย
และทำงานวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบภาษามลายูกลางกับภาษามลายูถิ่นปาตานี
ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยของผมก็ได้จากหนังสือและเอกสารภาษามลายูหรือภาษา
อังกฤษทางด้านมลายูศึกษา ไม่ใช่ข้อมูลทางด้านไทยศึกษา
แต่เมื่อผมเรียนภาษาไทย และเริ่มอ่านหนังสือภาษาไทย
ผมเองก็ตกใจกับประวัติศาสตร์เวอร์ชั่นไทย
เพราะมันแตกต่างไปจากสิ่งที่ผมเคยเรียนมาอย่างมาก
ดร. วรวิทย์ บารู สมาชิกวุฒิสภาจากจังหวัดปัตตานี
ซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทและเอกจากมหาวิทยาลัยมาลายา
ได้อธิบายในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่าการใช้คำว่า นักล่าอาณานิคมสยาม
เป็นเรื่องธรรมดาในภาษามลายู
ทัศนคตินี้ถูกมองว่าเป็นทัศนคติที่ถูกต้องโดยบรรดานักประวัติศาสตร์ด้วย
หนังสือประวัติศาสตร์ปาตานีที่ใช้คำว่า
นักล่าอาณานิคมสยามก็สามารถพิมพ์และจำหน่ายได้โดยไม่เคยถูกห้าม
แถลงการณ์ของ BRN
ก็ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับสังคมไทยที่เผชิญกับประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน
เพราะถ้าอาเซียนต้องการจะเป็นประชาคมที่มีความเข้มแข็งเหมือนสหภาพยุโรป
(EU) จำเป็นต้องมีความสามัคคีในบรรดาประเทศสมาชิก ในทางกลับกัน
การที่ขาดความเข้าใจต่อทัศนคติทางประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ
คงจะเป็นที่มาของปัญหาอย่างแน่นอน ดังนั้น แต่ละประเทศสมาชิกควรทราบว่า
ประเทศอื่นๆมีทัศนคติทางประวัติศาสตร์อย่างไร
ความรู้ด้านนี้ย่อมมีความสำคัญมากกว่าการปักธงชาติหรือให้ความรู้ผิวเผินเกี่ยวกับประเทศสมาชิก
ประเทศบางประเทศมีทัศนคติที่ค่อนข้างรุนแรงต่อประเทศของตนเนื่องจากมี
ประวัติศาสตร์ฉบับที่แตกต่างกันผมขอยกตัวอย่างจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก
ในประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองของ
เกาหลีใต้และจีนจะเน้นการกระทำของกองทัพญี่ปุ่นอาทิ ความโหดร้าย ทารุณกรรม
การปกครองที่อยุติธรรมและความยากลำบากที่เกิดขึ้น
รวมถึงการบังคับให้เป็นหญิงบริการทางเพศ แต่สิ่งเหล่านี้
นักการเมืองปีกขวาและพวกคลั่งชาติจากญี่ปุ่นก็ไม่ยอมรับ
และทัศนคติทางประวัติศาสตร์เป็นที่มาของปัญหาทางการทูตในภูมิภาคนี้เป็น
ประจำ
สถานการณ์เช่นนี้ยังเป็นอุปสรรคในการสร้างมิตรภาพที่แท้จริงในภูมิภาค
เอเชียตะวันออก ทั้งๆ
ที่ประเทศในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กันอย่างใกล้ชิด
แม้แต่การที่เป็นเจ้าภาพร่วมบอลโลก 2002
ระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นก็ไม่เอื้อต่อการสร้างมิตรภาพเพราะมีอุปสรรคทาง
ประวัติศาสตร์ดังกล่าว และจนถึงบัดนี้
บรรดาประเทศเอเชียตะวันออกยังไม่สามารถสร้างประชาคมภูมิภาคในรูปแบบใดๆ
จากตัวอย่างข้างบนสิ่งที่ชัดเจนคือถ้าหากว่าประเทศสมาชิกอาเซียนไม่ยอม
รับความแตกต่างทัศนคติทางด้านประวัติศาสตร์ความศามัคคีมิอาจเกิดขึ้นและอา
เซียนก็แค่เป็นการรวมตัวของประเทศในภูมิภาคที่เปราะบางที่ไม่มีอำนาจใดๆ
สังคมไทยจะยอมรับประวัติศาสตร์ฉบับที่ฝ่าย BRN นำเสนอ
ที่มองประเทศไทยเป็นนักล่าอาณานิคมหรือไม่ยอมรับก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของ
สังคมไทย แต่นี่คือประวัติศาสตร์ของบรรดาประเทศในอาเซียนที่ใช้ภาษามลายู
ภูมิภาคหมู่เกาะมลายูมีชื่อเรียกในภาษามลายูว่านูซันตารา (Nusantara)
ภูมิภาคนี้เคยตกเป็นเมืองขึ้นของบรรดาประเทศมหาอำนาจตะวันออกในประวัติ
ศาสตร์ของนูซันตารา จุดสูงสุด (climax)
อยู่ที่ช่วงเวลาที่ประเทศ“บรรลุเอกราช” (ภาษามลายูใช้คำว่า mencapai
kemerdekaan) ไม่ใช่ “ได้รับเอกราช” เพราะเอกราชคือผลที่เกิดจากการต่อสู้
ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วมีคนที่จะมาให้กับเราผู้นำของประเทศในขณะที่
“บรรลุเอกราช”อย่างเช่น ประธานาธิบดีซูการ์โน
แห่งประเทศอินโดนีเซียหรือนายกรัฐมนตรีคนแรกแห่งประเทศมาเลเซีย ตนกู อับดุล
ราห์มัน ปุตรา ได้รับความยกย่องอย่างสูงเป็น“บิดาแห่งเอกราช” (Bapa
Merdeka) ฉะนั้น
การต่อสู้ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่านี้คือการต่อสู้เพื่อ
ปลดปล่อยดินแดน
ในการสร้างประชาคมระดับภูมิภาคที่แข็งแรงในยุคที่แต่ละประเทศสามารถสอน
หรือบังคับประวัติศาสตร์ของตนอย่างเดียว
ประวัติศาสตร์ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อสร้างความสามัคคีโดยการ
สร้างศัตรูของชาติขึ้นมากำลังจะสิ้นสุดลง ในยุคต่อไป
ประวัติศาสตร์ควรจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้าใจกันระหว่างประเทศ
ในสหภาพยุโรป ประเทศที่เคยรบกันมานาน เช่นฝรั่งเศสและเยอรมัน
เริ่มใช้ตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่แนะนำเวอร์ชั่นประวัติศาสตร์ของทั้ง
สองประเทศ
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความเข้าใจระหว่างกันในทางประวัติศาสตร์
เพราะการที่ยึดถือประวัติศาสตร์ฉบับเดียวโดยปฏิเสธฉบับอื่นๆมีแต่จะสร้าง
ความแตกแยกเท่านั้น
แถลงการณ์ของ
BRNนั้นคือบททดสอบสำหรับสังคมไทยที่มาก่อนถึงเวลาประชาคมอาเซียนเปิดตัวนี่
คือประวัติศาสต์ฉบับที่สังคมไทยต้องเผชิญหน้าภายในเวลาอีกสองปีเศษ
เผยแพร่ครั้งแรกที่: วารสาร รูสมิแล มอ. ปัตตานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น