บทความชิ้นที่ 5 ของ นิรมล ยุวนบุณย์ ในชุดบทความ ข้าวนาปรัง :
ความสัมพันธ์ ความเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งของสังคมไทยในชุมชนเกษตรภาคกลาง
โดยจะทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมไทย
ในการศึกษาชุดความรู้นี้
ทางประชาไทจะทยอยนำเสนอบทวิเคราะห์ที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นข้างต้น
จำนวน 6ชิ้น
อนึ่ง ภายในไตรมาสที่สองของปี 2556 ประชาไท จะทยอยนำเสนอบทความที่จะพยายามทำความเข้าใจวิถีชีวิตและความสัมพันธ์การผลิต ของชนบทไทยในปัจจุบัน 4ประเด็นคือเกษตรอินทรีย์, เกษตรพันธสัญญากรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภาคเหนือ,พืชเศรษฐกิจในภาคอีสาน และการทำนาปรังในภาคกลางที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ |
“คิดผิดหรือเปล่าไม่รู้ที่เลือกทำนาหรือเลือก
พรรคเพื่อไทย เราก็สงสัยว่าทำไมไม่บริหารเหมือนรุ่นทักษิณ
รุ่นนั้นราคาข้าวดี แล้วทำไมไม่เดินตามรอยที่เขาทำไว้ดี
รุ่นนั้นทำไมไม่มีปัญหาเลย ข้าวตันละ 12,000 – 13,000 บาท
หลายคนก็พูดเหมือนเราว่าคิดผิดหรือเปล่าถ้าโดนลดราคาข้าว ลดราคาลงมา
ชาวนาแย่ทันทีเลย รัฐบาลนี้จำนำข้าว 15,000 บาท เรายังโดนตัดความชื้นเหลือ
12,000 บาท ถ้าจำนำเหลือ 10,000 บาท เราไม่เหลือแค่ 7,000 – 8,000
บาทเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเราร่วงทันทีเลย เพราะตอนนี้ค่าแรงก็ขึ้นแล้ว
ค่าเช่าก็ขึ้นแล้ว รัฐบาลประกาศจะทำอะไรก็ทำได้ แต่พอมันขึ้นมาแล้ว
มันลงยาก ลดราคาข้าวแล้ว ค่าแรง ค่าปุ๋ย ลดหรือเปล่า?
ต้องลดค่าแรงลงด้วยสิจะได้ยุติธรรม รักษาหน่อยสิคำพูด
จะดีมากเลยถ้ารักษาได้” รังสรรค์ และวราพร กำลังแพทย์
ระบายให้ฟังอย่างอึดอัดใจ
บ้านของรังสรรค์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับบ้านจรูญ น้าสาวที่คอยเอาแรงและเป็นที่ปรึกษาในการทำนา จรูญซึ่งเปิดบ้านเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้าน และกลายเป็นที่พบปะพูดคุยสังสรรค์กันของชาวบ้านในหมู่ยามเย็นค่ำ รังสรรค์ บอกว่า ชาวนาที่นี่เทคะแนนเสียงเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทยจนล้มแชมป์เก่าเจ้า ประจำจากพรรคชาติไทยพัฒนาลงได้ และเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเขาก็ยังจะคอยเชียร์ให้เป็นรัฐบาลจนครบ 4 ปี
“35
เสียงที่พรรคเพื่อไทยชนะพรรคชาติไทยพัฒนาที่หน่วยเลือกตั้งนี้เพราะนโยบาย
จำนำข้าวนี่แหละ บ้านนี้ มี 3 เสียง ผม เมีย และปู่ ให้ทั้ง 3 เสียงเลย
ลำพังหัวคะแนนไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกช่วงหาเสียง
แต่ช่วงหลังนี้เข้ามาบ่อยขึ้นอย่างช่วงหน้าแล้ง ชาวนาในหมู่นี้
กับอีกหมู่นึงก็มาคุยกันก่อนจะไปทำประชาคม ว่าจะให้เขามาขุดคลองแก้น้ำแล้ง
ลำพังงบประมาณของพื้นที่มันไม่พอ ก็ต้องให้ สส.เขามาช่วย” [1]
ความหวังจากโครงการรับจำนำข้าว
รังสรรค์ (44 ปี) และภรรยา (36 ปี) เพิ่งหันกลับมาเมื่อปี 52 ก่อนหน้าเคยทำนามานานหลายปีแล้วไม่ประสบความสำเร็จจนคิดเปลี่ยนอาชีพไปซื้อ ที่ 20 ไร่ ทำสวนส้ม และน้อยหน่า ไกลถึง แม่สอด แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้งเมื่อระยะทางระหว่างบ้าน สวน และแหล่งจำหน่ายห่างไกลจนทำให้ผลกำไรจากผลผลิตต่ำกว่าค่าน้ำมันและการ จัดการ จนต้องขายสวนทิ้งเพื่อตัดหนี้เมื่อปี 2549 แล้วหวนกลับมาทำนาทั้งนาปีข้าวฟางลอย และนาปรัง อีกหนพร้อมๆ กับเป็นพ่อค้าขายน้ำปลาขวดที่รับจากแหล่งกระจายรายใหญ่แถวบ้านบรรทุกปิ๊กอัพ เร่ขายไปไกลถึงสุพรรณบุรี และนครปฐม มีกำไรประมาณวันละ 500 บาท ตลอดช่วง 4 เดือนที่เว้นว่างจากการทำนา
ปีที่แล้ว (ปี55) ทั้งคู่เริ่มได้รับผลกำไรจากการทำนาปรังเป็นกอบเป็นกำ จากการเช่านาทำ 38 ไร่ ซึ่งมีสัญญาเช่า 6 ปี ค่าเช่าไร่ละ 1,000 บาท คงเดิมมาตั้งแต่เริ่มทำปี52 จนคิดขยายพื้นที่ทำนาปรังเพิ่มขึ้น โดยลงทุนเช่านาของน้องสาววราพร 20 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตาบอดไม่มีทางเดินและร่องน้ำ จนต้องควักเงินลงทุนปรับแปลงนานั้นไป 150,000 บาท และซื้อทางเข้านาจากนาต้นทางอีก 30,000 บาท เพื่อให้ผ่านทางได้ตลอดไปโดยทำสัญญาตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วและเริ่มปรับที่ นาไปเมื่อเมษายนที่ผ่านมา เพื่อที่ว่าจะได้เริ่มต้นทำนาปรังได้ใหม่ในพฤษภาคม รับโครงการจำนำข้าวรอบ 3 ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รังสรรค์เชื่อว่าหากเขาทำนาขายข้าวในโครงการรับจำนำได้ 2 เที่ยว เขาก็จะสามารถใช้หนี้คืนทุนได้หมดและหลังจากนั้นก็จะเหลือเป็นผลกำไรในระยะ ยาว ขำ – วราพร เล่าถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเบิกนาเช่าใหม่ว่า
“ถ้าไม่มีจำนำข้าวก็ต้องทำทางขุดเข้าไปอยู่
ดี เพราะว่าทำนาปีมันไม่ได้อะไร ทำนาปรังดีกว่า จำนำนี่เราทำแค่ 2
เที่ยวมันก็ได้แล้วไง ที่เหลือต่อจากนั้นก็เป็นกำไรในระยะยาว ทำนาทุน
5,500 – 6,500 บาท/ไร่ รวมค่าเช่านาแล้ว ประหยัดค่าแรงเพราะทำนากันเอง
จ้างเขาทำขึ้นราคาค่าแรงแล้วทำไม่ได้อย่างที่เราต้องการ พอประหยัดได้ 2,000
บาท มันก็พอได้ ทีนี้เรากะเหตุการณ์ข้างหน้าไม่ได้ ข้าวเป็นเพลี้ยบ้าง
เป็นโรคบ้าง หนอนลง ฉีดยาหลายเที่ยว ต้นทุนก็เพิ่ม เราก็ได้น้อยลงอีก”
พฤษภาคมฝนมาช้า จนเกรงว่าจะไม่ได้ปลูกข้าว 110 วัน
ก่อนที่จะมีการชี้แจงงบประมาณประจำปี และอภิปรายถึงโครงการรับจำนำข้าวในรัฐสภาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ก่อนหน้านั้นราวต้นเดือนเดียวกันนี้ เป็นช่วงที่ชาวนาในเขตที่ลุ่ม อ.ผักไห่ หลายแห่ง ต่างวิตกกังวลกับฝนที่ไม่ตกลงมา ในขณะที่น้ำในแม่น้ำลำคลองและลำรางแห้งขอด จนชาวนาหลายคนต้องตัดสินใจลงทุนเพิ่มเพื่อวิดน้ำเข้านา เพราะหากทำนาปลูกข้าว 110 วันตามเกณฑ์กำหนดของโครงการรับจำนำ พวกเขาต้องหว่านข้าวก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า น้ำที่จะมาในช่วงหน้าน้ำของทุกปีราว 10 – 15 กันยายน นั้น จะไม่ท่วมข้าวที่กำลังได้อายุเก็บเกี่ยวของพวกเขาเสียก่อน
“ปีที่แล้วนาตั้งเยอะ ได้ข้าวแค่ 16 ตัน
กข.51 มันเป็นข้าวเบา เที่ยวนี้เลยเอาข้าวหนักดีกว่า ได้น้ำหนักกว่า
แต่ก็ว่าเสี่ยง เราถึงต้องรีบ ก็นับวันอายุข้าวแล้ว
น่าจะได้เกี่ยวทันก่อนน้ำมา” ขำเล่า
เครื่องสูบน้ำที่มีอยู่ 2 ตัวไม่พอใช้ ส่วนเครื่องสูบน้ำ 2 กำลังแรงม้าของน้า ก็มีคิวขอยืมใช้จากเพื่อนที่ทำนาด้วยกันยาวเหยียด รังสรรค์อยากได้เครื่องสูบน้ำเพิ่มเพื่อให้พอใช้งาน แต่ต้องระงับไว้ก่อนเพราะนาเที่ยวนี้ลงทุนไปเยอะมากแล้ว
ฝนชุก นาล่ม กลางเดือนมิถุนายน
15 มิถุนายน 56 นาเช่าของทั้งคู่ในทุ่งหนองบอน ขนาด 28 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็น 6 กระทง ที่หว่านข้าวชัยนาท และข้าว กข. 47 ซึ่งมีอายุ 110 วัน ไปเมื่อ 11 พฤษคม ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวได้ราวปลายสิงหาคม ต้นกันยายนนั้น กลับถูกน้ำท่วมขังหลังฝนตกหนักเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา จนทำให้น้ำท่วมข้าวในกระทงนาที่ลุ่มที่สุดจมน้ำท่วมขาวไปก่อน และนาอีก 2 กระทงกำลังจะท่วมมิดใบข้าว ซึ่งหากน้ำท่วมนานถึง 1 สัปดาห์ ข้าวก็จะเน่าเสีย และไม่สามารถฟื้นตัวได้เลย
“ข้าวอายุ 35 วัน เพิ่งหว่านปุ๋ยครั้งแรกไป
ไร่ละ 3 ถัง ปุ๋ย 18-8-8 กระสอบหนึ่ง 50 กก. ก็ 780 บาท แล้ว
ค่าเทือกไร่ละ 220 ปั่นอีก 220 บาท นี่ซื้อปุ๋ยเตรียมหว่านรอบ 2 ไว้ด้วย
ข้าวกำลังงามแตกกอเลย”
น้ำมีอยู่ล้อมรอบเต็มไปหมด แต่ดอกผลจากต้นข้าวในนากำลังละลายหายไป ขำเล่าว่า ปีที่แล้วเธอลงทุนทำนา 200,000 บาท ขายข้าวได้ 480,000 บาท เหลือครึ่งหนึ่ง จ่ายค่าเช่านาเกือบ 70,000 บาท เหลือเงินประมาณ 200,000 บาท ก็นำบางส่วนไปใช้หนี้ เธอเป็นหนี้ที่กู้ยืมคนในหมู่บ้าน 300,000 บาท มาใช้จ่ายในครอบครัวและส่งลูกเรียน และ ตอนเริ่มทำนาปีแรก กู้หนี้สหกรณ์เพิ่มอีก 550,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 9บาท/ปี มีสัญญากำหนดใชหนี้ให้หมดภายใน 5 ปี โดยผ่อนชำระปีละ 110,000 บาท ไม่รวมดอกเบี้ยที่ตัดส่งในแต่ละงวด ตอนนี้เธอเหลือหนี้สหกรณ์อยู่ 330,000 บาท กับภาระที่จะต้องเลี้ยงดูและส่งเสียลูก 3 คน ซึ่งกำลังเรียนในระดับมัธยมปลายและชั้นประถม โดยคนโตอายุ 16 ปี ชั้นม.6 คนกลาง 14 ปี ชั้น ม.4 และคนเล็ก 7 ปี ชั้น ป.1
“ทำนา 3 – 4 เดือนจะได้เงิน
เราต้องกินต้องใช้ทุกวัน ขั้นต่ำเดือนเดือน 15,000 บาท
เราต้องเร่ขายของช่วงที่ไม่ได้ทำนา เราจะไปหาที่ไหน เคยคำนวณว่า
ถ้าลงทุนทำนาอย่างนี้ 3 ปี ก็หมดหนี้ ถอนทุนได้ ครบวาระ 4
ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์พอดี”
ในขณะที่เพื่อนชาวนา 1 คันรถปิ๊กอัพกำลังวิ่งไปดูบานประตูน้ำที่อยู่ทางดอนขึ้นไปจากทุ่งนาของพวก เขา เพื่อร้องขอให้ชลประทานลดบานประตูน้ำลง ชะลอไม่ให้น้ำท่วมนาข้าวที่เหลือ รังสรรค์ และวราพร ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันดีกับผู้นำชาวนานักสู้อย่างลุงวิเชียร พวงลำเจียก ตอนไปขอคำปรึกษาเรื่องเงินค่าชดเชยนาถูกน้ำท่วมเมื่อปี 53 – 54 ยังเสนอทางลงของโครงการรับจำนำข้าวเพื่อให้ชาวนาและรัฐบาลอยู่รอดครบวาระ อย่างที่พวกเขาซึ่งได้ลงคะแนนเสียงเทให้เพราะนโยบายนี้ไว้ด้วยว่า ถ้ารัฐบาลยังราคารับจำนำข้าวไว้ที่ตันละ 15,000 บาท และจำกัดโควตาให้ครอบครัวละ 500,000 บาท หรือ ไม่เกิน 25 ตัน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในภาวะทีทั้งคู่และชาวนาในทุ่งหนองบอน ต.จักราชกำลังเผชิญปัญหาดังกล่าว
“เครียดจนไม่รู้จะทำยังไง
ปีหน้าเจ้าของนาจะขึ้นค่าเช่าจาก 1,000 บาทเป็น 1,500 บาท ปีหน้า
ถ้าราคาข้าวอยู่เกณฑ์เดียวเหมือนปีนี้ก็ยังพออยู่ได้
แต่ถ้าราคาข้าวต่ำกว่านี้ อยู่กันไม่ได้แน่ ต้นทุน/ไร่ ก็ 5,000
กว่าบาทแล้ว ได้ข้าว 80 ถัง ขายได้ตันละ 13,000 – 14,000 บาท กำไลครึ่งๆ
ต้นทุนปีนี้พอๆกับปีที่แล้ว จะมีแต่ค่าน้ำมันวิดน้ำเข้า
หมดค่าวิดน้ำไปแสนกว่าบาท ปลูกข้าว กข.41 อายุ 110 วัน
น้ำมาท่วมเสียก่อนตอนนี้ ถ้าข้าวไม่รอดหมื่นพออยู่ได้
ต่ำกว่าหมื่นตายอย่างเดียว เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
นาแล้ง วิกฤติแลโอกาส ของชาวนาในทุ่งผักไห่
หลังเกี่ยวข้าวนาปรังหนแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางการประกาศไม่ให้ทำนา ให้หยุดทำนาไป 8 เดือน ชาวนาในทุ่งผักไห่ ชาวนาหลายคนตัดสินใจสูบน้ำเข้านาทำนาปรังรอบ 2 กันต่อ บ้างก็ขอแจ้งติดมิเตอร์กับสำนักงานการไฟฟ้า มีเพียงส่วนน้อยที่ถอดใจไม่ทำนา และรอดูน้ำอีกทีเดือนกันยายน เพราะเป็นที่ดอนและเห็นว่าต้องลงทุนเพิ่มมากเกินกำลังจะจ่าย นอกจากนี้ยังมีชาวนา 8 ราย ผืนนารวมกัน 140 ไร่ ลงขันกันสูบน้ำจากนาเข้าคลอง
“เช่านาเขา 18 ไร่ ข้างนอกทุ่งนี้อีก 10
ไร่ ถ้าไม่ทำก็ต้องจ่ายค่าเช่าฟรี ก็ต้องเสี่ยงทำ ปกติทำนาต้องสูบน้ำทุก
7 วัน แต่ช่วงต้นพฤษภาคมแดดแรง สูบมาแล้วน้ำแห้งไว
ปกติสูบแล้วปล่อยทิ้งไว้ 10 วันค่อยสูบใหม่
จนกว่าข้าวจะใกล้ได้เกี่ยวจึงหยุดสูบ
แต่ดีหน่อยที่ว่าทำเลที่นาของเขามันเป็นที่ดอน หากน้ำหากมาก่อนช่วงหน้าน้ำ
น้ำจะไปลงทางบางปลาม้า นาคู จักราช หนองน้ำใหญ่ ต้นเดือนกันยายนปี 54
ที่ชาวนาสุพรรณ กับที่ จักราช
หนองน้ำใหญ่มาประท้วงไม่ให้น้ำปล่อยเขานาเพราะนากำลังจะได้เกี่ยวนั่นน่ะ
ถึงเขาปล่อยเข้า ก็อีกหลายวันกว่าน้ำจะมาถึงที่นานี่
ผมมัวแต่วิ่งหารถเกี่ยวข้าว เลยไม่ได้ไปประท้วงปิดถนนกับเขาไง”
“ช่วงนี้เขาเร่งรีบกันทำนาเพราะราคาข้าวมัน
ดี เขาว่ากันอีกว่าหมดจาก “ชินวัตร” แล้ว ราคาข้าวไม่ได้อย่างนี้หรอก
แต่อย่างว่า ถ้ายิ่งลักษณ์ลงเลือกตั้งอีกสมัยหน้า
ก็คงได้เลือกกันเข้ามาอีก” ประภาสให้ความเห็นเมื่อ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ก่อนที่จะกระแสข่าวลดราคาข้าวในโครงการรับจำนำข้าวรอบใหม่สั่นกระเพื่อม
อย่างรุนแรงอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้
กระทรวงพาณิชย์เคยส่งสัญญาณลดราคาข้าวรับจำนำเหลือตันละ 1.3
หมื่นบาทเมื่อเดือนมีนาคม ปีนี้
[1]
จำนวนชาวนาในหมู่บ้านของรังสรรค์ที่ขึ้นทะเบียนชาวนาเมื่อเดือนพฤษภาคม
2554 มีทั้งสิ้น 56 ราย คิดเป็น 47% ของจำนวนครัวเรือน
อาชีพหลักของคนในหมู่บ้านมีอาชีพค้าขาย ทำงานโรงงาน และลูกจ้างบริษัท
ตามลำดับ ในขณะที่การเลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554
ในหมู่บ้านนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 353 คน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น