13 มิ.ย.56 Thaipublica จัดเสวนาพิเศษเรื่อง “งบฯแผ่นดิน เงินของเราเขาเอาไปทำอะไร?” โดยมีวิทยากร ได้แก่
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน
วราเทพ รัตนากร กล่าว ถึงแนวคิดในการจัดทำงบประมาณปี 2557 ว่าต่างจากปีอื่นๆ เนื่องจากมีการประชุมร่วมส่วนราชการเพื่อทำยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อที่จะหลุดพ้นรายได้ปานกลาง ลดความเหลื่อมล้ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยวางทิศทางของโครงสร้างงบประมาณว่าจะลดการขาดดุลลงเรื่อยๆ สู่งบสมดุลในปี 2560 ดังจะเห็นว่าปี 55 ขาดดุล 4 แสนล้าน, ปี 56 ขาดดุล 3 แสนล้าน, ปี 57 ขาดดุล 2.5 แสนล้าน แต่ก็มีงบลงทุนนอกงบประมาณคือ เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (2 ล้านล้าน) และบริหารจัดการน้ำ (3.5 แสนล้าน) อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตัวงบประมาณปี 2557 (2.52 ล้านล้าน) จะเห็นว่ามีสัดส่วนเรื่องการศึกษา จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียม ถึง 33% หรือ 8.4 แสนล้าน ไม่ใช่จะเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียว
ที่มา: พาวเวอร์พ้อยท์วิทยากร (วรเทพ รัตนากร)
“นี่เป็นการแหกวินัยการคลังครั้งใหญ่ที่สุด แม้มันจะมีอะไรดีที่ช่วยประเทศชาติ แต่ก็มีอะไรที่อันตรายเหมือนกัน” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวและแสดงความเห็นเสริมว่าควรตั้งบประมาณปกติจะเหมาะสม กว่า โดยตั้งงบขาดดุลสูงก็ได้ เพราะเมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งรัฐบาลจะรู้ว่าต้องหยุดก่อนเพื่อไม่ให้ประเทศเซ แต่เมื่อรัฐบาลเพื่อไทยเริ่มกู้นอกงบประมาณ รัฐบาลอื่นๆ ก็จะดำเนินรอยตาม ดังนั้น จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีกระบวนการสร้างหนี้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนประเทศเสียหาย
นายวราเทพ ตอบว่า ต้องแยกแยะงบที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน งบบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านเป็นเหตุจำเป็นเนื่องจากเป็นอุทกภัยใหญ่ที่กระทบภาพรวมความเชื่อมั่น ของนักลงทุน หากไม่มีแผนชัดเจนจะดึงความมั่นใจกลับมาไม่ได้ จึงต้องดำเนินการเร่งด่วนทำให้ต้องดำเนินการนอกงบประมาณ ส่วนงบโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านนั้น ก็เป็นงบลงทุนระยะ 7 ปี ซึ่งไม่สามารถนำใส่งบปกติได้ เนื่องจาก 1.การลงทุนนี้เป็นแผนเปลี่ยนระบบขนส่งทั้งประเทศ แผนที่ชัดเจนจะส่งผลต่อความมั่นใจของเอกชน รวมถึงเอกชนที่จะมาร่วมงานด้วย การนำใส่งบปกติอาจไม่สามารถเสนอได้ตรงตามเวลา การทำเป็นงบผูกพันอาจมีปัญหาในเรื่องสัญญา และที่ผ่านมาไม่สามารถใส่แผนงานขนาดใหญ่เป็นแสนล้านได้ในงบปรกติ จะมีปัญหาการกระจุกตัวของงบที่ลงทุนแต่โครงสร้างพื้นฐาน ไม่กระจายสู่ด้านสังคมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการกู้นอกงบประมาณแต่ก็มีระบบตรวจสอบไม่ต่างกัน ไม่สามารถลบเลี่ยงมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างได้
ส่วนว่ารัฐบาลอื่นจะดำเนินรอยตามและจะเกิดความเสียหายหรือไม่นั้นต้องดู เหตุผลในการดำเนินการว่ามีเพียงพอไหม และดูว่าระบบการคลังไปได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครดันทุรังจนเกิดความเสียหายได้ สำหรับหลักประกันในเรื่องนี้ หากจะออกเป็นกฎหมายก็ไม่ยั่งยืนเท่าการสร้างการตระหนักรู้ของสังคม รวมถึงบทบาทราชการที่จะไม่โอนเอียงตามฝ่ายการเมืองทั้งหมด เพราะถึงที่สุดออกกฎหมายก็ยังแก้ไขได้
ที่มา: พาวเวอร์พ้อทย์วิทยากร (ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล)
อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร แสดงความเห็นในส่วนโครงการที่ไม่เห็นด้วยว่า มี 4 โครงการย่อยในกลุ่มรถไฟความเร็วสูงที่ไม่คุ้มทุน คือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ กรุงเทพ-หนองคาย กรุงเทพ-ปดังเบซาร์ และกรุงเทพ-พัทยา-ระยอง เนื่องจากรถไฟความเร็วสูงนั้นขนส่งคนเป็นหลักไม่ใช่ขนส่งสินค้า และงบลงทุนกลุ่มนี้ใช้เงินถึง 7.8 แสนล้านบาท คำนวณแล้วว่าหากจะคุ้มทุนต้องเก็บค่าโดยสารแพงกว่าสายการบินต้นทุนต่ำในขณะ ที่ใช้เวลาเดินทางนานกว่า หากทำแล้วร้างใครจะรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลอยากจะทดลองก็ควรทดลองสาย กรุงเทพ-พัทยา-ระยอง ก่อนเพราะด้านตะวันออกไม่มีสายการบินต้นทุนต่ำ คนที่มีกำลังจ่ายยังไม่มีทางเลือก
“มันไม่มีทางคุ้มค่า ท้าได้เลย ถ้ามีเงินถุงเงินถังไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ ก็ต้องนึกถึงความคุ้มค่าด้วย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว
ที่มา: พาวเวอร์พ้อยท์วิทยากร (สมชัย จิตสุชน)
พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ กล่าว ถึงภาพรวมหนี้สาธารณะว่า หากดูตั้งแต่ปี 2539 ถึงปัจจุบันจะพบว่า ก่อนวิกฤตปี 2540 นั้นหนี้สาธารณะของประเทศไม่เกิน 15% แต่เมื่อปี 2543 หนี้กระโดดขึ้นเป็นกว่า 60% เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูแล้วจึงค่อยๆ ลดระดับลง จากนั้นในปี 2551 เกิดวิกฤต Hamburger การปิดสนามบิน ฯ ทำให้มีการออก พ.ร.บ.กู้ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นที่มาของโครงการไทยเข้มแข็ง จากนั้นหนี้สาธารณะก็เพิ่ม ในปี 51 จาก 37% เป็น 45% ในปี 2552
“ในฐานะที่ดูแลด้านรายจ่ายและหนี้สินของประเทศ ขอยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดจะไม่ทำให้เราหลุดกรอบความยั่งยืนทางการ คลัง” หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สินกล่าว พร้อมอธิบายถึงเหตุผลว่า เพราะ 1.หนี้ต่อจีดีพีไม่เกิน 50% 2.รายจ่ายชำระเงินต้นรวมดอกเบี้ย ไม่เกิน 15% ขณะนี้ลดลงเหลือ 7-8% เพราะโอนหนี้ให้กองทุนฟื้นฟูฯ จัดการ 3.งบลงทุนต่องบรวม ตั้งเป้าไม่เกิน 25% ไม่ว่าจะเป็นงบในงบประมาณหรือนอกงบประมาณ 4.โครงการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่นั้นเหมาะสม เพราะเรายังมี fiscal space หรือช่องว่างให้นโยบายทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจได้อยู่ เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะของเรานั้นไม่สูง เพียงแค่ 46.5% ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่กว่า 100% สภาพคล่องในตลาดการเงินก็ยังมีมาก อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ 4% กว่าเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจึงยังมีช่องว่างในการใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกระยะ
ที่มา: พาวเวอร์พ้อยท์วิทยากร (พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น