แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อุทธรณ์ยืนคุก 2 ปี"ปริญญา นาคฉัตรีย์"อดีต กกต. แต่รอลงอาญา 2 ปี

ที่มา มติชน


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ห้องพิจารณา 905 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ม.157 ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้รอการลงโทษ 2 ปี กรณีปรับขึ้นเงินเดือนตัวเอง

คดีนี้อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้อง นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร (เสียชีวิตแล้ว) พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตาม ป.อาญา ม.157 ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2552 สรุปความผิดว่า เมื่อระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม-28 กันยายน 2547 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีมติเห็นชอบร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษของประธานและกรรมการ กกต.พ.ศ.2547 แล้วต่อมามีการประชุมแก้ไขเป็นระเบียบ กกต.ว่าด้วยการจ่ายค่าตอบแทนแก่ประธาน และกรรมการ กกต.กำหนดเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือนให้กับ พวกจำเลย เดือนละ 20,000 บาท โดยให้ใช้บังคับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2547 ทั้งที่จำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย

ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อ 29 ธันวาคม 2553 ว่า จำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้องจริง ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ป.อาญา ม.157 แต่พิเคราะห์ประวัติการศึกษาและรับราชการ อีกทั้งไม่ปรากฏมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่ มีเหตุควรปรานีให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1-2 ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่านายวีระชัย จำเลยที่ 2 เสียชีวิตแล้ว จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี มีประเด็นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 บัญญัติว่า การปฏิบัติหน้าที่ กกต. เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.วิอาญา และการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช.แต่งตั้งอนุกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนคดีนี้จำนวน 3 คน นั้น แม้ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2541 มาตรา 45 บัญญัติให้มีกรรมการ ป.ป.ช.1 คน เป็นเพียงการกำหนดขั้นต่ำไม่ได้ห้ามมิให้มีเกิน ซึ่งการแต่งตั้งอนุกรรมการ ป.ป.ช.มากกว่า 1 คน ก็ไม่ได้กระทบกับการไต่สวนและจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย ดังนั้น การไต่สวนของ ป.ป.ช.จึงชอบแล้วและโจทก์มีอำนาจฟ้อง

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 ม.27 กำหนดให้ กกต.มีอำนาจเพียงออกระเบียบบริหารบุคคล ทรัพย์สินหรือจ่ายค่าตอบแทนให้กับเลขาธิการ รองเลขาธิการ และลูกจ้าง เท่านั้น จำเลยไม่มีอำนาจกำหนดค่าตอบแทนให้กับตนเอง การที่จำเลยได้ร่วมประชุมกับ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. และลงนามออกระเบียบค่าตอบแทนดังกล่าวให้กับตนเอง จึงเป็นการออกระเบียบโดยมิชอบ ที่จำเลยอ้างว่าขาดเจตนาและคืนเงินให้กับสำนักงาน กกต. แม้เป็นเจตนาอันดี แต่ก็ไม่อาจทำให้ความผิดที่สำเร็จแล้วเป็นไม่ผิดได้นั้น จึงเป็นความผิดที่สำเร็จแล้วแม้ว่าจะยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ตาม เนื่องจากที่ประชุมได้กำหนดให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2547 และต่อมาแก้ไขเป็นวันที่ 1 ก.ย. 2547 จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ม.157 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี และให้รอการลงโทษนั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน

ภายหลังนายปริญญากล่าวว่า จะยื่นฎีกาในประเด็นที่ได้ทำบันทึกคัดค้านเกี่ยวกับมติการขึ้นเงินเดือนของ คณะกรรมการ กกต.แล้วในขณะนั้น แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ และได้มีเงินโอนเข้าบัญชีจำนวน 2 หมื่นบาทจริง แต่ก็ได้คืนเงินดังกล่าวไปแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น