แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกับการสับขาหลอกของรัฐ

ที่มา ประชาไท


<--break->
หากใครได้เคยอ่านบทความเก่าๆ ของผู้เขียนคือ " เหตุใดรัฐจึงกลายเป็นฆาตกร" ก็จะได้รู้ว่าผู้เขียนไม่ต้องการมาจำกัดคำว่า รัฐ ให้เป็นเพียงผู้มีอำนาจหรือรัฐบาลเท่านั้นแต่ยังพยายามยกสถานะของรัฐให้เป็น ลักษณะนามธรรมหรือมวลรวมของจิตอันแสนยิ่งใหญ่เหมือนของเฮเกลซึ่งมีชีวิตและ สามารถคิดเองได้ แต่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือมนุษย์ทุกคน หรือทุกกลุ่มในสำหรับบทความนี้ผู้เขียนอยากจะเอาแนวคิดเหล่านี้มาวิเคราะห์ กับพ.ร.บ.นิรโทษกรรมดูบ้าง ซึ่งผู้เขียนก็หนักใจว่าเหมือนเอามะพร้าวมาขายสวนและจะกลายเป็น “เป่านกหวีด” ช้าไปหน่อย แต่ก็พยายามจะเขียนให้ดีที่สุด

ผู้เขียนคิดว่าความพยายามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในการล้างความผิดของตัวเองนั้นก็เป็นพฤติกรรมหนึ่งของรัฐที่กระทำมา ช้านาน ในฐานะที่เขาเคยเป็นตัวแทน (agent) ของรัฐมาก่อน การทำโทษให้ศูนย์ (set zero) ของทักษิณจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนทัศน์อันเก่าแก่ของรัฐไทย การที่เขาอ้างว่าเพื่อทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าต่อไปก็คือเดินบนพรมแดงที่มีศพ จำนวนมหาศาลถูกซุกใต้พรม ในมาตรฐานของความเป็นรัฐไทยแล้ว อาชญากรรมที่ฝ่ายประท้วงทักษิณมองเห็นว่าชั่วช้าเช่นการโกงกินบ้านเมือง การอยู่เบื้องหลังเสื้อแดงเผาเมือง  (หรือเลยไปถึงมีส่วนในการฆ่าตัดตอนคนหลายพันศพเมื่อหลายปีก่อน)

ตาม จริงก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติอะไรเลยของการก่ออาชญากรรมของรัฐไทยในอดีตเพียง แต่มีการอวตาร  (reincarnate) เป็นเหตุการณ์เฉพาะด้าน ขึ้นอยู่กับว่ารัฐจะสามารถทำให้การก่ออาชญากรรมนี้เป็นสิ่งที่ปกติสำหรับ ประชาชนได้มากน้อยเพียงใด (ผ่านสื่อมวลชน แบบเรียน ฯลฯ) 

อย่าลืมว่ารัฐไทยนั้นเป็นเอตทัคคะในการทั้งสังหารประชาชนตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นรัฐสมัยใหม่อย่างเช่นกองทัพของรัฐในช่วงเริ่มต้นของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชกับประชาชนของประเทศราชหรือพวกแข็งเมือง สำหรับการฉ้อราษฎรบังหลวงหรือการโกงกินซึ่งมีอยู่มากมายในราชสำนักของรัฐ สมบูรณาญาสิทธิราช อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบอบสมบูรณญาสิทธิราชล่มสลายอย่างรวดเร็ว (1) ดูเหมือนคนไทยจะไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้เท่าใดนักเพราะต่างถูกรัฐคุมขัง ไว้เป็นจักรกลหนึ่งของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช (ซึ่งยังถูกผลิตซ้ำมาให้ปะปนกับระบอบประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันดังที่นัก วิชาการท่านหนึ่งได้กล่าวไว้)

ผู้เขียนเองก็ไม่ปฏิเสธว่าภายในความยิ่งใหญ่ของรัฐนั้น ปัจเจกชนก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้รัฐเกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้ โดยผู้เขียนคิดเหมือนภาพยนตร์เรื่อง Matrix ว่าผู้นำของรัฐสามารถที่เกิดภาวะผิดปกติ (Anomaly) ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามการศึกษาที่รัฐพยายามยัดเหยียดให้เพื่อเป็นฟัน เฟืองที่แสนซื่อสัตย์ของรัฐ ดังเช่นคณะราษฎรที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ  แต่เมื่อคณะราษฎรขึ้นมามีอำนาจก็ใช้ความรุนแรงในการรักษารัฐภายใต้ระบอบ ใหม่คือประชาธิปไตย ดังนั้น ในช่วงเปลี่ยนแปลงแย่งชิงอำนาจของรัฐบาลภายใต้กลุ่มพลเรือนและทหาร(และ อื่นๆ) รวมไปถึงยุคเรียกร้องประชาธิปไตย ยุค 14   ตุลาคม 6 ตุลา พฤษภาทมิฬ ฯลฯ  ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่เงียบงัน (silent majority) เพราะต่างชินชาและถือว่าความรุนแรงของรัฐเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม นักศึกษาและประชาชนที่ต่อสู้กับรัฐจนตัวตายคือสิ่งแปลกปลอมที่สมควรถูกรัฐ กำจัดออกไป (ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับใครบางคนที่ว่า “ชาวพุทธไทยไม่ซีเรียสที่จะฆ่ากันตาย”)

ดังนั้นกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ออกโดยรัฐบาลเผด็จการทั้งหลายให้แก่คนผิดที่รวมไปถึงผู้ตกเป็นเหยื่อคือ ประชาชนตาดำๆ ที่เสียชีวิตก็ได้รับนิรโทษกรรมไปด้วยเป็นสิ่งที่ทำได้สะดวกสบาย ไม่มีใครรับผิดชอบ ไม่มีคนผิด ไม่มีเหยื่อ ตามการยอมรับกระแสหลักของรัฐ มีเพียงผู้เสียชีวิตและความเข้าใจผิด  เหตุการณ์ผ่านไป ผู้ฆ่าและญาติมิตรผู้ถูกฆ่า ชนชั้นปกครองและผู้ถูกปกครองก็จากโลกนี้ (หากกล่าวถึงในมิติทางปัจเจกชน) เหลือแต่รัฐซึ่งยังคงทรงพลังอยู่ 


เกิดอะไรขึ้นกับทักษิณ?

การที่ทักษิณพยายามจะ set zero  กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไปนั้นเพราะทักษิณถูกรัฐตีความให้เป็นสิ่งแปลก ปลอมของตน อย่าลืมว่ารัฐนั้นมีลักษณะเหมือนร่างกายมนุษย์คือพยายามกำจัดสิ่งที่แปลก ปลอมในร่างกายตัวเองออกไป ทักษิณแม้ว่าจะพยายามเจรจากับชนชั้นนำอื่นในตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ตัวรัฐนั้นยิ่งใหญ่ไปกว่าชนชั้นนำกลุ่มไหนจะสามารถสร้างข้อตกลงร่วมกัน หรือยอมรับได้ทั้งหมด (1)  สาเหตุสำคัญคือการที่ทักษิณสามารถมีอิทธิพลเหนือมวลชนจำนวนมากได้อย่างที่ รัฐไม่เคยเผชิญมาก่อน จึงทำให้ระบบของรัฐเกิดการรวนขึ้นมา รัฐจึงทำการ reboot เครื่องใหม่โดยการทำรัฐประหารซึ่งชาวไทยโดยมากไม่ซีเรียสหรือจำนวนมากก็ให้ การสนับสนุนเพราะอยู่ภายใต้วาทกรรมแห่งความรุนแรงที่รัฐบาลถูกกระทำมาจนชิน  

การประท้วงพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของชนทุกส่วนซึ่งผู้เขียนยังตกใจจากการ อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับ  (ซึ่งผู้เขียนมิบังอาจว่ามีความเห็นเหมือนกันทั้งหมด เพราะมีหลายกลุ่มที่ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแต่ก็มีเหตุผล ที่ต่างกันเพราะมองผ่านเลนส์สีแดงและสีเหลือง) ทำให้ผู้เขียนนึกในใจว่าถ้าประชาชนออกมาประท้วงต่อการทำรัฐประหารปี 2549 หรือออกมาเรียกร้องให้จับคนผิดในการเข่นฆ่าสังหารประชาชนปี 2553 (หรืออย่างน้อยก็ทำให้ความจริงกระจ่างเช่นผู้นำเสื้อแดงคนไหนหรือทหารหรือ ไอ้มืดคนไหนควรถูกลงโทษ ไม่ใช่ว่ายังไปไม่ถึงไหนเหมือนทุกวันนี้) ก็คงจะดีไม่น้อยแต่ก็เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด เพราะกระบวนทัศน์หลักที่รัฐได้สอดใส่ไว้ในสมองของคนไทยจำนวนมากไว้แล้วคือใบ อนุมัติสั่งประหารรัฐบาลซึ่งไม่สามารถเป็นไปตามบรรทัดฐานที่รัฐได้วางไว้ให้

นอกจากนี้กลุ่มที่ออกมาประท้วงกลุ่มที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณซึ่งคุณธรรมทางการเมืองก็ไม่แตกต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณหรือบางกลุ่มที่นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมืองซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นั้นก็คงเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกได้บ้างว่ารัฐไทยได้อำพรางความชั่วของตนที่ มีมานานอยู่โดยอาศัยภาพเงาอันน่ากลัวของพตท.ทักษิณ  เราควรจะมองว่ารัฐมีความแยบยลในการสับขาหลอกหรือการบงการให้จักรกลสำคัญของ ตนคือประชาชนดำเนินเป็นไปอย่างที่ตัวเองโดยเข้าใจว่าคือการใช้สิทธิตาม ประชาธิปไตยเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยที่มองไม่เห็นกลไกการเอารัดเอาเปรียบทางชนชั้นและอิทธิพล อันซ้อนเร้นของชนชั้นปกครองอื่น  ที่สำคัญคือมองไม่เห็นกลไกความฉ้อฉลและความรุนแรงของรัฐ  สิ่งนี้ผู้เขียนใคร่เรียกว่า Imagined democracy หรือประชาธิปไตยที่ถูกสร้างจำลองขึ้นมาในความคิดของตัวเองผ่านกระแสวัฒนธรรม แบบประชานิยม  เช่นคนประท้วงจำนวนมาก (ไม่ได้ว่าทั้งหมด) กล่าวด่าหรือปลุกระดมให้ล้มรัฐบาลแบบเอามันผ่านเฟซบุ๊คโดยผ่านข่าวลือหรือ การนินทากันแบบดารา  เช่นเดียวกับประชาชนอียิปต์เป็นล้านๆ ที่ออกมาประท้วงอดีตประธานาธิบดีมูหะหมัด มอร์ซี แต่หดหัวอยู่กับบ้านเมื่อทหารทำการเข่นฆ่าประชาชนเป็นพันๆ คนเพียงเพราะคน เหล่านั้นเป็นพวกภราดรภาพมุสลิม เช่นเดียวกับเมืองไทยซึ่งน่าละอายใจที่ผู้ประท้วงพ.ร.บ.นิรโทษกรรมบางกลุ่ม หันไปเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากทหารซึ่งเป็นองคาพยบชิ้นสำคัญของรัฐที่มือ เปื้อนเลือดและใช้กฏหมายนิรโทษกรรมในการล้างผิดให้กับตัวเองตลอดมา

อนึ่งความฉ้อฉลโกงกินหรือความรุนแรงที่รัฐไทยมีต่อประชาชน ในขณะที่ประชาชนในทุกภาคส่วนก็มีการติดเชื้อลามกันไปทั่วในเรื่องขอการฉ้อฉล และการใช้ความรุนแรงต่อกันทั่วหน้า ดังนั้นจึงดูเป็นขัดแย้งในตัวเอง (irony) ที่ประชาชนซึ่งคุ้นชินและเป็นส่วนหนึ่งของ 2 ความชั่วร้ายดังกล่าวได้ประท้วงหรือด่าทอคนแบบเดียวกันอย่างสนุกสนาน  ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่วิเคราะห์ได้ไม่ยากว่าเกิดจากความรู้สึก กังวลใจของคนที่ออกมาประท้วงเพื่อเป็นสิ่งรับประกันว่าถึงแม้ตนจะชั่วร้าย ประการใด ตนจะไม่มีทางกลายเป็นเนื้อร้ายที่รัฐต้องกำจัดออกไปกลายเป็นคนไร้รัฐ เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอันขาด (2) เช่นเดียวกับการออกมาระบายความรู้สึกผิดข้างในลึกๆ ที่ว่า รัฐสมัยใหม่มีความต้องการที่ขัดแย้งภายในตัวเองคือในขณะที่ประชาชนเป็นพวก ตื่นรู้ทางการเมือง ไปพร้อมๆ กับการเป็นทาสที่ดีของรัฐ   ดังนั้นผู้เขียนจึงขอพอเดาเอาว่าความรู้สึกเช่นนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้คน เป็นจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยสนใจการเมืองมาก่อนหรือสนใจการเมืองเพียงน้อยนิด ออกมาประท้วงด้วยประเด็น (agenda) ที่หดเหลือแค่คำว่า "ทักษิณ" ซึ่งเป็นการมองประเด็นของความผิดของรัฐที่คับแคบจนน่าเสียดาย ซึ่งในที่สุดเมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลงไป คนเหล่านั้นก็พร้อมจะกลับเป็นพวกการเมืองแบบไพร่ฟ้าแบบสับสนตามที่อุดมการณ์ หลักของรัฐไทยได้วางไว้เหมือนเดิม


กฎหมายจะมีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปหรือไม่ ?
 
มีคนสงสัยว่าหากทักษิณสามารถ set zero ได้สำเร็จ ต่อไปกฎหมายจะมีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปหรือไม่เพราะอาจมีผู้มีอำนาจทางการ เมืองที่คาดหวังว่าอาชญากรรมที่ทางการเมืองของตนในท้ายที่สุดจะได้รับการทำ ให้เป็นศูนย์ในที่สุด ผู้เขียนไม่ได้ไม่เชื่อว่ากฎหมายเมืองไทยทุกวันนี้ขาดความศักดิ์สิทธิ์และจะ ขาดความศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต เพราะความศักดิ์สิทธิ์ไม่มีจริง แต่เป็นสิ่งที่ถูกรัฐสร้างขึ้นมาเพื่อให้กฎหมายเป็นตามบริบทที่ตัวเองกำหนด ไว้   เช่นในฉากหน้าจะมีการบัญญัติหรือสร้างตัวหนังสือไว้บรรยายการสนับสนุนสิทธิ เสรีและเสรีภาพของประชาชนไว้อย่างงดงามก็ตาม แต่รัฐก็สามารถอาศัยบริบทอื่นเพื่อเข้ามากำหนดอำนาจที่มีอย่างจำกัดของ กฏหมายเสียใหม่เช่นวัฒนธรรมทางการเมืองที่รัฐได้ปลูกฝังไว้ให้กับประชาชน เช่นการนิยมความรุนแรง การสร้างบรรยากาศ “ฝุ่นตลบ” หรือการพรางตาไม่ให้ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐในเวลานั้นไม่ถูกลงโทษ (ไม่ใช่รักใคร่อะไรแต่เป็นการรักษาระบบของรัฐไม่ให้เกิดการรวนหรือเสียหาย) อย่างเช่นการทำรัฐประหารที่ผู้ทำรัฐประหารออกกฏหมายเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลง โทษทั้งที่เป็นการก่ออาชญากรรมอย่างร้ายแรง สมมติว่าทักษิณสามารถ set zero ได้ก็จะเป็นการตอกย้ำวัฒนธรรมแห่งการหนีจากความผิดของผู้มีอำนาจซึ่งมีอย่าง ดาดดื่นในสังคมไทยเท่านั้น  แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะสนับสนุนให้พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ผ่าน ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ในอนาคต ถ้ากองทัพหรือกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มอื่นจะพยายามทำเช่นนี้บ้าง ประชาชนก็ควรจะออกมาประท้วงเต็มถนน เป่านกหวีดหรืออริยะขัดขืน หรืออย่างน้อยเมื่อนักการเมืองซึ่งเต็มไปด้วยกรณีทุจริตและฆาตกรรมอย่างเช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็ขอให้คนไทยทุกคนหยุดงานและไม่ยอมจ่ายภาษีบ้าง


เราควรทำอย่างไร ?
 
ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพราะจะเป็นการตอกย้ำและสานต่อ วาทกรรมของความฉ้อฉลและความรุนแรงซึ่งไม่ใช่เฉพาะของทักษิณเท่านั้นแต่ยัง เป็นรัฐตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยที่จะมีการประท้วงที่จะลดความจริงลงเหลือเพียงตัว ทักษิณ จะเป็นสิ่งอันประเสริฐยิ่งหากว่าเราควรใช้โอกาสนี้ในการปฏิวัติหรือการสะสาง ความรุนแรงที่รัฐได้ใช้กับประชาชนย้อนหลังไปให้ได้มากที่สุดรวมไปถึงการ พิจารณารื้อฟื้นพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับอื่นที่รัฐเคยออกมาอย่างสบายๆ อีกด้วยไม่ใช่ปล่อยให้รัฐสับขาหลอกเพื่อคงเราไว้เป็นทาสเช่นนี้ไปเรื่อยๆ 
 
 
 
เชิงอรรถ

(1) มีผู้วิเคราะห์ว่าเป็นเครือข่ายพระราชา (Network Monarchy) หรือเครือข่ายที่ใช้เบื้องสูงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ เครือข่ายเหล่านั้นแม้จะมีศัตรูคนเดียวกันแต่ก็ไม่สามารถสั่งการหรือควบคุม กันได้ดังที่เสื้อแดงบางกลุ่มคิด ต่างฝ่ายต่างกระทำไปตามกระบวนทัศน์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐเป็นหลักผ่านเลนส์ การมองของแต่ละฝ่าย อันเป็นตัวสะท้อนว่ารัฐนั้นมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าปัจเจกหรือแม้แต่กลุ่ม ทางการเมือง (แม้แต่เสื้อแดงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันเพียงแต่มีกระบวนทัศน์ที่ค่อนข้าง แย้งกับกระบวนทัศน์หลัก) ดังนั้นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดในอนาคตกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีคนเพียงคนเดียวหรือไม่กี่คน สามารถกำหนดได้ตามใจได้อีกต่อไป

(2) หากใครได้อ่านหนังสือในเครือมติชนที่ชื่อ “นายใน” ซึ่งกล่าวถึงชีวิตของบรรดามหาดเล็กและผู้ใกล้ชิดของรัชกาลที่ 6 จะได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของ 3 สิ่งที่มักจะมาด้วยกันในการเมืองไทยคือเรื่องอำนาจ เงินและเซ็กส์  ผู้เขียนคิดว่าหนังสือเล่มนี้แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงจากผู้อ่านอย่างมาก แต่ข้อเท็จที่หนังสือนำเสนอสามารถสะท้อนถึงความฉ้อฉลอย่างสุดขั้วของราช สำนักในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชได้อย่างดี

(3) กระบวนการทำให้กลายเป็นคนนอกเป็นสิ่งที่คนไทยมักจะคุ้นเคยกันดีผ่านสื่อ ต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งละครน้ำเน่าซึ่งมักมีพล็อตเรื่องตายตัว มีพระเอก นางเอก และดาวร้ายซึ่งมักมีความชั่วร้ายผิดไปจากคนรอบข้างที่เราพบเห็นในชีวิตประจำ วัน  มักมีคนมองเกิดจากความงี่เง่าไร้สาระของคนไทยส่วนใหญ่ สำหรับผู้เขียนไม่เชิงเห็นด้วยหรือคัดค้านเท่าไรนักเพราะผู้เขียนคิดว่าละคร น้ำเน่าเป็นเครื่องมือที่ดีของรัฐในการเข้ามาควบคุมพฤติกรรมของประชาชนอย่าง ที่เราอาจจะคาดไม่ถึงผ่านการสะกดจิตซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนโฆษณา เช่นพระเอกกับนางเอกมักจะได้กันอย่างมีความสุข  อันเป็นสิ่งที่รัฐมักบอกเราว่าหากมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็จะได้รางวัลอย่างเช่น จะรณรงค์ให้คนไปเลือกตั้งหรือต่อต้านยาเสพติด ต่อสู้กับการฉ้อราษฎรบังหลวง ฯลฯ ในขณะที่ดาวร้ายซึ่งมีพฤติกรรมที่รัฐไม่ยอมรับเช่นการก่ออาชญากรรมต้องมีอัน เป็นไปอย่างน่าสยดสยอง สำหรับคนที่ประท้วงทักษิณและกลุ่มเสื้อแดงอีกหลายกลุ่มซึ่งผู้เขียนไม่ทราบ เหมือนกันว่าจำนวนมากหรือน้อยดีย่อมมีโลกทัศน์แบบละครน้ำเน่าคือพยายามแบ่ง โลกเป็นขาวดำ ทั้งที่ความจริง ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกหรือนางเอกก็มีความชั่วไม่ต่างกับดาวร้ายเช่น เป็นอาชญากรในคราบนักบุญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น