5 พฤศจิกายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากา รกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวกับสื่อมวลชนกรณี การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เมื่อเวลา 12.20น. หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อจากนี้เป็นเรื่องของวุฒิสภาที่จะเป็นผู้พิจารณา เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย โดยผลจะเป็นอย่างไรทุกฝ่ายน้อมรับ นอกจากนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ยังเรียกร้องให้ หยุดปลุกม๊อบ บิดเบือนกฎหมายสร้างความขัดแย้ง ย้ำไม่ใช่กฏหมายทางการเงิน และไม่ใช่กฏหมายล้างผิดคนทุจริต เพราะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยกโทษให้ผู้ได้รับผลพวงการรัฐประหาร และผู้ถูกกล่าวหากระทำต่อร่างกายและทรัพย์สิน รัฐจะไม่ใช้เสียงข้างมาก เป้าหมายคือปรองดอง วอนทุกฝ่ายลดอคติ
ทั้งนี้ เฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/Y.Shinawatra ได้โพสต์คำกล่าวของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อร่าง พระราชบัญญัติ นิรโทษกรรมฯ โดยมีเนื้อหาดังนี้
กราบเรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพรัก
จากความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาร่วม ๑๐ ปีได้สร้างความบอบช้ำให้กับประเทศอย่างมาก และเมื่อดิฉันได้รับเลือกตั้งเข้ามา ดิฉันเชื่อว่าคนไทยทุกคนเห็นตรงกันว่าหากความขัดแย้งดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปจะเป็นการบั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้
ดังนั้น นับแต่ที่รัฐบาลนี้ได้เข้ามาบริหารประเทศ ดิฉันได้ประกาศที่จะใช้นโยบายอย่างชัดแจ้งว่าจะร่วมกันสร้างความปรองดองของคนในชาติโดย ยึดหลักนิติธรรม และต้องการให้กลไกอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยได้แก่นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เป็นไปโดยสมดุล ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ซึ่งเจตจำนงค์ของรัฐบาลนั้นต้องการที่จะเห็นความปรองดอง ความสมานฉันท์ของคนในชาติอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดเมื่อเร็วๆนี้ดิฉันก็ได้เสนอแนวทางในการสร้างเวทีปฏิรูปการเมืองร่วมกับทุกฝ่ายที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างและความเห็นที่หลากหลาย อันเป็นกลไกหนึ่งในหลายๆกลไกที่หวังว่าจะร่วมสร้างความปรองดองและความสมานฉันท์ได้
ในขณะเดียวกัน ภายใต้กลไกที่สมดุลของอำนาจอธิปไตยในระบอบประชาธิปไตยนั้น จะทำให้เห็นได้ในหลายๆเวลาว่าเมื่อฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่างกฏหมายต่างๆหรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ในซีกของรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีก็มิได้ก้าวก่ายกลไกการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติเลย จนกระทั่งดิฉันเองกลับถูกกล่าวหาว่าละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ด้วย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วดิฉันต้องการให้ฝ่ายนิติบัญญัติได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่
สำหรับการที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันนั้น
โดยข้อเท็จจริงแล้วในหลายประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองถึงขั้นรุนแรง มีการเสียชีวิตและการสูญเสียทรัพย์สินนั้น ก็มีการนิรโทษกรรมมาก่อนและเป็นบทเรียนที่ประเทศไทยต้องศึกษา และหลักของการนิรโทษกรรมนั้น ก็เป็นทางออกทางหนึ่งที่ควรพิจารณา เพราะหากทุกฝ่ายเรียนรู้ที่จะให้อภัยซึ่งกันและกันแล้ว ดิฉันเชื่อว่าความขัดแย้งย่อมลดลง ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
แต่ที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา มีพี่น้องประชาชน จำนวนนับร้อยที่ต้องสูญเสียชีวิตและอีกหลายพันคนที่ได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรงที่มาจากความขัดแย้งที่มีต้นตอจากความคิดล้มล้างรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้น การนิรโทษกรรมไม่ได้หมายความว่า ให้เราจะลืมบทเรียนอันเจ็บปวด เราทุกคนต้องเรียนรู้ ต้องเข้าใจเพื่อไม่ให้ลูกหลานของเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก ขณะเดียวกัน ต้องร่วมมือกันให้ประเทศเดินหน้าได้ เราจะมาติดหล่มจนประเทศชาติต้องอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งต่อไปไม่ได้
และหากจะให้บ้านเมืองสงบ การให้อภัยนั้นต้องปราศจากอคติ ไม่ใช้อารมณ์ และเปิดใจกว้างให้ทุกฝ่ายของความขัดแย้ง มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ซึ่งดิฉันเข้าใจดีว่าทำใจได้ยาก แต่เราต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนร่วมมากกว่าความเจ็บปวดส่วนตน
มาถึงวันนี้ มีปัญหาว่าร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเสร็จแล้วนั้น ได้มีการนำเสนอสู่การพิจารณาของวุฒิสภาซึ่งถือเป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และกลไกปกติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างหนัก จนเกิดข้อขัดแย้งของคนในชาติหลายกลุ่ม หลายสถาบัน แม้กระทั่งระหว่างพรรคการเมืองและภายในพรรคการเมืองด้วยกัน ตลอดจนประชาชนในหลายหมู่เหล่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างพรบ.ดังกล่าวแล้ว ยังเห็นได้ว่ามีคนไทยหลายกลุ่มที่ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และยังไม่พร้อมที่จะให้อภัย ทั้งยังมีทีท่าที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
ดิฉันไม่อยากเห็นการนำพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้เกิดข้อถกเถียงและมีการให้ข้อมูลที่สับสนและถูกบิดเบือน โดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง
การบิดเบือนนั้นทำให้มีเกิดความเข้าใจผิดว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายการเงิน เพราะหากเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องลงนามรับรอง ซึ่งดิฉันไม่เคยลงนามใดๆ
ที่สำคัญมีความพยายามที่จะบิดเบือนว่ากฎหมายจะกลบเกลื่อนการทุจริต คอรัปชั่น ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับ พรบ.นิรโทษกรรม ซึ่ง พรบ. ฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ยกโทษให้ผู้ได้รับผลพวงทางการเมือง การรัฐประหารที่ไม่อยู่ในหลักนิติธรรม รวมทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
ดิฉัน ขอยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และจะไม่ใช้เสียงข้างมากมาฝืนความรู้สึกของประชาชนโดยเด็ดขาด เพราะรัฐบาลของดิฉันเป็นรัฐบาลของประชาชนทุกคน และย่อมต้องฟังเสียงทั้งที่สนับสนุนและเสียงคัดค้าน
เป้าหมายของ รัฐบาลชุดนี้คือการสร้างความปรองดองและทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ภายใต้ วิถีทางประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยใช้เหตุและผล ไม่ใช่การใช้อารมณ์
ภายใต้บรรยากาศของความขัดแย้งที่ปะทุอยู่นี้ รัฐบาลเห็นว่าทุกฝ่ายน่าที่จะหยุดคิด หยุดการกระทำที่จะสร้างความแตกแยกต่อไป
ทั้งนี้ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หากถือตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา
ดิฉัน จึงใคร่ขอเสนอให้วุฒิสภาโดยวุฒิสมาชิกซึ่งเป็นตัวแทนจากการแต่งตั้งและการ เลือกตั้ง ทั้งจากกลุ่มเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลได้กรุณาใช้ดุลยพินิจอย่างเต็ม ที่ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าวุฒิสภานั้นไม่มีใครก้าวก่ายได้ ได้โปรดใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา โดยอาศัยพื้นฐานความปรองดอง ความเมตตาธรรมกับผู้ที่เดือดร้อนและผู้ที่เจ็บปวดมาเป็นเวลานานให้ได้รับ ความยุติธรรมอย่างเสมอภาค
ซึ่งการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติ เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และไม่ว่าวุฒิสภาจะตัดสินใจอย่างไร จะไม่เห็นด้วยและยับยั้งกฎหมาย หรือมีการแก้ไขก็ตาม ดิฉันเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงคะแนนผ่านร่าง พรบ.ฉบับนั้นไปแล้ว จะยอมรับการตัดสินใจนั้นด้วยเหตุด้วยผลเพื่อความปรองดองของคนในชาติเช่นกัน
ทั้ง นี้กระบวนการทั้งหมดจะเป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา อันเป็นเป้าหมายหลักที่เราต้องช่วยกันรักษาไว้ เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนไทยทุกคน
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณทุกฝ่ายได้ทำงานอย่างหนักในฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อสนับสนุนแนว ทางปรองดอง ถือว่าทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถแล้ว เพื่อประเทศชาติ และขอให้ใช้เวลาต่อจากนี้เป็นเวลาของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมกันคิดและร่วมกัน ตัดสินใจในการพิจารณาแนวทางเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่มีอคติ และไม่ใช้อารมณ์ ด้วยใจที่เปิดรับและเห็นอกเห็นใจอันเป็นพื้นฐานของความปรองดองที่ประชาชนคน ไทยต้องการ
ขอบคุณค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น