2 พฤศจิกายน, 2013 - 11:40 | โดย pravit
สส.เพื่อไทยผ่านนิรโทษเหมาเข่งสุดซอยวาระสามแบบลักหลับตอนตีสี่ วันศุกร์ที่ 1 พย.ที่ผ่านมา แดงหลายคนอาจรู้สึกผิดหวัง เจ็บปวดหรือแม้แต่ถูกทรยศ แต่นี่ก็เป็นอกาสที่สังคมจะเรียนรู้อะไรบ้างเพื่อมิให้สังคมต้องย่ำอยู่กับ ที่ต่อไป ผมขอฝากบทเรียนราคาแพงให้เสื้อแดงและสังคมไทยพิจารณามา ณ.ที่นี้
1) บางครั้งฝ่ายตรงข้ามของผู้ที่ผิด คือผู้ที่ผิดอีกแบบนึง บางครั้งสิ่งตรงข้ามความตอแหลก็อาจเป็นความตอแหลอีกชุดหนึ่ง บางครั้งนอกกะลาใบหนึ่งก็คือกะลาอีกใบ สิ่งที่เป็นศัตรูกับเผด็จการก็มิจำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยเสมอไป หากอาจเป็นเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
2) ความรักและเกลียดชังนักการเมืองหรือชนชั้นนำแบบเน้นตัวบุคคลทำให้ประชาชน สนับสนุนในสิ่งที่มิควรสนับสนุนได้ และต้านในสิ่งที่มิควรจะต้านได้ การคลั่งตัวบุคคลมิใช่สาระแห่งประชาธิปไตย เพราะมันทำให้สังคมเป็นสังคมพึ่งพาตัวบุคคล มองตัวบุคคลดีหรือเลวเกินจริงและมิยอมใช้เหตุผลหรือยอมพิจารณาด้านมืดของคน ที่ตนรักและบูชา
3) การเมืองเป็นเรื่องการต่อรอง มิใช่เรื่องการบูชาคนดีหรือเกลียดคนชั่ว แต่คนไทยจำนวนมิน้อยยังมุ่งแสวงหาคนที่เขาอยากจะเชื่อและบูชาเป็นฮีโร่ ไม่ว่าฝ่ายไหน และมักมองหาซาตานเพื่อประกอบภาพขาวดำอันไม่ตรงกับความเป็นจริงอันสลับซับ ซ้อนและมิค่อยมีความจริงใจในหมู่นักการเมือง
4) การเมืองที่ยึดความเกลียดชังทำให้คนตาบอด สองสามวันนี้มีคนที่เกลียดแดงและดูถูกแดงว่าโง่ว่าเป็น ‘ควายแดง’ แสดงความสะใจกับความผิดหวังของเสื้อแดงจำนวนมิน้อยกับการผ่าน พรบ.นิรโทษเหมาเข่งโดย สส.เพื่อไทย พวกเขาหัวเราเยาะเย้ยที่เสื้อแดง โดยเฉพาะกลุ่มแดงก้าวหน้าและนักวิชาการแดงผิดหวังกับทักษิณและ สส.เพื่อไทย
ใน ฐานะผู้ที่มิใช่เสื้อแดงและมิเคยไว้ใจหรือชื่นชมทักษิณ ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่าคนเหล่านี้อาจเกลียดเสื้อแดงจนลืมไปว่าการนิรโทษ กรรมเหมาเข่งสุดซอยเป็นการผลักภาระให้คนรุ่นหลังในสังคมเพราะผู้มีอำนาจใน อนาคตคงพร้อมที่จะใช้กระสุนจริงยิงประชาชนเพราะย่ามใจว่าในอดีตไม่ว่ากี่ยุค กี่สมัยก็ได้รับการนิรโทษกรรม มิต้องรับผิดชอบใดๆ แถมความจริงก็ไม่ปรากฎว่าผู้ใดเป็นคนผิด พวกเขาดีใจกับการที่สังคมกำลังไม่ยอมหาคนผิดมาลงโทษเพียงเพราะพวกเขาเกลียด ชังและอยากเยาะเย้ยเสื้อแดงทั้งๆที่สังคมกำลังสูญเสียความยุติธรรมและความ จริง พวกที่สะใจกับความผิดหวังของเสื้อแดงคงลืมไปว่าการฆ่าโดยไม่รับผิดชอบและการ ไม่รู้ความจริงจะเป็นมรดกเลือดตกทอดสู่คนรุ่นหลังทั้งสังคม
พูดง่ายๆ พวกเขาเกลียดชังจนมิสามารถมองเห็นสังคมทั้งสังคมได้อีกต่อไป
แถม คนเหล่านั้นจำนวนมิน้อยยังถูกความรักและความเกลียดชังบังตาจนพร้อมที่จะสนับ สนุนนักการเมืองที่ถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนต้องร่วมรับผิดชอบกับความตายปี 53 ได้อย่างหน้าตาเฉย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น