วันนี้
( 5 ก.พ.) ที่อาคารนาวินคอร์ท ถ.สุขุมวิท
นายอุกฤษ มงคลนาวิน
ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ
(คอ.นธ.) แถลงวิพากษ์แนวทางการนิรโทษกรรม
ว่า ตามที่มีบุคคลหรือฝ่ายต่างๆ
ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่ตกเป็น
ผู้ต้องหาหรือจำเลยอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมืองทีผ่านมานั้น
โดยเฉพาะการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรม
หรือการเสนอร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง
ตามแนวทางของกลุ่มนิติราษฎร์นั้นมีข้อความพิจารณาทบทวนคือ แนวทางการตรา
พ.ร.ก.นิรโทษกรรม
ถือเป็นการหักดิบและปิดหูปิดตาสมาชิกรัฐสภาโดยฝ่ายบริหารเกินไป
ถึงแม้
พ.ร.ก.นิรโทษกรรมนั้นจะต้องมีการเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยเร็วก็ตาม
แต่การพิจารณาของรัฐสภาก็เป็นเพียงการอนุมัติหรือไม่อนุมัติเท่านั้น
โดยไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมในรายละเอียดได้เลย
ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะนำไปสู่ทางตัน
และเป็นเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคมไทยอย่างไม่จบสิ้น
นายอุกฤษ กล่าวอีกว่า
นอกจากนั้นแนวทางดังกล่าวยังมีปัญหาการตีความในข้อกฎหมายหากประกาศใช้แล้ว
สมาชิกรัฐสภาไม่เห็นด้วย ส.ส.และ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5
อาจใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่า พ.ร.ก.นั้น
ตราขึ้นโดยไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่งหรือวรรค 2
ซึ่งกำหนดไว้ว่าการตราพระราชกำหนดจะกระทำได้เฉพาะกรณีฉุกเฉินมีความจำเป็นรีบด่วนในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ
สาธารณะ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจเท่านั้น
ซึ่งตนเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า
พ.ร.ก.นิรโทษกรรมไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 ซึ่งมีผลทำให้
พ.ร.ก.ฉบับนี้ไม่มีผลตั้งแต่ต้น ตามมาตรา 185 วรรค3
ส่งผลให้ผู้กระทำผิดหรือจำเลยที่พ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดและได้รับอิสรภาพแล้วตั้งแต่วันที่ประกาศใช้
พ.ร.ก.นิรโทษกรรม
ต้องกลับคืนสู่สถานะผู้ต้องหาหรือจำเลยกลับเข้าสู่การคุมขังตามเดิม
ประธาน
คอ.นธ. กล่าวอีกว่า
ส่วนแนวทางการเสนอร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนิรโทษกรรมหรือการขจัดความขัด
แย้ง
ตนเห็นว่าแนวทางดังกล่าวจะสำเร็จได้ยากมาก
เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมเป็นเรื่องใหญ่มาก
ซึ่งจะเห็นได้จากร่างรัฐธรรมนูญ
แก้ไขเพิ่มเติมฉบับจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
หรือ ส.ส.ร. 3 ยังค้างอยู่ในวาระที่ 3
และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเดินไปในทิศทางใด
การเสนอร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนิรโทรกรรมฯ
อาจทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวประสบชะตากรรมเดียวกันกับร่างรัฐธรรมนูญ
แก้ไขเพิ่มเติม ดังนั้นแนวทางการตราเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตามข้อเสนอของ
คอ.นธ.
จึงมีความเหมาะสมและเป็นไปตามหลักสากลที่สุด
เพราะตามหลักการการตรากฎหมายนิรโทษกรรมควรเป็นอำนาจและอยู่ภายใต้ดุลยพินิจ
ของฝ่ายนิติบัญญัติ
ซึ่งกฎหมายนิรโทษกรรมถือเป็นข้อยกเว้นของหลักกฎหมายทั่วไปและมีผลต่อความสงบ
เรียบร้อยของบ้านเมือง
จึงควรได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบจากสมาชิกรัฐสภาในฐานะผู้แทนปวงชน
ชาวไทย
และควรใช้เวทีหรือกระบวนการทางรัฐสภาเพื่อหาทางออก
ทั้งนี้การริเริ่มเสนอร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสู่การพิจารณาของสภา ควรริเริ่มหรือมาจาก ส.ส.หรือ
ครม.
นาย
อุกฤษ กล่าวต่อว่า การพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะช้าหรือเร็วนั้น
ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของเนื้อหาหรือขอบเขตของการนิรโทษกรรมว่าจะครอบคลุม
ถึงบุคคลใดบ้าง
หากเนื้อหาของ
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมีความชัดเจนว่าการนิรโทษกรรมครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์
ของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง
และเป็นผู้ที่มีความสุจริตทางการเมืองและแสดงออกตามสิทธิในฐานะประชาชน
โดยไม่รวมถึงบรรดาแกนนำผู้ซึ่งมีอำนาจการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการ
เคลื่อนไหวทางการเมือง
และไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามกฎหมายรักษาความ
สงบหรือยุติเหตุการณ์ที่จะนิรโทษกรรมนั้นแล้ว
เชื่อว่าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะสามารถดำเนินการได้โดยเร็ว
เพราะเมื่อทุกฝ่ายเห็นด้วยหรือยอมรับเนื้อหาหรือขอบเขตดังกล่าวแล้ว
การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระที่ 2 ของทั้ง ส.ส.และส.ว.
อาจกระทำโดยกรรมาธิการเต็มสภา
หรือให้มีการพิจารณา 3 วาระรวด โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 30-45 วัน
ซึ่งจะเสร็จและประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ภายในสมัยประชุมสภานิติบัญญัติที่จะ
สิ้นสุดในวันที่
19 เม.ย.นี้
ทั้งนี้ตนได้ใช้ช่องทางเสนอผ่าน ครม.
โดยยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในวันเดียวกันนี้
ซึ่ง ครม.
มีคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความกฎหมายฉบับนี้ซึ่งจะทำให้กระบวนการเดินไปได้เร็ว
ยิ่งขึ้น
และไม่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องตีความเหมือนการออกเป็น
พ.ร.ก.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น