เพื่อตอบคำถามว่า ทำไมไม่ไปกดดันรัฐบาลด้วยการชุมนุม เพราะเราใช้หลักความเป็นมิตรไม่สร้างหรือขยายความขัดแย้งในหมู่ประชาชน จึงนำเสนอพระราชกำหนดนิรโทษกรรม โดยให้คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นตัวแทนไปเจรจากับนายกรัฐมนตรี
โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ
ที่มา เว็บไซต์ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
ก่อนที่จะไปสู่การอธิบายปัญหาบางประการที่ได้กล่าวไว้ในบทความที่แล้ว ก็
ได้พบว่ามีผู้สนใจแสดงแง่คิดที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้
แสดงความคิดเห็นในเชิงหลักการเพิ่มเติม เพื่อทำให้ความคิดเห็นในด้านหลัก
การการแก้ไขความขัดแย้งในหมู่ประชาชนอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น กล่าวคือ
ประการแรก ข้อเสนอสามประการคือ
“สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี” “รักษาโรคเพื่อช่วยคน” และ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”
นั้น
ใช้กับทุกส่วนในหมู่มิตร ไม่ใช่เรียกร้องกับเฉพาะผู้วิพากษ์วิจารณ์
นปช. เพราะนปช.และผู้ถูกวิจารณ์อื่น ๆ
ก็ต้องใช้เช่นเดียวกัน ถือว่าใช้กับทุกส่วนในหมู่มิตร เพราะเมื่อมีผู้
วิจารณ์ออกไปด้วยท่วงทำนองไม่ถูกต้องประหนึ่งท่าทีต่อศัตรู และที่สำคัญคือ
“เนื้อหาไม่ถูกต้อง”
โดยจงใจบิดเบือนความจริงหรือบนข้อมูลไม่ครบถ้วน ก็จะทำให้เกิดการวิจารณ์
ตอบโต้กลับเช่นกัน ดังนั้นหลักการเช่นนี้ก็ต้องใช้กับ “ทุกฝ่าย”
ในความขัดแย้งในหมู่ประชาชนเพื่อรักษามิตรมิใช่ทำลายมิตร
นี่
ไม่ใช่การเรียกร้องต่อผู้วิจารณ์ องค์กรนปช. แต่หมายถึงฝ่ายประชาชนทุก ๆ
ฝ่ายต้องพยายามยึดกุมให้ได้ด้วยความอดกลั้น อดทน โดยเอาผลประโยชน์ประชาชน
เป็นตัวตั้ง การพยายามอธิบายความเข้าใจที่ไม่ตรงกันหรือแก้ไขสิ่งที่ถูกบิด
เบือนผิด ๆ ก็ควรอยู่บนผลประโยชน์ของขบวนทั้งขบวน
ประการที่สอง “แสวง
จุดร่วม
สงวนจุดต่าง” เราจะใช้เมื่อผ่านการอภิปรายด้วยเหตุด้วยผลและข้อมูล แล้ว
ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน เราก็ต้องยึดหลักการนี้โดยเอาเรื่องใหญ่เพื่อการ
ต่อสู้ของประชาชนได้บรรลุเป้าหมายเป็นสำคัญ นี่จึงเป็นหลักการที่ใช้กับ
องค์กรคนละองค์กร ใช้กับคนละกลุ่ม หรือใช้ในแนวร่วมสำหรับขบวนการคนเสื้อ
แดงนั้นต้องใช้ตลอดเวลา เพราะขบวนการประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงนั้นหลากหลาย
ด้วยจุดยืน ด้วยเป้าหมาย และวิธีการ ดังนั้นคำพูดนี้จึงต้องใช้ให้มากสัก
หน่อย ยามที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งที่มีเป้าหมายใหญ่ในการ
ต่อสู้ร่วมกัน เพราะท่ามกลางการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ใหม่ที่ฝ่ายประชาชน
ได้เป็นรัฐบาล เป็นเรื่องยากที่จะเกิดความเป็นเอกภาพทางความคิดและการกระทำ
ทั่วทั้งขบวนในการขับเคลื่อน
ประการที่สาม สิ่ง
ที่เร่งความขัดแย้ง เพิ่มความขัดแย้งในหมู่ประชาชนให้พุ่งขึ้นสูง ที่
สำคัญมิใช่ท่วงทำนองประหนึ่งเป็นศัตรู แต่เป็นเนื้อหาที่ไม่เป็นความจริง
โดยจงใจบิดเบือน ใส่ร้าย ให้มิตรถูกดูถูกเหยียดหยามและถูกเกลียด
ชัง เพราะถ้าจงใจใส่ความเท็จ นี่จะเป็นตัวเร่งความขัดแย้งให้พุ่งสูงขึ้น
ทันที
และ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แม้ว่าขบวนประชาชนนั้นจะไม่ใช่
ขบวนปฏิวัติก็ตาม เพราะการใช้ความจริงนั้นเป็นอาวุธที่ทรงพลังของประชาชน
ผู้ถูกกระทำจากผู้ปกครอง และแม้แต่ต่อพวกปฏิปักษ์ต่อประชาชน ประชาชนก็
ต้องใช้ความจริงไปโจมตี ใช้การโป้ปดมดเท็จไม่ได้เป็นอันขาด ดังนั้นในขบวน
การประชาชนไม่อนุญาตให้กล่าวเท็จใส่ร้ายต่อฝ่ายประชาชนด้วยกันเองเป็นอัน
ขาด และต้องถือเรื่องนี้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ มิใช่ข้อเรียกร้องขั้นสูงแต่
ประการใด
ประการที่สี่ มี
ผู้เสนอประโยคที่ว่า “ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวรณ์” นี่เป็นข้อเสนอที่
เรียกร้องต่อ “ผู้ถูกวิจารณ์” โดยที่ต้องเข้าใจว่า ประโยคนี้ใช้เมื่อ
ไร? นั่นคือ ถ้าผู้พูดที่บอกว่าไม่ผิด (แม้ว่าจะพูดอย่างผิด
ๆ) คือมวลชนที่ถูกป้อนข้อมูลผิด ๆ หรือมวลชนปฏิกิริยา
(มวลชนระบอบอำมาตย์) ผู้ฟังคือฝ่ายประชาชน
“พึงสังวรณ์”นี่ย่อมถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นแกนนำของประชาชน เพราะใน
ขบวนประชาธิปไตย แกนนำมิใช่ผู้นำแบบพรรคปฏิวัติ ฝ่ายประชาชนทั้งหมดพึงสัง
วรณ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดเช่นกัน
แต่
ถ้าผู้พูดเป็นผู้มีบทบาทในฝ่ายประชาชน และมีภาวะเป็นแกนนำระดับใดระดับ
หนึ่ง (ทางความคิดและการเคลื่อนไหว) จะพูดอะไรแล้วอ้างเอาว่า
“ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวรณ์” ก็คงไม่ได้แน่ เพราะเท่ากับว่าตนสามารถ
พูดอะไรก็ได้ พูดผิด ๆ
พูดใส่ร้าย บิดเบือนความจริงก็พูดได้ เป็นหน้าที่ของผู้ฟังพึงสังวรณ์เช่น
นั้นหรือ
ถ้า
เป็นเช่นนั้นผู้พูดดังกล่าวก็ไม่ต่างอะไรกับมวลชนของพวกปฏิกิริยาล้า
หลัง หรือเป็นแบบเดียวกับนักการเมืองพรรคปฏิกิริยาล้าหลังบางพรรคที่
“พูดเอาดีใส่ตัว
เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และนี่จะเป็นแบบอย่างของการไร้ความรับผิดชอบต่อคำพูด
หรือการกระทำของตนที่ส่งผลร้ายต่อขบวน และถ้าพูดกันให้ถึงที่สุด นี่ไม่
ควรเป็นวิธีคิดของฝ่ายประชาชน “ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังควรสังวรณ์” บ่งถึง
ความต่างชั้น ต่างระดับของผู้พูดและผู้ฟังดังตัวอย่างเช่น
ชาวบ้านกับหัวหน้าพรรคการเมือง มีหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่บางพรรคก็จะ
โต้ตอบกับประชาชนที่เป็นผู้หญิง 2-3 ท่านอย่างเอาเป็นเอาตายในตลาด
ดัง
นั้น ตรงข้าม ผู้เขียนคิดว่าจะถูกต้องกว่า ถ้าใช้ “ไม่สำรวจ (ข้อมูล)
ย่อมไม่มีสิทธิวิจารณ์” นี่ควรจะเป็นเนื้อหาที่เอามาใช้ในการแก้ความขัด
แย้งในหมู่ประชาชน ไม่ใช่ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวรที่จะเติมเชื้อไฟและ
เร่งให้ความขัดแย้งในหมู่ประชาชนเพิ่มสูงขึ้น อาจมีบางท่านกล่าวว่า นี่
เป็นการเรียกร้องต่อผู้วิจารณ์อีกเช่นกัน เพราะนี่จึงจะนำไปสู่ “สามัคคี
วิจารณ์ สามัคคี” ได้ และไม่ใช่เรื่องของการ “ประจาน”
ที่หมายความว่าเอาเรื่องความจริงที่เป็นความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกใน
หมู่ประชาชนมาบอกเล่าต่อสาธารณะ เพราะการวิจารณ์ที่อยู่บนพื้นฐานของการ
สำรวจข้อมูลมาพอสมควรจึงจะสามารถนำเสนอได้โดยไม่มีอคติ และความมุ่งร้าย
ทำลายต่อกันจึงจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งในหมู่ประชาชนได้ ไม่ว่าจะ
เป็นฝ่ายใดในหมู่ประชาชน
ถาม
ว่าอนุญาตให้มีข้อมูลไม่ครบถ้วนวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่ ย่อมได้แน่
นอน และอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ผิดได้ โดยผู้พูดไม่มีความผิดในแง่เจตนาทำลาย
ขบวน แต่บกพร่องในเรื่องข้อมูล เพราะไม่ได้มีเจตนาพูดเท็จใส่ร้ายป้ายสี
และอยู่บนพื้นฐานแห่งการสำรวจระดับหนึ่ง ข้อนี้อาจจะเป็นการเรียกร้องต่อ
ผู้พูดที่มีความรับผิดชอบพอสมควร เพราะการพูดวิพากษ์วิจารณ์ผิด ๆ
หรือจงใจเท็จ แม้อาจมีคนเชื่อถือในตอนแรก ๆ แต่นาน ๆ
ไปคนก็จะรู้ว่าความจริงคืออะไร ผู้พูดก็หมดความน่าเชื่อถือเอง เช่น
พวกที่อ้างวาทกรรม
“ล้มเจ้า” “เผาบ้านเผาเมือง” “มีชายชุดดำ” หรือในหมู่ประชาชนเองที่แกนนำ
กลุ่มหนึ่งหรือคนหนึ่งโจมตีแกนนำอีกกลุ่มหนึ่งด้วยความเท็จ หรือการโต้ตอบ
ผู้วิจารณ์กลับด้วยความเท็จ ผู้พูดก็จะหมดความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญคือ
การเพิ่มความขัดแย้งระหว่างฝ่ายประชาชนด้วยกันให้สูงยิ่งขึ้น เนื้อความที่
ว่า “ไม่สำรวจ ไม่มีสิทธิวิจารณ์” จึงทำให้ทุกฝ่ายเกิดความยับยั้งชั่งใจ
ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือโต้ตอบการวิพากษ์วิจารณ์อีกที โดยพยายามตรวจ
สอบข้อมูลให้มากสักหน่อย นี่จึงจะเป็นการยกระดับความรับผิดชอบต่อคำพูดและ
การกระทำของตนว่าจะมีผลเสียหายต่อขบวนหรือไม่ นี่ยอมมิใช่การจำกัดการ
วิพากษ์วิจารณ์
โดย
เฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันการสื่อสารสมัยใหม่ เพียงแค่คิดว่าเครียด, ดีใจ,
หิวข้าว,
กินข้าวอิ่ม ก็กดแป้นระบายความรู้สึกออกมาแล้วโดยไม่ต้องคิด จึงมีโอกาส
ที่จะสื่อสารได้เร็วมาก ก่อนที่จะมีข้อมูลและเนื้อความก็จะถูกส่งออกไป
อย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การโจมตีวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ยังไม่
ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลหรือด้วยอารมณ์ไม่พึงพอใจจะระบาดลุกลามอย่างรวด
เร็ว จึงเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต้องอดทนที่จะชี้แจง ผู้เขียนซึ่งเคยชินกับ
การสื่อสารยุคโบราณจึงไม่สันทัดในโลกไซเบอร์ โดยทั่วไปก็จะคิดว่าประเดี๋ยว
คนก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร เพราะความจริงนั้นจะทนต่อการพิสูจน์ แต่
ปัจจุบันก็พบว่า ถ้าความเชื่อถูกสร้างให้เกิดขึ้นเร็วในโลกไซเบอร์ และความจริงมาช้าเกินไปก็ส่งผลเสียหายใหญ่หลวงเช่นกัน
รูปธรรม
ในการนำเสนอเพื่ออธิบายความสงสัยในหมู่ประชาชนนั้น ผู้เขียนยังไม่ได้นำ
เสนอในบทความนี้ รวมถึงมีปัญหาบทเรียนการต่อสู้ของประชาชน แต่ขอพูด
ประเด็นเดียวในการอธิบายประกอบหลักการคือ เหตุใดนปช.ไม่เคลื่อนไหวกดดัน
รัฐบาล นปช.ได้แถลงข่าวในวันพุธที่ 6 ก.พ. 56
แล้วว่าจะไม่ใช้วิธีนำมวลชนมาชุมนุมกดดันรัฐบาลเพราะจะใช้ท่วงทำนองมิตรใน
การนำเสนอพระราชกำหนดนิรโทษกรรม โดยให้คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เป็นตัวแทนไปเจรจากับนายกรัฐมนตรี แต่เนื้อหาคือ การออกพระราชกำหนดโดย
อาศัยอำนาจบริหารซึ่งจะเกิดผลเร็วที่สุด นั่นคือมีผลในทางปฏิบัติต่อรัฐบาล
ที่หนักหน่วงอย่างยิ่งว่าจะยินดีปฏิบัติหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลวิกฤตประเทศ
ที่ฝ่ายประชาชนยากที่จะอดทนต่อไปอีกแล้ว และเพื่อป้องกันภัยพิบัติที่จะมา
สู่ความมั่นคงของประเทศในเวลาอันใกล้นี้ ถ้าไม่หาทางออกให้แก่ประเทศไทย
แต่
เราก็ใช้ท่วงทำนองอย่างมิตรที่ขอให้ใช้เวลาไม่นานเกินไป ขอให้มีการปฏิบัติ
การโดยเร็วที่สุด จะเลือกใช้ พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.
หรือร่างรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ทำให้เร็วที่สุดดังนี้เป็นต้น เพื่อตอบคำถาม
ว่า ทำไมไม่ไปกดดันรัฐบาลด้วยการชุมนุม เพราะเรา
ใช้หลักความเป็นมิตรไม่สร้างหรือขยายความขัดแย้งในหมู่ประชาชน แต่จุดยืน
และเนื้อหานั่นต่างหากที่แสดงออกถึงความมั่นคง ยืนหยัดต่อข้อเรียกร้องบนผล
ประโยชน์ของการต่อสู้ของประชาชน
พูด
ง่าย ๆ
คือกดดันด้วยเนื้อหาของฝ่ายประชาชนนั่นเอง สำหรับคำชี้แจงในเรื่องอื่น
ๆ จะอธิบายประกอบหลักการต่อไป แม้ว่าได้ชี้แจงกันมาหรือมีข้อมูลนำเสนอมา
ก่อนนี้ก็ตาม แต่เมื่อมีการพูดซ้ำ ๆ
ก็จำเป็นต้องอธิบายชี้แจงและปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป
**********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ความขัดแย้งภายในหมู่ประชาชนและหลักการแก้ปัญหา (ตอน1)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น