วันชัย แซ่ตันและคดี ๑๑๒
รศ.ดร. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ที่มา เฟซบุ๊ค สุธา ยิ้ม
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายนที่ผ่านมา ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายวันชัย แซ่ตัน สัญชาติสิงคโปร์ซึ่งถูกคุมขังจากความผิดตามมาตรา ๑๑๒ ได้รับการอภัยโทษและปล่อยตัว โดยมีภรรยา เพื่อน และประชาชนจำนวนหนึ่ง รวมทั้งน.ส.สุดา รังกุพันธุ์ จากกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลคอยรอให้กำลังใจ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า นายวันชัยไม่ได้มีโอกาสแห่งอิสรภาพเลย เพราะตำรวจจากจาก สน.ดุสิต เจ้าของคดีได้มารับตัวเขาไปส่งยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และในที่สุดก็ได้ดำเนินการเนรเทศกลับสิงคโปร์ในวันที่ ๖ มิถุนายน
ทั้งนี้ วันชัย แซ่ตัน หรือ อาฮง อายุ ๕๕ ปี เป็นชาวสิงคโปร์ที่อยู่ในประเทศไทยมา ๓๖ ปี พูด อ่าน เขียนภาษาไทยได้ เดิมมีอาชีพมัคคุเทศก์ และมีภรรยาเป็นชาวไทยมีอาชีพค้าขายเสื้อผ้า ด้วยความที่เป็นมัคคุเทศ จึงชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทย และมีความชื่นชมในพระเจ้าตากสิน เมื่อเกิดการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ คุณวันชัยไม่เห็นด้วย และยิ่งรับไม่ได้กับการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตร ที่เป็น”ม็อบมีเส้น”ยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน ทำให้กิจการท่องเที่ยวตกต่ำลง เขาจึงเข้าร่วมการชุมนุมกับฝ่ายคนเสื้อแดงมาตั้งแต่แรก
รายงานเล่า ว่า คุณวันชัยได้ค้นคว้าสาเหตุของการรัฐประหารและเขียนเป็นเอกสารชื่อ “พระไตรปิฎกฉบับแก้แค้น” ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การเมืองหลังรัฐประหารอย่างรุนแรง และอธิบายถึงพลังอำนาจลึกลับที่สนับสนุนฝ่ายพันธมิตรฯ เอกสารชุดแรกที่เขาเขียนหนาถึง ๕๐ หน้า แต่พบว่าเมื่อเอาไปแจกไม่ค่อยมีใครอ่าน จึงทำเป็นฉบับย่อเหลือ ๖ หน้า แล้วนำไปแจกเวลามีการชุมนุมของฝ่ายคนเสื้อแดง
เมือวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ขณะที่คุณวันชัยนำเอกสารไปแจกในที่ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล เขาถูกจับกุมโดยการ์ดของ นปช. และได้ถูกคุมตัวมาส่งให้แกนนำ ขณะนั้นพบว่า เอกสารที่คุณวันชัยแจก น่าจะมีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง ทางฝ่าย นปช.ต้องการแสดงตนว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณวันชัยและเอกสารดังกล่าว กลัวการถูกใส่ร้ายป้ายสีว่า ไม่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ จึงได้นำตัวคุณวันชัยมาแถลงข่าว และแจ้งให้ตำรวจ สน.ดุสิต มานำตัวนายวันชัยไปดำเนินคดี คุณวันชัยจึงสิ้นอิสรภาพตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานายวันชัยเล่าว่า รู้สึกเสียใจและโกรธ นปช. มาก ที่ทำเช่นนั้น ตั้งแต่ถูกจับกุมตัวและถูกดำเนินคดีตามมาตรา ๑๑๒ เขาก็ถูกฝากขังและไม่ได้รับการประกันตัว โดยศาลอ้างว่าเป็นคดีที่มีบทลงโทษสูง จึงติดคุกเรื่อยมา คุณวันชัยยืนยันว่าข้อเขียนของเขานั้นเป็นความจริง และเมื่อเขายืนยันเรื่องนี้ต่อศาล ศาลก็ไม่อนุญาตให้อธิบายและพิสูจน์ข้อเท็จจริง และยังพิจารณาคดีแบบปิดลับ แม้กระทั่งภรรยาก็ยังต้องออกไปนอกห้องระหว่างการพิจารณา ด้วยความเครียดจากการถูกดำเนินคดีและจากสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำ ซึ่งนายวันชัยระบุว่ากินไม่ค่อยได้ นอนไม่เคยหลับ ทำให้เขาแสดงอารมณ์โกรธและพูดจาวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงภายในศาล กระทั่งถูกส่งไปสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ซึ่งเป็นสถานบำบัดผู้ป่วยจิตเวช และอยู่ที่นั่น ๒ เดือน
จนในที่สุด ศาลก็ตัดสินลงโทษคุณวันชัยจากเหตุการณ์แจกเอกสารทื่ทำเนียบรัฐบาลดังกล่าว ให้จำคุก ๑๐ ปี และยังถูกตัดสินความผิดจากอีกคดีหนึ่งในข้อหาเดียวกัน กรณีนำใบปลิวทางการเมืองไปวางไว้ในบริเวณโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ศาลพิพากษาจำคุก ๕ ปี รวมแล้ว คุณวันชัยถูกตัดสินจำคุก ๑๕ ปี แต่ศาลพิจารณาว่า คุณวันชัยให้การรับสารภาพและให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาทางคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้หนึ่งในสาม เหลือจำคุก ๑๐ ปี
ปรากฏว่า คุณวันชัยตัดสินใจที่จะไม่สู้คดี จึงไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับนักโทษในคดี ๑๑๒ ที่นำโดย คุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ คุณธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ในจดหมายถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ลงวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
“ดังนั้นพวกข้าพเจ้าซึ่งเป็น กลุ่มบุคคลที่ถูกพิพากษาจำคุกในคดีเดียวกัน อันเป็นความผิดจากการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของบ้านเมือง หรือบางคนใช้ความรู้สึกคึกคะนองอย่างรู้เท่าไม่ถึงกาล เป็นการใช้เสรีภาพอย่างผิดพลาด มิได้เป็นอาชญากรชั่วร้ายแต่อย่างใด
บัดนี้พวกข้าพเจ้าทั้งหมดรู้สึกสำนึกผิดด้วยความเสียใจยิ่ง ต่อการกระทำที่ผิดพลาด จึงไม่ขอต่อสู้คดี ยอมรับสารภาพให้ศาลตัดสินใจลงโทษจนคดีถึงที่สุด และใช้สิทธิ์ยื่นเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษ จึงร้องทุกข์ต่อท่านนายกรัฐมนตรี ได้โปรดพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือพวกข้าพเจ้าให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานด้วยเถิด”
ปรากฏว่า คุณวันชัยได้รับพระราชทานอภัยโทษหลังจากที่ถูกจำคุกมานานกว่า ๔ ปี ขณะที่คนอื่นยังไม่ได้รับการปล่อยตัว เช่น คุณสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก ๑๒ ปี และถูกจำคุกมาแล้วราว ๒ ปีครึ่ง และคุณธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ที่ถูกตัดสินจำคุก ๑๓ ปี และถูกขังมาแล้วกว่า ๓ ปี นอกจากนี้ ยังคงมีผู้ต้องขังรายอื่นคือ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่ศาลตัดสินจำคุก ๑๐ ปี และถูกขังมาแล้วกว่า ๒ ปี กับ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ถูกศาลตัดสินจำคุก ๑๕ปี และติดคุกมาแล้วเกือบ ๕ ปี ทั้งสองคนต่อสู้คดี และขณะนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนนายยุทธภูมิ มาตรนอก ที่ถูกพี่ชายแจ้งความจับ อยู่ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น
สำหรับ คุณวันชัย แซ่ตัน แม้ว่า จะพ้นจากคดี ๑๑๒ แล้ว ก็ยังมีคดีลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายค้างอยู่อีกคดีหนึ่ง จึงได้ถูกเนรเทศ ทั้งที่นายวันชัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และมีภรรยาเป็นไทย ได้มีความพยายามในการช่วยเหลือเพื่อเรียกร้องต่อกรรมการสิทธิมนุษย์ชนให้ใช้ สิทธิไม่พรากจากครอบครัว เพื่อให้คุณวันชัยสามารถอยู่ในประเทศไทยได้ต่อไป แต่ก็ยื่นเรื่องไม่ทันเพราะตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รีบส่งตัวคุณวันชัยไปสิงคโปร์โดยทันที
กรณีของคุณวันชัย แซ่ตัน จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนถึงชตากรรมอันน่าเศร้าของประชาชนผู้ตกเป็น เหยื่อของมาตรา ๑๑๒ แต่กระนั้น ความพยายามที่จะใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองก็ยังคงมี อยู่ต่อไป ดังจะเห็นได้จากรายงานข่าวเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า มีกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่ใช้ชื่อว่า "คณะคนรักในหลวงจังหวัดพิษณุโลก" ไปแจ้งความกล่าวหาว่า มีบุคคลใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งลงข้อความ-รูปภาพ เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงขอให้ตำรวจตรวจสอบและดำเนินคดี ปรากฏว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงท่าทีสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว
ต่อมา ในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ นายวรินทร์ อัฐนาค หนึ่งในคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านการแก้ปัญหาความยากจน และเป็นแกนนำคนเสื้อแดงมุกดาหาร โดยกล่าวหาว่ามีการโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กผิดตามมาตรา ๑๑๒ และยังโจมตีด้วยว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ดำเนินการปิดกั้นและดำเนินคดีต่อความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในโลกไซเบอร์ ไม่เพียงพอ ไม่สอดคล้องกับงบประมาณที่ใช้แต่กระนั้น ในความเห็นของนายจาคอบ แมทธิว ประธานสมาคมสมาคมสื่อหนังสือพิมพ์และผู้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์โลก ถือว่า มาตรา ๑๑๒ ในสังคมไทยนั้น สร้างบรรยากาศให้เกิดความหวาดกลัว และขัดหลักการของเสรีภาพสื่อมวลชน ประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมก็คือ การที่ใครก็ได้สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษต่อใครก็ได้ที่เชื่อว่าคนคนนั้นกระทำ การหมิ่นเบื้องสูง
เมื่อเป็นเช่น นี้ น่าจะถึงเวลาของสังคมไทย ที่จะต้องพิจารณาผลร้ายจากมาตรา ๑๑๒ อย่างเป็นจริง และหาทางยกเลิกเสีย ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกไม่น้อย ที่จะต้องถูกดำเนินคดีและติดคุกอย่างไม่เป็นธรรม และจะทำให้สถานะด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยดีขึ้นด้วย
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
จากโลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ ๔๑๕ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น