ที่มา Thai E-News
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2556
มาตรการ
ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอันเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดก็คือ
โครงการรับจำนำข้าว เพราะแม้แต่ที่ปรึกษา นักวิชาการ
และสื่อมวลชนบางคนที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ก็ยังแสดงความกังวลต่อโครงการ
เนื่องจาก
นี่เป็นโครงการที่รัฐบาลช่วยเหลือชาวนาด้วยการรับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่า
ราคาตลาด แล้วนำมาระบายออกในราคาต่ำ จึงก่อให้เกิดการขาดทุน
ซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับโครงการช่วยเหลือเกษตรกรในลักษณะนี้
ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวจึงเป็นเป้าหมายที่พรรคฝ่ายค้าน
นักวิชาการและสื่อกระแสหลักที่เกลียดชังรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมุ่งบิดเบือน
ไส่ไคล้ ปั้นตัวเลขเกินจริงตลอดมา
ล่าสุดคือ
การปั้นแต่งตัวเลขให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท
ประกอบด้วยขาดทุนจากการรับจำนำข้าว 2 แสนล้านบาทและค่าบริการจัดการอีก 6
หมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีแหล่งอ้างอิง
แต่ขานรับกันเป็นทอด ๆ กระพือโดยสื่อกระแสหลักให้เป็นกระแสโจมตีรัฐบาล
ที่แย่ไป
กว่านั้นคือ ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการชี้แจงรายละเอียดของโครงการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งจะแม้จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวไปได้ด้วยดี
แต่กลับไร้ความสามารถในการทำความเข้าใจกับสาธารณชน ที่แย่ไปกว่านั้นคือ
การให้สัมภาษณ์หรือการแถลงข่าวแต่ละครั้งของรัฐมนตรีเต็มไปด้วยความคลุม
เคลือ สร้างความสงสัยเพิ่มมากขึ้นทุกทีในสาธารณชน
กรณี
ตัวอย่างคือ
การแถลงโดยรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันศุกร์ที่ 7
มิถุนายน 2556 ซึ่งน่าอเน็จอนาถอย่างยิ่ง
เป็นการแถลงที่ไม่มีความพร้อมในทางหลักเหตุผลและข้อมูล
เอาแต่ตอกย้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่แค่ว่า
“ตัวเลขขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทนั้นไม่จริง ยังมีข้าวในสต๊อกที่ขายไม่หมด
โครงการยังไม่จบ จึงสรุปไม่ได้” นอกนั้นแล้ว
ก็ไม่สามารถตอบคำถามที่เต็มไปด้วยอคติของสื่อกระแสหลักที่ตั้งหน้าทิ่มแทง
รัฐบาล
รัฐมนตรี
ว่าการและรัฐมนตรีช่วยนั้นไร้เดียงสาเสียจนเชื่อว่า การปฏิเสธตัวเลขขาดทุน
2.6 แสนล้านบาทแบบห้วน ๆ เช่นนี้ ผู้คนเขาก็จะเชื่อทันทีเลยหรือ?
ถ้ารัฐมนตรีทั้งสองท่านจะแถลงเพียงแค่นี้ ก็อย่าออกหน้ามายังจะดีกว่า
หรือที่จำต้องตากหน้าออกมาแถลงอย่างเสียไม่ได้ก็เพียงเพราะถูกนายกรัฐมนตรี
สั่งแค่นั้น?
การแถลงใน
ครั้งนี้จึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
และกลับยิ่งช่วยกระพือกระแสการโจมตีและความสงสัยในหมู่ประชาชนที่มีต่อ
โครงการรับจำนำข้าวให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก!
ตัวเลขขาด
ทุน 2.6 แสนล้านบาทมีที่มาสองแหล่ง ชุดแรกเป็นการเหมารวมยอดการจำนำข้าวนาปี
2554/55 นาปรัง 2555 และข้าวนาปี 2555/56 ทั้งสิ้นราว 2 แสนล้านบาท
เอาโครงการคนละปีงบประมาณมาปะปนกัน
ซึ่งถ้าเป็นตัวเลขขาดทุนจริงก็หมายความว่า ข้าวสารทุกเมล็ดกว่า 20
ล้านตันต้องเสียหายหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้
ส่วนตัวเลข 2.6 แสนล้านบาทชุดที่สองเป็นการปั้นแต่งตัวเลข ได้แก่
ค่าบริหารที่อ้างว่า สูงถึง 6 หมื่นล้านบาท ก็มาจากตัวเลขที่สองนักวิจัยคือ
นิพนธ์ พัวพงศกรกับอัมมาร สยามวาลา
ได้คำนวณไว้และนำมาโจมตีโครงการนี้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555
ส่วนตัวเลขขาดทุนจากการขายข้าวนั้น เป็นการสมมติให้รัฐบาลขายข้าวสารปี
2554/55 จำนวน 7.65 ล้านตันในราคาตันละ 15,000 บาท ได้เป็นเงิน 1.1
แสนล้านบาท ขณะที่ต้นทุนการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นเงินรวมกว่า 3 แสนล้านบาท
ส่วนต่างจึงเป็นการขาดทุน 2 แสนล้านบาท
ตัวเลขที่
แท้จริงคือ ในปีการผลิต 2554/55 (นาปีและนาปรัง)
รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือกทั้งสิ้น 21.7 ล้านตัน เป็นเงินทั้งสิ้น 3.3
แสนล้านบาท มีค่าบริหาร 1.5 หมื่นล้านบาท รวมต้นทุนทั้งสิ้น 3.5 แสนล้านบาท
รัฐบาลได้ระบายข้าวสารออกไปแล้วราว 3 ล้านตัน เป็นรายรับ 6 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันเหลือเป็นข้าวสารในสต็อกอีกจำนวนราว 10 ล้านตัน
หากตีราคาข้าวสารจำนวนนี้ในราคาตลาดปัจจุบันหักลบด้วยค่าใช้จ่ายจริงทั้งหมด
ก็จะได้ตัวเลขขาดทุนทางบัญชี (เพราะยังไม่ได้ขายข้าวสารออกไปจริง)
คำนวณโดยกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 คือ 1.4 แสนล้านบาท
ซึ่งยังต่ำกว่าตัวเลขเท็จ 2.6 แสนล้านบาทเกือบครึ่ง!
กระทรวง
พาณิชย์ได้ระบายข้าวปี 2554/55 ออกไปน้อยมาก
สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะราคาข้าวสารในตลาดโลกได้ตกต่ำลงอย่างมากเนื่องจากการ
ทุ่มส่งออกของอินเดียที่ราคาเพียง 400-450 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน
ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 532
ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันและมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อย ๆ
ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้และรัฐบาลจำต้องระบายข้าวออกไปโดยเร็ว
ตัวเลขขาดทุนจริงก็จะเกินกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่า อยู่ที่ 7-8
หมื่นล้านบาท
ปีการผลิต
2554/55 ชาวนาที่เข้าโครงการมีจำนวน 2.7 ล้านราย ยอดเงินรับจำนำ 3.3
แสนล้านบาท ปัจจุบันมีคดีทุจริตที่ตรวจพบ 1,800 คดี
ตั้งแต่คดีละไม่กี่แสนบาทไปจนถึงคดีละนับสิบล้านบาท โดยรวมแล้ว
จะมีเงินตกถึงมือชาวนาเฉลี่ยรายละประมาณ 120,000 บาท แน่นอนว่า
ชาวนาจะได้รับจริงตามจำนวนผลผลิต ชาวนาที่เพาะปลูกพื้นที่มากก็จะได้มาก
ชาวนาที่เพาะปลูกพื้นที่น้อยก็จะได้น้อยตามสัดส่วน
แต่เม็ดเงินถึงมือชาวนาอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินเองหรือเช่า
ที่ดิน เพราะเพียงมีเมล็ดข้าวมาจำนำจริง ก็จะได้เงิน
โครงการ
รับจำนำข้าวจึงมีข้อดีกว่าโครงการประกันรายได้ชาวนาของรัฐบาลพรรคประชา
ธิปัตย์ซึ่งชดเชยรายได้ให้กับเจ้าของที่นาตามขนาดพื้นที่
ทำให้เจ้าของที่นาเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ขณะที่ชาวนาผู้เช่าไม่ได้อะไรเลย
ยิ่งกว่านั้น
จำนวนที่ดินทั้งหมดที่ลงทะเบียนในโครงการประกันรายได้ก็มากเกินจริง
เพราะประเมินเป็นผลผลิตข้าวเปลือกได้มากถึง 41
ล้านตันทั้งที่ตัวเลขผลผลิตจริงอยู่ที่ปีละ 30-32 ล้านตันเท่านั้น
และการที่รัฐบาลไม่ได้แทรกแซงตลาดข้าวโดยตรง
ทำให้พ่อค้าสามารถกดราคารับซื้อได้ตามใจชอบ (เหลือแค่ตันละ 6,000
บาทในช่วงเก็บเกี่ยว)
ตัวเลขความเสียหายจริงจากโครงการประกันรายได้อยู่ที่ปีละ 6-7 หมื่นล้านบาท
โดยผู้ที่ได้ประโยชน์จริงคือ
เจ้าของที่ดินทั้งที่ทำนำจริงและที่ไม่ได้ทำนาแต่อ้างเป็น “ชาวนา”
และพ่อค้ารับซื้อข้าวนั่นเอง
ส่วนข้อ
โจมตีที่ว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส
ขู่จะลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเพราะโครงการรับจำนำข้าว
ก็เป็นการขยายความเกินจริง เพราะในรายงานมูดี้ส์ฉบับนั้นเป็นเพียง Credit
Outlook
รายงานเหตุการณ์เศรษฐกิจการเงินในแต่ละประเทศที่อาจมีผลบวกและลบต่อสถานะของ
ประเทศต่าง ๆ ซึ่งในกรณีโครงการรับจำนำข้าว มูดี้ส์อ้างตัวเลขขาดทุน 2
แสนล้านบาทที่ปรากฏในสื่อกระแสหลักไทยแค่นั้น
โดยไม่ได้ตรวจสอบถึงที่มาที่ไป ในกรณีนี้ มูดี้ส์
ซึ่งเป็นสถาบันประเมินความน่าเชื่อถือของคนอื่นไปทั่วโลก
แต่ตนเองกลับบกพร่องอย่างยิ่งที่รายงานตัวเลขเท็จที่เป็น “ข่าวปล่อย”
ในสื่อไทยโดยไม่มีการสอบทาน
เหตุการณ์
ทั้งหมดจึงเป็นบทเรียนสำคัญแก่พรรคเพื่อไทยว่า นโยบายดี บริหารดียังไม่พอ
แต่การทำงานการเมืองที่ดี ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น