9 มิถุนายน, 2013 - 20:10 | โดย yukti mukdawijitra
ข้อเขียนนี้ถูกเผยแพร่ในอีกพื้นที่หนึ่งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเห็นว่าเข้ากับโอกาสของการเปิดภาคการศึกษาของมหาวิทยาลัย จึงขอนำมาเสนออีกครั้งในที่นี้
ต้นสัปดาห์ก่อน (3 มิถุนายน 2556) ผมชวนอดีตนักศึกษาปริญญ าโทที่คณะไปฉลองการเปลี่ยนผ่านส ถานภาพมาหมาดๆ ของพวกเขา เหตุการณ์คืนนั้นผ่านไปได้ อย่างสนุกสนานและสมัครสมานกันดี มีคำถามหนึ่งที่อดีตนักศึกษาที่ขณะนี้กลายเป็นมหาบัณฑิตไปแล้วคน หนึ่งถามว่า "อาจารย์เป็นอาจารย์
มานี่ หนักใจอะไรที่สุด" พอฟังคำถามเสร็จ ผมบอก "ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน
ปวดฉี่" แน่นอนว่านั่นเป็นมุกขอเวลาคิด คำถามน่ะไม่ยากหรอก
แต่จะตอบให้ดีน่ะยาก
ผม กลับมาจากห้องน้ำ (ล้างมือแล้วนะ) พร้อมกับคำตอบว่า "สอนหนังสือน่ะยากที่สุด หนักใจที่สุด" ผมเล่าว่า ผมไม่เคยมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองส อนเลย ผมเป็นอาจารย์ทันทีหลังจากจบปริญ ญาโท แต่ที่จริงสอนหนังสือตั้งแต่เรียนโ ทแล้ว ตอนนั้นก็ทุกข์ร้อนมาก ดีแต่ว่าเป็นวิชาพื้นฐาน และต้องสอนเรื่องเดียวกันถึงสาม รอบต่อหนึ่งสัปดาห์ รอบแรกตะกุกตะกัก รอบสองเริ่มสนุก ลื่นขึ้น พอรอบสามเบื่อมาก ปากพูดปาวๆ ไปเหมือนลิิ๊ปซิงค์
พอได้มาสอนที่ธรรมศาสตร์ใหม่ๆ ผมเตรียมตัวไม่ทัน พูดไม่รู้เรื่อง นักศึกษาที่เคยเรียนด้วยมาบอกที หลังเมื่อมาเจออีกทีหลายปีต่อมา ว่า "ตอนนั้นอาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง เลย" ผมยอมรับเลย เพราะตัวเองก็แทบไม่รู้ในสิ่งที ่ตัวเองสอน
แล้วถามว่า "ตอนนี้รู้สิ่งที่ตัวเองสอนแค่ไ หน" ก็ตอบได้เลยว่า "ส่วนใหญ่แทบไม่รู้เลย" ใช่ สิ่งที่อาจารย์สอนให้นักศึกษารู ้น่ะ ส่วนใหญ่แล้วอาจารย์ไม่ได้รู้รอ บรู้ตลอดไม่รู้แตกฉานไปเสียทุกอ ย่างหรอก เอาเป็นว่าผมไม่พูดแทนอาจารย์คน อื่นก็แล้วกัน แต่สำหรับผม เนื้อหาส่วนใหญ่ที่สอน ผมก็เรียนไปพร้อมๆ กับนักศึกษานั่นแหละ
เอาอย่างวิชาบังคับต่างๆ ที่มีเนื้อหามากมาย มีงานเขียนของนักคิดคนนั้นคนนี้ ตอน
ที่เรียน ก็มีเวลาอ่านน้อย อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
งานหลายชิ้นไม่เข้าใจเลย ในห้องเรียนที่ผมเรียน ไม่ว่าจะที่ไหน
ไม่มีคำอธิบายอย่างกระจ่างแจ้งห รอก อาจารย์ที่สอนจะรู้ก็เฉพาะงานบา งคนที่เขาลงลึกศึกษาจริงจัง งานหลายชิ้นอาจารย์ก็เพิ่งอ่านพ ร้อมกับนักศึกษานั่นแหละ
มีครั้งหนึ่งที่ผมเรียนที่อเมริ กา สองคืนก่อนวันมีชั้นเรียน อาจารย์โทรมาหาที่บ้านว่า "เธอมีหนังสือที่เราบอกให้อ่านม าถกกันในชั้นไหม" ผมถาม "อ้าว อาจารย์ยังไม่มีอีกเหรอ" แกตอบว่า "ไม่มี ถ่ายเอกสารมาให้หน่อยสิ" ผมถ่ายเอกสารหนังสือเล่มที่ผมอ่ าน ซึ่งขีดเขียนไปมากมาย พอวันเข้าห้องเรียน อาจารย์บอก "เราก็อ่านตามที่เธอขีดเส้นใต้น ั่นแหละ"
ทุกวันนี้ หลังจากผมจบปริญญาเอกกลับมาสอนไ ด้เกือบ 6 ปีแล้ว หลายครั้งที่เข้าห้องเรียนผมกระ หืด
กระหอบไม่แพ้นักศึกษา หรืออาจจะมากกว่า เพราะลองคิดดูว่า ชั้นเรียนเวลา 3
ชั่วโมง ต่อหน้าคนตั้งแต่ 10 คนจนถึง 100 ถึง 1,000 คนก็มี
หากเกิดจนคำพูดจะทำอย่างไร ถ้าที่เตรียมมาหมด ไม่พอจะทำอย่างไร
ถ้าตอบคำถามไม่ได้ ถ้าลืม ถ้าอ่านเอกสารที่ให้นักศึกษาอ่า นแต่ตัวเองอ่านมาไม่ครบจะทำอย่า งไร
หลายต่อหลายครั้งที่สอนหนังสือผ มจึงแทบไม่ได้นอน มีบ่อยมากที่ผมมาสอนโดยเตรียมสอ นจน
สว่างคาตา แต่เมื่อทำอย่างนี้มาสัก 5-6 ปี ผมเริ่มรู้สึกว่า
ที่เตรียมมามักเหลือ ผมเตรียมเกินเสมอ แต่ก็ยังไม่สามารถกะได้ว่า
แค่ไหนคือพอดีสอน
ชั่วโมงบินสูงๆ ประกอบกับประสบการณ์ภาคสนามและก ารเพิ่มพูนประสบการณ์และความคิด อย่างต่อเนื่อง ปีหลังๆ ผมยืนพูดไปได้เรื่อยๆ มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เคยเห็นว่าการสอนเป็ นเรื่องง่ายเลย การเตรียมสอนสำหรับชั้นเรียนปริ ญญาโท-เอกจะยากในแง่ของประเด็นถ กเถียงและการอ่านหนังสือเตรียมส อน ที่หลายเล่มเป็นหนังสือใหม่ที่ผ มเองก็ยังไม่เคยอ่าน
แต่สอนปริญญาตรีจะยากยิ่งกว่าใน แง่ของการอธิบายเรื่องที่เป็นพื ้นเป็นฐานให้กับความคิดต่างๆ เพราะบางทีเราเข้าใจว่าเรื่องพื ้นๆ น่ะเราผ่านมาแล้ว ก็เลยลืมวิธีที่จะบอกว่ามันว่าท ำไมอะไรจึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี ้ หรือบางทีก็ต้องยอมรับว่า อาจารย์เองก็ไม่ได้เข้าใจแนวคิด อะไรที่เป็นพื้นฐานอย่างแท้จริง จึงอธิบายให้นักศึกษาเข้าใจไม่ไ ด้กระจ่างแจ้ง
เมื่อสอนซ้ำๆ กันหลายปี ตำราวิชาแกนของสาขาก็มักจะอยู่ต ัว คงที่ การเตรียมสอนก็อาจจะน้อยลง แต่นอกจากตำราพื้นฐานแล้ว อาจารย์ (ในมาตรฐานของผม) ยังต้องค้นคว้าไล่ตามความรู้ใหม ่ๆ
อีก ความรู้ใหม่มาจากหลายแหล่ง จากข่าวสารทางวิชาการ
จากวารสารทางวิชาการใหม่ๆ จากหนังสือใหม่ๆ จากการเริ่มทำวิจัยใหม่ๆ
จากคำแนะนำของอาจารย์รุ่นใหม่ และที่สำคัญคือจากการค้นคว้าของ นักศึกษาเองที่เขาไปพบอะไรใหม่ๆ มา แล้วก็จะมาอวด มากระตุ้น มาท้าทายอาจารย์
ผมชอบแหล่งความรู้อย่างหลังนี่ไ ม่น้อยไปกว่าที่หาเอง เพราะคิดว่าคนที่เรียนอยู่มีเวล า มีหูตากว้างขวางกว่าคนสอนหนังสื อ ที่มีภาระประจำวัน ภาระรายสัปดาห์ และกรอบของความรู้แบบที่เรียนมา กักขังไว้มากเกินไป แต่นักศึกษาขาดความรู้พื้นฐาน ขาดแนวทางการเข้าใจเรื่องใหม่ๆ เมื่อหาจุดลงตัวที่จะมาทำงานร่ว มกันได้ อาจารย์และนักศึกษาก็จะได้ประโย ชน์มาก
สามปีก่อนเจอเพื่อนอเมริกันที่ส อนม
หาวิทยาลัยที่โน่น ก็คุยกันเรื่องการสอน ผมบอกเหนื่อยมากกับงานสอน เขาบอก
"โอ้ย จะอะไรกันมาก เรานะ แทบไม่สนใจเลยเรื่องสอน สอนดีบ้างแย่บ้าง
เอาแค่พอไปได้ เพราะคะแนนประเมินจากการสอนที่น ั่น (หมายถึงสำหรับมหาวิทยาลัยที่เน ้นการวิจัย ซึ่งธรรมศาสตร์ก็พยายามจะบอกว่า ตัวเองเป็น) ไม่ได้สูงเท่าการทำวิจัย" ผมบอกผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะงานสอนที่นี่สำคัญอาจจะมาก กว่างานวิจัย หรืออย่างน้อยที่สุด ผมก็เรียนรู้จากการสอนไม่น้อยเช ่นกัน
ผมตอบมหาบัณฑิตเสียยืดยาว ลงท้ายก็บ่นว่าระบบการประกันคุณ ภาพในปัจจุบันเรียกร้องให้อาจาร ย์ทำอะไรมากมายกว่าที่นักศึกษาเ ห็นหน้าห้องเรียนนัก แต่ผมก็ยังว่างานเหล่านั้นไม่ยา กเท่าการสอนหนังสือ แม้ว่าจะได้ "รางวัล" หลายๆ ด้านมากกว่า
ต้นสัปดาห์ก่อน (3 มิถุนายน 2556) ผมชวนอดีตนักศึกษาปริญญ
ผม กลับมาจากห้องน้ำ (ล้างมือแล้วนะ) พร้อมกับคำตอบว่า "สอนหนังสือน่ะยากที่สุด หนักใจที่สุด" ผมเล่าว่า ผมไม่เคยมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองส
พอได้มาสอนที่ธรรมศาสตร์ใหม่ๆ ผมเตรียมตัวไม่ทัน พูดไม่รู้เรื่อง นักศึกษาที่เคยเรียนด้วยมาบอกที
แล้วถามว่า "ตอนนี้รู้สิ่งที่ตัวเองสอนแค่ไ
เอาอย่างวิชาบังคับต่างๆ ที่มีเนื้อหามากมาย มีงานเขียนของนักคิดคนนั้นคนนี้
มีครั้งหนึ่งที่ผมเรียนที่อเมริ
ทุกวันนี้ หลังจากผมจบปริญญาเอกกลับมาสอนไ
หลายต่อหลายครั้งที่สอนหนังสือผ
ชั่วโมงบินสูงๆ ประกอบกับประสบการณ์ภาคสนามและก
แต่สอนปริญญาตรีจะยากยิ่งกว่าใน
เมื่อสอนซ้ำๆ กันหลายปี ตำราวิชาแกนของสาขาก็มักจะอยู่ต
ผมชอบแหล่งความรู้อย่างหลังนี่ไ
สามปีก่อนเจอเพื่อนอเมริกันที่ส
ผมตอบมหาบัณฑิตเสียยืดยาว ลงท้ายก็บ่นว่าระบบการประกันคุณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น