การจะเริ่มต้นวิเคราะห์วิจารณ์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของบทบาทสื่อในการ
รายงานข่าวเพื่อสันติภาพ เราน่าจะทบทวนกลับไปสู่ความจริงพื้นฐานที่น่าจะ
เป็นฐานของการร่วมกันคุยและหาทางออกหรือข้อเสนอแนะของบทบาทสื่อในกระบวนการ
สันติภาพได้บ้าง ความจริงพื้นฐานที่กล่าวนั้น ก็คือประเด็นของความย้อนแย้งระหว่างธรรมชาติของ “กระบวนการสันติภาพ” กับ “การทำงานของวิชาชีพสื่อ” ซึ่งพอจะสรุปได้หลัก ๆ ดังนี้
ประเด็นแรก กระบวนการสันติภาพนั้นซับซ้อน แต่การทำงานของสื่อยึดความกระชับเข้าใจง่าย
ประเด็นที่สอง กระบวนการสันติภาพนั้นใช้เวลายาวนาน ทั้งในการเริ่มต้นและพัฒนาไปสู่เป้าหมาย แต่การทำงานของสื่อนั้นเน้นความรวดเร็วและทันท่วงที
ประเด็นที่สาม กระบวนการสันติภาพนั้นเต็มไปด้วย
ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนและน่าเบื่อหน่าย
แต่การทำงานของสื่อนั้นต้องการความตื่นเต้นเร้าใจ ดึงดูดความสนใจผู้รับสาร
ประเด็นที่สี่ กระบวนการสันติภาพที่จะประสบความ
สำเร็จนั้น
จะนำไปสู่การคลี่คลายความตึงเครียดและตื่นเต้นของเหตุการณ์ความขัดแย้ง
รุนแรง แต่การทำงานของสื่อต้องการขายความขัดแย้งรุนแรง
และประเด็นสุดท้าย เราพบว่าในหลาย ๆ
ขั้นตอนของกระบวนการสันติภาพต้องดำเนินอยู่ในที่ลับและเป็นการถกเถียงของ
กลุ่มเฉพาะ
แต่การทำงานของสื่อเน้นที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลและช่วงชิงพื้นที่ในการเผย
แพร่ให้เร็วที่สุด
จากประเด็นเรื่องของความย้อนแย้งที่เป็นความจริงพื้นฐานและธรรมชาติของ
สองสิ่งที่ว่านั้น
เป็นที่มาของสถานการณ์ปัญหาของการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพในสื่ออยู่ ณ
ขณะนี้ ไม่เพียงแต่สื่อไทย แต่เป็นสื่อทั่วโลก
แม้ว่าในวงการสื่อเมืองไทยในขณะนี้มีการปรับตัวหันมาทบทวนบทบาทในประเด็นนี้
กันบ้างแล้ว รวมทั้งในการรายงานข่าวบางชิ้น บางช่วงเวลา
ของสื่อมวลชนบางกลุ่มบางคนก็เห็นความพยายามในการที่จะทลายเส้นแบ่งของความ
ย้อนแย้งเหล่านั้นอยู่บ้าง
แต่อาจจะเป็นความพยายามเฉพาะที่เป็นเรื่องของปัจเจก
หรือจากกลุ่มพลังผลักดันภายนอกองค์กรสื่อ
หรือกลุ่มองค์กรวิชาชีพทางเลือกมากกว่าที่จะเป็นพลังผลักดันภายในของกลุ่ม
องค์กรวิชาชีพสื่อกระแสหลัก เวทีในวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มแบบนั้น
จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยและทบทวนบทเรียนจากการศึกษาบทบาทของสื่อใน
กระบวนการสันติภาพในที่ต่าง ๆ ระดับนานาชาติ
สิ่งที่เกิดขึ้นก็สามารถนำมาอธิบายได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมสื่อ
ของเมืองไทยได้ไม่แตกต่างกันเลย นั่นคือ จากความย้อนแย้งต่าง ๆ
ดังกล่าวนั้น ได้ก่อให้เกิด 3
ปัญหาสำคัญในการทำงานของสื่อในกระบวนการสันติภาพ คือ
1. การเน้นย้ำไปที่ตัว “เหตุการณ์” มากกว่า “กระบวนการ” ดัง
ที่กล่าวว่ากระบวนสันติภาพนั้นใช้เวลาในการพัฒนาการไปสู่แต่ละเป้าหมายหรือ
แต่ละข้อตกลง แต่การทำงานของสื่อนั้นรอไม่ได้หรือไม่ต้องการรอ
สื่อต้องการข่าวทันทีจึงพยายามหยิบเหตุการณ์ย่อย ๆ มาเป็นข่าว
ซึ่งบางเหตุการณ์ก็กลายเป็นปัญหาและอุปสรรคของกระบวนการสันติภาพ
และอาจก่อให้สาธารณชนเกิดความรู้สึกและตีความไปต่าง ๆ นานา ทั้ง ๆ
ที่ในความเป็นจริงเหตุการณ์เหล่านั้นมันอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
ยังไม่มีบทสรุปท้ายสุดหรืออาจมีการปรับเปลี่ยนไปเองเมื่อถึงช่วงการเจรจาจุด
หนึ่ง
คำถามแบบเน้นผลระยะสั้นที่ติดอยู่ในห้วงคิดของสื่อส่วนใหญ่ตลอดเวลาในการ
รายงานข่าวกระบวนการสันติภาพ
ซึ่งสะท้อนผ่านชิ้นงานข่าวที่เผยแพร่ต่อสาธารณะก็คือ
“เวทีครั้งนี้สำเร็จหรือล้มเหลว” หรือว่า
“กระบวนพูดคุยครั้งนี้จะจบเป็นครั้งสุดท้ายหรือว่าจะมีต่อไปอีก”
2. การที่สื่อยังยึดติดอยู่กับคุณค่าของข่าวแบบดั้งเดิม คือ
ต้องหาว่าจุดผิดปกติของกระบวนการอยู่ตรงไหน ความเร้าอารมณ์ของตัวบุคคล
หรือข้อความ หรือการพยายามอธิบายตัวความขัดแย้งว่าใครดูไม่เต็มใจหรือเต็มใจ
ประเด็นขัดแย้งทางการเมืองภายใน ระหว่างประเทศเป็นอย่างไร
การตีคุณค่าของฝ่ายที่เกี่ยวข้องบางฝ่ายว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
จนเกิดคำถามสะท้อนจากสาธารณะว่าทำไมเราต้องไปให้ค่ากับโจรก่อการร้าย
3. การที่สื่อเป็นอุปสรรคในกระบวนการสันติภาพเสียเอง เพราะ
ในความเป็นจริงของกระบวนการสันติภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนการเจรจาก็คือ
มันควรเป็นกระบวนการที่เป็นความลับและดำเนินไปโดยที่ไม่มีปัจจัยภายนอกอื่น
ๆ เข้ามาทำให้เสียกระบวน
การนำเสนอข้อเรียกร้องข้อตกลงบางอย่างที่ยังไม่ถึงที่สุด ทำให้ภาพของการ
“ยอมแพ้” ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปรากฏต่อสาธารณะ
ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อกระบวนการสันติภาพ
ทำให้สาธารณชนต่อต้านกระบวนการสันติภาพ
แทนที่ฝ่ายผู้แทนการพูดคุยจะใช้เวลาหรือหากลยุทธ์ในการไปถกเถียงกันเองก็
กลับต้องมาชี้แจงและเจรจากับสาธารณชนแทน
นี่เป็นผลกระทบทางลบที่เกิดจากสื่อหรือเราจะกล่าวว่ามันคือ spoiler effect
ท่ามกลางสภาพการณ์ความย้อนแย้ง และสภาพปัญหาสำคัญต่าง
ๆ ของบทบาทสื่อที่เราพบนั้น
น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้หลับไปทบทวนกันว่า
เราควรจะหาทางออกอย่างไรเพื่อ เป็นข้อเสนอต่อสื่อในกระบวนการสันติภาพเพื่อให้สื่อได้ก้าวข้ามและเอาชนะกับความย้อนแย้งเหล่านั้น ในที่นี้ เป็นข้อเสนอในเชิงนโยบายมี 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. บทบาทของสื่อเพื่อกระบวนการสันติภาพนั้น
ควรจะเป็นบทบาทแห่งความร่วมมือ ทั้งความร่วมมือระหว่างองค์กรสื่อด้วยกัน
องค์กรสื่อกับภาคองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ
และองค์กรสื่อกับภาคส่วนสาธารณะ
ซึ่งอาจผ่านช่องทางของการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาสังคมกลุ่มต่าง ๆ
2.
สื่อต้องมีกระบวนการออกแบบและจัดการเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพในทุก
ขั้นตอน เช่น ต้องมีเซกชั่นหรือโต๊ะเฉพาะกิจที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
เพราะการจะสร้างสันติภาพนั้นไม่ง่ายดาย
และไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าสันติภาพไม่จำเป็น ดังนั้น
หากสื่อมีเป้าหมายชัดว่าต้องการให้ “สันติภาพ” เป็น “ปลายทาง”
ของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทุก ๆ
ขั้นตอนจึงต้องมีการออกแบบและจัดการที่ชัดเจนเป็นระบบ
นี่เป็นบทบาทใหม่ของสื่อในการสร้างสันติภาพที่เราอาจเรียกว่าเป็น “Advocacy
journalism” หรือวารสารศาสตร์เชิงหนุนเสริม
นี่เป็นการท้าทายต่อการปฏิรูปบทบาทของสื่อครั้งสำคัญ
เป็นบทบาทของของสื่อในกระบวนการสันติภาพที่ต้องแตกต่างไปจากบทบาทเดิม ๆ
ที่เคยมี
ทั้งนี้ ในส่วนของรายละเอียดต่าง ๆ
ที่เป็นแนวปฏิบัติการรายงานข่าวต่าง ๆ นั้น
น่าจะเป็นประเด็นที่หลายท่านได้เคยนำเสนอกันมาแล้วในช่วงก่อนหน้านี้
ที่เรายังมุ่งเน้นไปที่บทบาทการรายงานข่าวความรุนแรง หรือความขัดแย้ง
ซึ่งก็สามารถใช้หลักการเดียวกันได้ในการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพ
เนื่องจากถ้าจะพิจารณาก็เป็นการทำบทบาทของความเป็นสื่อเพื่อสันติภาพ
หรือ peace journalism เช่นเดียวกัน
เพียงแต่เป็นบทบาทในแต่ละห้วงเวลาของกระบวนการเท่านั้นเอง นั้นคือ
บทบาทก่อนกระบวนการสันติภาพ
ซึ่งเป็นเรื่องของการเน้นไปที่การให้ไกด์ไลน์ว่าสื่อควรต้องนำเสนอความ
รุนแรงอย่างไร ให้คนเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ เห็นแง่มุมอื่น ๆ
เห็นความต้องการและการเรียกร้องที่ซ่อนอยู่ เห็นทางออก
เห็นว่ามันมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์
ส่วนในขั้นตอนนี้ก็เป็นการตอกย้ำบทบาทของการมี “สันติภาพ” เป็นเป้าหมาย
ทำอย่างไรให้สื่อเป็นกลไกหลักในการสร้างให้สาธารณะหนุนนำและอดทนกับกระบวน
การสันติภาพที่มันใช้เนิ่นนาน ซับซ้อน และเข้าใจยากเช่นนี้ให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น