เรื่องที่ “หลวงพี่น้ำฝน”
นำรถโบราณราคาแพงที่มีผู้บริจาคให้มาจอดโชว์ที่วัดโดยอ้างว่าเพื่อเป็น
“กุสโลบายละความโลภ” และเรื่องหลวงปู่เณรคำนั่งเครื่องบินเจ็ท
ใช้กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง
กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างแพร่หลายในโลกอินเทอร์เน็ตและสื่อหลัก
จนสื่อนอกทำภาพตลกล้อเลียนการใช้ชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อหรูหราของพระไทย
ต่อมาสื่อทีวีได้นำเสนอภาพบ้านหลังใหญ่โตในพื้นที่ราว 3 ไร่
ที่หลวงปู่เณรคำสร้างให้โยมพ่อ แม่ และญาติๆ จนเกิดคำถามตามมาว่า
“เงินที่สร้างบ้านหลังใหญ่โตอลังการเช่นนั้น ท่านได้แต่ใดมา?”
ที่จริงแล้ว เรื่องราวเช่นนี้คือเรื่องเก่าๆ
ที่เกิดขึ้นซ้ำซากเกี่ยวกับพระชื่อดัง หรือพระที่ถูกโปรโมทว่าเป็นพระอริยะ
เป็นพระอรหันต์ มี “คุณวิเศษ”
หยั่งรู้สิ่งต่างๆเหนือมนุษย์สามัญจนผู้คนศรัทธาเลื่อมใสจำนวนมาก
โดยที่พระดังเหล่านั้นมักสอนให้ผู้คนละโลภ โกรธ หลง ปล่อยวาง ไม่ยึดติด
ทว่าเมื่อถูกขุดคุ้ยเปิดโปงกลับกลายเป็นว่าท่านเหล่านั้นมักเดินสวนทางกับ
สิ่งที่ตนเองสอนคนอื่นเสมอ
คำอธิบายต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจากพระสงฆ์และองค์กรรับผิดชอบงานทางพุทธ
ศาสนาก็มักจะออกมาแบบเดิมๆ ทำนองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “โลกวัชชะ”
หรือเป็นเรื่องที่ชาวโลกเขาติเตียนว่าไม่เหมาะสม
ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยโดยตรง คณะสงฆ์ทำได้เพียงว่ากล่าวตักเตือน
ในขณะที่ก็มีคำร้องขอความเข้าใจทำนองว่า
เรื่องที่สื่อนำเสนอเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย
พระชื่อดังเหล่านี้ท่านทำประโยชน์แก่พุทธศาสนาและสังคมมามาก
เช่น
หลวงพี่น้ำฝนก็อ้างว่าตัวท่านเองบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาลสร้างสาธารณ
ประโยชน์กว่า 400 ล้านบาท ลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำก็ว่า
หลวงปู่ถวายรถยนต์ให้พระผู้ใหญ่และมหาวิทยาลัยสงฆ์หลายสิบคัน
บริจาคเงินช่วยเหลือสังคมในด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เป็นต้น
จะเห็นว่าพระชื่อดัง พระอริยะสมัยนี้นิยมทำประโยชน์ทางวัตถุ
ด้วยการสร้างศาสนวัตถุใหญ่โตอลังการ และบริจาคเงิน
วัตถุสิ่งของช่วยเหลือสังคม
ถ้าวัดจากมาตรฐานเช่นนี้ พุทธะเองก็คงไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย
เพราะตลอดระยะเวลา 45 ปี ที่ใช้ชีวิตแบบคุรุทางธรรม
ท่านมีสมบัติเพียงจีวรสามผืน (ไตรจีวร)
กับอัฐบริขารที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย
ท่านไม่เคยสร้างศาสนวัตถุใหญ่โต ไม่เคยประจบเจ้า ประจบทุน ไม่เคยขอเรี่ยไร
หรือรับบริจาคเงินทอง สิ่งของเพื่อสาธารณประโยชน์ใดๆ
ดังที่พระสมัยนี้นิยมทำกัน
และทำอย่างไม่มีการตรวจสอบความโปร่งใสในการใช้เงินที่รับบริจาคมาจากผู้คน
ที่เลื่อมใสศรัทธา
พูดตรงๆ คือ การเผยแผ่ธรรมของพุทธะนั้นคือการให้เปล่า
เป็นการเข้าไปเรียนรู้ สนทนา แลกเปลี่ยนกับผู้คนที่หลากหลายทางความคิด
หรือผู้สนใจปัญหาเรื่องคุณค่าความหมายของการมีชีวิตอยู่
สังฆะที่ท่านก่อตั้งขึ้นมาก็เพื่อเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ศึกษา
และปรับใช้ธรรมะเพื่อปรับปรุงการดำเนินชีวิตของตนเองและสังคมให้รู้จักใช้
ปัญญา
และเมตตาธรรมในการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพความเป็นคนของกันและกันมากขึ้น
พร้อมๆ กับส่งเสริมการมีอิสรภาพด้านในของกันและกัน
แต่พระสงฆ์ทุกวันนี้ได้ทำให้ศาสนาของพุทธะกลายเป็น “สินค้า”
พระสงฆ์ไม่ใช่ผู้เผยแผ่ธรรมะแบบให้เปล่าโดยอาศัยปัจจัยสี่จากชาวบ้านเพียง
เพื่อยังชีพเท่านั้น หากแต่พระสงฆ์กลายเป็น “เซลล์แมน”
ขายพุทธศาสนาจนร่ำรวย ในขณะที่ยังมีสิทธิพิเศษทางวัฒนธรรมกินฟรี อยู่ฟรี
อาศัยปัจจัยสี่จากชาวบ้าน ขณะเดียวกันพระสงฆ์ก็รับค่าบริการทุกอย่าง เช่น
สวดมนต์ฉันเช้า-เพลก็มีค่าบริการ สวดศพมีค่าบริการ ปลุกเสก เจิมรถ เจิมบ้าน
บริษัท สำนักงาน ดูหมอ ใบ้หวย ฯลฯ ล้วนแต่มีค่าบริการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบรรยายธรรม แสดงธรรมที่บอกว่าเป็น “การเผยแผ่พุทธธรรม”
ก็มีค่าบริการเสมอ
นอกจากพระสงฆ์จะมีสิทธิพิเศษทางวัฒนธรรมอยู่ฟรี กินฟรี
มีผู้คนเคารพกราบไหว้ถวายเงินทอง รถยนต์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
เพื่อให้มีสิทธิใช้ตาม “อัธยาศัย” แล้ว
พระสงฆ์ยังรับเงินภาษีอุปถัมภ์พุทธศาสนาจากรัฐปีละกว่า 4,000
ล้านบาทอีกด้วย แล้วถามว่ามีอะไรที่พระสงฆ์ให้ฟรีแก่สังคมบ้าง?
การที่พระสงฆ์รับเงินบริจาคมาแล้วบริจาคต่อให้กับกิจการสาธารณกุศลต่างๆ
นั้น นั่นคือบุญคุณที่ต้องยกขึ้นมาทวงเมื่อเกิดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนั้นหรือ?
ที่จริงแล้วสังคมควรตั้งคำถามว่า
การเป็นตัวกลางรับเงินบริจาคที่อ้างว่าเพื่อสาธารณกุศลของพระสงฆ์นั้นต้อง
ถูกตรวจสอบความโปร่งใสจากสังคม ทำไมคนรอบข้าง ลูกศิษย์ใกล้ชิด พ่อ แม่
อดีตเมีย ลูก เป็นต้น
ของพระสงฆ์ชื่อดังมีบารมีมากจึงมีบ้านหลังใหญ่โตอลังการ ร่ำรวยสุขสบาย
เป็นเพราะพระชื่อดังเหล่านั้นแผ่บุญบารมีให้พวกเขาร่ำรวยเช่นนั้นหรือ
พุทธศาสนาได้เดินทางมาไกลจนหลุดจากรากเหง้าของตนเองไปนานแล้ว
เพราะขณะที่พุทธะสละฐานันดรศักดิ์
สละชีวิตสุขสบายหรูหราไปเป็นสามัญชนที่มีชีวิตเรียบง่าย
และเผยแผ่ธรรมแบบให้เปล่าแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
ไม่อาศัยอำนาจรัฐบังคับยัดเยียดให้ผู้คนต้องเรียนรู้พุทธศาสนา
แต่ปัจจุบันพระสงฆ์ซึ่งมาจากลูกหลานของชนชั้นล่าง
กลับไต่เต้าไปสู่ความมีฐานันดรศักดิ์ พระมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าคุณ
เป็นสมเด็จ มีรถประจำตำแหน่ง มีบัญชีเงินฝากในชื่อตัวเองเป็นหลักล้าน
จนร้อยล้าน พันล้านหรือมากกว่า (อดีตพระมโน เมตตานันโท
เคยพูดออกทีวีว่าเมื่อปี 2532
เจ้าอาวาสวัดใหญ่แห่งหนึ่งมีบัญชีเงินฝากในชื่อตัวเองกว่า 40,000 ล้านบาท)
ขณะที่รัฐต้องอุปถัมภ์พุทธศาสนา
และมีการบังคับให้ต้องเรียนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน
พุทธศาสนาถูกทำให้เป็นสินค้าที่จำเป็นต้องบริโภค
ชาวพุทธต้องซื้อบริการทางพิธีกรรมเช่นทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน
เจิมป้าย ฯลฯ ไปจนถึงเมื่อตายก็ต้องจ่ายบริการสวดศพ สถานศึกษา
หน่วยงานราชการจัดนักเรียน นักศึกษา บุคลากรเข้าคอสร์ปฏิบัติธรรม
ก็ต้องซื้อบริการจากพระสงฆ์ผู้มีสิทธิพิเศษกินฟรีอยู่ฟรีอยู่แล้วโดยใช้งบ
ประมาณของรัฐบ้าง ของตัวเองบ้าง
แน่นอนว่า
โลกปัจจุบันเงินคือปัจจัยหลักในการดำรงชีพและการทำกิจกรรมแทบทุกอย่าง
พระสงฆ์ก็จำเป็นต้องใช้เงินในเรื่องต่างๆ อันนี้ผมไม่เถียง
แต่ปัญหาคือคณะสงฆ์ก็ไม่มีมีระบบที่ชัดเจนเกี่ยวกับว่าพระแต่ละรูปควรครอบ
ครองทรัพย์สินส่วนตัวได้เท่าไร
เกินไปจากนั้นควรเป็นของสงฆ์หรือของส่วนรวมที่มีการจัดการอย่างโปร่งใส
ฉะนั้น พระทุกวันนี้จึงมีบัญชีเงินฝากส่วนตัวได้ไม่จำกัด
ใช้สินค้าแบรนด์เนมหรือมีวัตุถุเฟอร์นิเจอร์อวดรวยอย่างไร้หิริโอตตัปปะได้
สบายมาก
ที่อ้างกันว่า เรื่องพวกนี้เป็นแค่ “โลกวัชชะ” โลกติเตียน
ไม่ผิดวินัยสงฆ์นั้น เป็นการอ้างแบบศรีธนญชัย ก็ในเมื่อวินัยสงฆ์
ห้ามพระรับเงินและทอง คือรับเงินทองก็ไม่ได้ แล้วมีรถหรูราคาแพง
อวดบารมีกันทางวัตถุยิ่งกว่าชาวโลกนั้นจะแถว่าไม่ผิดได้อย่างไร
จริงๆ แล้วผิดหลักการของวิถีชีวิตพระซึ่งเป็นอนาคาริก ผู้ไม่ครองเรือน
ผู้ใช้ชีวิตเพื่อละกิเลส ปล่อยวาง ไม่ยึดติด
ตั้งแต่ที่สร้างระบบให้พระมีสมณศักดิ์แล้ว
คือผิดตั้งแต่ระบบปกครองสงฆ์ที่ขัดกับหลักการพระธรรมวินัยโดยพื้นฐานแล้ว
ระบบที่พระมีฐานันดร มีอำนาจ
มีความเป็นอยู่ในวัดวาที่หรูหราอลังการรองลงมาจากวังนั้น
เป็นระบบของพุทธศาสนาแห่งรัฐในยุคศักดินาที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน
ระบบที่ตกทอดมานั้น
เมื่อมาอยู่ในโลกปัจจุบันที่อำนาจนำทางสังคมยังเป็นอำนาจทางวัฒนธรรมแบบระบบ
เก่า และอำนาจทุนนิยมกำลังทรงอิทธิพลมากขึ้น
พระสงฆ์ที่อยู่ภายใต้โครงสร้างการปกครองสงฆ์ปัจจุบันที่ตกทอดมาจากระบบเก่า
จึงประจบทั้งเจ้าและประจบทุน ข่าวฉาวของพระชื่อดังที่เกิดอย่างซ้ำซาก
คือปัญหาที่สะท้อนความเสื่อมโทรมของระบบสงฆ์
สะท้อนความเหลวไหลของการใช้พุทธศาสนาสนับสนุนอำนาจของชนชั้นปกครอง
และการทำให้พุทธศาสนากลายเป็นสินค้าที่ต้องบิโภคในตลาดทุน ผ่านการโปรโมท
การโฆษณาชวนเชื่อเกินจริงอย่างไร้การดูแลตรวจสอบ
สุดท้ายแล้ว ระบบปกครองสงฆ์ที่เป็นอยู่
ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้ ข่าวฉาวของพระดังที่เกิดอย่างต่อเนื่องมายาวนาน
ยิ่งสะท้อนว่าระบบการปกครองสงฆ์ที่ขึ้นต่อรัฐแบบที่เป็นมานั่นเองคือต้นตอ
ของปัญหา
ทางแก้ที่ถูกจึงต้องแก้ที่ต้นตอ โดยยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ.2505
และยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตราที่กำหนดให้รัฐมีหน้าที่อุปถัมภ์คุ้มครองพุทธ
ศาสนาและศาสนาอื่นๆ จะเท่ากับทำให้พุทธศาสนาเป็นอิสระจากรัฐ
เท่ากับยกเลิกระบบการปกครองสงฆ์แบบมหาเถรสมาคม เท่ากับยกเลิกระบบสมศักดิ์
เท่ากับยกเลิกการปกครองสงฆ์โดยกฎหมายของรัฐ
ผลก็คือทำให้พระสงฆ์มีอิสระที่จะปกครองกันเองตามพระธรรมวินัย
พระสงฆ์แต่ละวัดแต่ละสำนักปกครองตนเองตามพระธรรมวินัยภายใต้การตรวจสอบของ
ชาวบ้าน หรือชุมชนที่เป็นเจ้าของวัด เจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมร่วมกัน
จะเกิดการตีความพุทธศาสนาให้ตอบสนองต่อบริบทปัญหาของชีวิต ชุมชน
สังคมในระดับต่างๆ ทั้งในระดับชาติหรือโลก
การตีความและประยุกต์ใช้พุทธศาสนาจะมีความหลากหลายตามสภาพความหลากหลายและ
ซับซ้อนของโลกสมัยใหม่มากขึ้น พุทธศาสนาไม่ใช่ของรัฐ
ไม่รับใช้อำนาจรัฐหรืออำนาจชนชั้นบนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นของประชาชน
เป็นเรื่องที่ประชาชนมีอำนาจดูแลรักษากันเอง
และทำให้พุทธศาสนามีความหมายในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิตของพวกเขาได้อย่างแท้
จริง
และที่สำคัญรัฐไทย
ก็จะก้าวไปสู่ความเป็นรัฐประชาธิปไตยที่มีความเป็นกลางทางศาสนาอย่างแท้จริง
หรือเป็น “รัฐฆราวาส” อย่างอารยประเทศ
ไม่ใช่เป็นรัฐที่ติดหล่มอยู่ในยุคกลางที่อ้างอิงสถานะของ
“บุคคลที่สูงส่งกว่า”
ทั้งทางจิตวิญญาณและศีลธรรมให้เป็นแหล่งที่มาของการมีศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน โดยที่สถานะ อำนาจ บทบาทของบรรดาบุคคลที่สูงส่งกว่านั้น
มักเป็นไปในทางมอมเมา เอาเปรียบ กดขี่เสรีชน
และขัดขวางทำลายศีลธรรมสากลที่เคารพเสรีภาพและความเสมอภาคตลอดมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น