เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม
อยู่บำรุง ได้แถลงที่สนามทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี
อธิบายอย่างชัดเจนว่า สาเหตุสำคัญในการเสนอมพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติ
ก็เพื่อที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย
และยังแสดงการคาดหมายว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับบ้านก่อนปีใหม่อย่างแน่นอน
ประเด็นอยู่ที่ว่า การนำเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย
คงไม่ใช่เรื่องที่ผิด และเป็นสิ่งที่สมควรด้วยซ้ำ
แต่ต้องไม่แลกเปลี่ยนกับการนิรโทษให้กับกลุ่มฆาตกรที่สังหารประชาชน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโค่นอำนาจโดยการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน
พ.ศ.๒๕๔๙ ในระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลี้ภัยครั้งแรก จนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์
พ.ศ.๒๕๕๑ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับมาประเทศไทย ในสมัยที่ นายสมัคร สุนทรเวช
เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุด
พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องลี้ภัยจากประเทศไทยอีกครั้งตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม
ปีเดียวกัน เพราะถูกศาลตัดสินคดี มาจนถึงขณะนี้ มีคดีความของ
พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังค้างอยู่ทั้งสิ้น ๙ คดี แต่เป็นคดีที่ศาลตัดสินแล้ว ๕
คดี นอกนั้นยังอยู่ในชั้นศาล
อย่างไรก็ตาม คงจะต้องอธิบายว่า
คดีทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินคดีที่มาจากกระบวนการอันไม่ชอบธรรม
และเป็นผลพวงรัฐประหารทั้งสิ้น เพราะหลังจากการยึดอำนาจ
คณะรัฐประหารได้ออกประกาศคณะ คปค. ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙
ให้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
เพื่อมุ่งที่จะสอบสวนความผิดในการดำเนินงานของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และคณะรัฐมนตรี คณะกรรมชุดนี้มีระยะเวลาการทำงานจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน
พ.ศ.๒๕๕๑ ปัญหาแรกสุด คือ ตัวบุคคลในคณะ
คตส.ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่ายรัฐประหาร ล้วนแต่มิได้เป็นคนที่ใจเป็นกลาง
แต่เป็นพวกอคติและเป็นศัตรูของ พ.ต.ท.ทักษิณแทบทั้งสิ้น ความผิดของ
พ.ต.ท.ทักษิณจึงถูกตั้งไว้ล่วงหน้า
ถึงกระนั้น
คณะกรรมการชุดนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเลยในการพิสูจน์ให้ประชาชนทั่วไป
เห็นว่า มีการทุจริตคอรับชั่นอย่างมโหฬารในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เพราะไม่สามารถที่จะหาหลักฐานความผิดที่เป็นจริงมาแสดงต่อสาธารณชน
นอกจากนี้ การดำเนินคดีที่เกิดขึ้นก็ขัดหลักการยุติธรรมที่ควรจะเป็น
กล่าวคือ
การดำเนินคดีโดยทั่วไปจะถือหลักการแยกผู้สอบสวนกับผู้พิจารณาสั่งฟ้อง
เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องหา ดังนั้นในคดีทั่วไป ตำรวจเป็นผู้สอบสวน
แต่จะไม่มีอำนาจในการยื่นฟ้อง ต้องเสนอให้อัยการเป็นผู้พิจารณาฟ้อง
แต่ในกรณีนี้ คตส.เป็นผู้สอบสวนและยื่นฟ้องต่อศาลเองเสีย ๔ คดี
และยื่นต่ออัยการสูงสุดให้พิจารณาฟ้อง ๗ คดี
แต่ศาลไทยก็ยังอุตส่าห์รับฟ้องทุกคดี
คดีสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ถูกศาลตัดสินลงโทษจนต้องหนีไปต่างประเทศนั้นคือ
คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ ๑ และคุณหญิงพจมาน
ชินวัตรเป็นจำเลยที่ ๒ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยคดีนี้เริ่มจาก เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖
คุณหญิงพจมานได้ทำการประมูลซื้อที่ดินริมถนนเทียมร่วมมิตร
ย่านถนนรัชดาภิเษก ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ประมาณ ๓๓
ไร่ ด้วยราคา ๗๗๒ ล้านบาท
จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร่วมลงนามยินยอมในฐานะคู่สมรส
ปรากฏว่าศาลตัดสินว่า
การซื้อที่ดินนั้นถือเป็นถือโมฆะให้คุณหญิงพจมานคืนที่ดิน
และให้กองทุนคืนเงินแก่คุณหญิงพจมานพร้อมดอกเบี้ย แต่
พ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงผู้เดียวที่ศาลพิพากษาว่ามีความผิดต้องโทษจำคุก ๒ ปี
คำตัดสินของศาลในกรณีนี้จึงไม่อาจหาเหตุผลรองรับได้
และเรื่องนี้ก็ไม่สามารถเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ต่อมา ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่า
พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจของตน อันมีผลทำให้มูลค่าหุ้นของ
บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น สูงขึ้น
จึงให้ยึดเงินค่าขายหุ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลรวม ๔.๖
หมื่นล้านให้ตกเป็นของแผ่นดิน ปัญหาของคดีนี้คือ
ศาลไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ผิดอย่างไร
ก็ในเมื่อสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ หุ้นก็ขึ้นทั่วทั้งตลาด
สำหรับ คดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น มูลค่า ๓๗๘
ล้านบาท ซึ่ง คตส.ได้มอบหมายให้อัยการส่งฟ้อง คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์
ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน
โดยศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุกคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ คนละ ๓ ปี
ส่วนนางกาญจนาภา ๒ ปี ปัญหาของคดีนี้ก็คือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดตั้งแต่
พ.ศ.๒๕๔๐ ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณตั้งพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ
จึงไม่อาจโยงกับการทุจริตอันใดได้เลย ยิ่งกว่านั้น
ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องคดีนี้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔
และอัยการสูงสุดไม่ฏีกา
ส่วนคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา ๙๐ ล้านต้น ที่มีการยื่นฟ้อง
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายเนวิน ชิดชอบ อดีต
รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับพวก รวม ๔๔ คน
ศาลฎีกาให้ยกฟ้องจำเลยเนื่องจากพบว่าไม่ได้กระทำความผิด
คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้ายพิเศษ ๒ ตัว ๓ ตัว หรือเรียกกันว่า
หวยบนดิน ซึ่ง คตส.ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทั้งคณะและผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
ศาลฎีกาฯตัดสินให้จำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง ๒ ปี นายสมใจนึก
เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลังและประธานคณะบอร์ดกองสลาก ๒ ปี และ
นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลาก ๒ ปี
แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสามไม่เคยทำผิดมาก่อน ให้รอลงอาญา สำหรับ
พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษา จึงมีการออกหมายจับ
ปัญหาของคดีนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ก็คือไม่อาจจะอธิบายการทุจริตของคณะรัฐบาลได้เลย
เพราะการออกหวยบนดินทำให้รัฐได้เงินเพิ่ม การลงโทษของศาลต่อจำเลย ๓
คนเป็นเพียงความผิดทางข้อกฎหมายเท่านั้น
ส่วนคดีอื่นที่ศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ไว้ ก็เช่น ๑.
คดีแจ้งทรัพย์สินเป็นเท็จเพราะไม่ได้แจ้งการครอบครองหุ้นชินคอร์ปฯ ๖ ครั้ง
๒.คดีปล่อยเงินกู้รัฐบาลพม่า ๔,๐๐๐ ล้าน ๓.
คดีทุจริตออกพระราชกำหนดแปลงค่าภาษีสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพ
สามิตเพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปฯ ๔.
คดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทกฤษดามหานครทั้งหมดล้วนเป็นคดีที่หลัก
ฐานอ่อน และไม่สามารถพิสูจน์การทุจริตหรือฉ้อโกงประเทศชาติของ
พ.ต.ท.ทักษิณได้เลยแม้แต่คดีเดียว
จากตัวอย่างคดีเหล่านี้ จึงสรุปได้ว่า
คดีทั้งหลายที่สอบสวนและดำเนินการโดย คตส.จึงเป็นเรื่องเหลวไหล
และถือได้ว่าเป็นเรื่องใช้อำนาจศาลมากลั่นแกล้งทางการเมืองต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร
เมื่อเป็นเช่นนี้ การนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านด้วยวิถีทางอันเหมาะสม
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ควรที่จะใช้การออกพระราชกำหนดล้มล้างผลพวงคณะรัฐประหาร โดยถือว่า
คำสั่งคณะรัฐประหารทั้งหมดเป็นโมฆะ และปราศจากผล แล้วนำคดีทั้งหลายของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาพิจารณาใหม่ ในกฎหมายปกติ
ภายใต้กระบวนการอันโปร่งใส
เมื่อเป็นเช่นนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลับบ้านได้อย่างภาคภูมิ และไม่ต้องไปนิรโทษกรรมฆาตกร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น