บทความชิ้นที่ 2 ของ พุฒิพงศ์ นวกิจบำรุง และ อัจฉรา
รักยุติธรรมในชุดบทความ“ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์:
ทางเลือกและทางรอดของเกษตรกรบนพื้นที่สูงภาคเหนือ”
เป็นการศึกษาชาวบ้านที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่สูงในจังหวัด
เชียงใหม่ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ชาวบ้านหรือเกษตรกรบนพื้นที่สูง
ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่ด้อยค่าและเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว
การที่ชาวบ้านหันมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทนการทำเกษตรในระบบไร่หมุนเวียน
ไม่ได้หมายความว่าชาวบ้านตกเป็นเหยื่อของทุนนิยม หากแต่เป็น “ทางเลือก”
ที่จะดำรงอยู่และใช้ประโยชน์จากกระแสทุนนิยม
ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้านและทางเลือกที่มีอยู่อย่างจำกัด ในการศึกษาชุดความ
รู้นี้
ทางประชาไทจะทยอยนำเสนอบทวิเคราะห์ที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นข้างต้น
จำนวน 6ชิ้น
อนึ่ง ภายในไตรมาสที่สองของปี 2556 ประชาไท จะทยอยนำเสนอบทความที่จะพยายามทำความเข้าใจวิถีชีวิตและความสัมพันธ์การผลิต ของชนบทไทยในปัจจุบัน 4ประเด็นคือเกษตรอินทรีย์, เกษตรพันธสัญญากรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภาคเหนือ,พืชเศรษฐกิจในภาคอีสาน และการทำนาปรังในภาคกลางที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ |
นำเสนอตัวตน
กลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นครั้งแรกที่พวกเราเข้าไปบ้านก่อวิละ (นามสมมติ) และมีโอกาสรู้จักกับ “พล” (นามสมมติ) ผู้นำชุมชนคนหนึ่ง พวกเราแนะนำตัวว่าเป็นนักศึกษาและอ้างถึงนักพัฒนาเอกชนที่เล่าให้พวกเรา รู้จักหมู่บ้านนี้ การแนะนำตัวแบบนั้นทำให้พลเข้าใจเอาเองว่าพวกเราคิดแบบเดียวกันกับกลุ่มคน ที่พวกเราอ้างถึง เขาจึงกล่าวว่า
“ไร่หมุนเวียนที่นี่ มีอะไรให้น่าศึกษาอีกเยอะ”
ความจริงแล้วพวกเรามาศึกษาเรื่องการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เชิงพาณิชย์
และเหตุที่เลือกหมู่บ้านนี้ก็เพราะทราบมาว่าทุกครัวเรือนที่นี่ปลูกข้าวโพด
เชิงพาณิชย์เป็นหลักโดยแทบจะไม่มีครัวเรือนใดทำ “ไร่หมุนเวียน” ในแบบ
“ดั้งเดิม” ตามที่เข้าใจกันทั่วไปอีกแล้ว
พวกเราตระหนักว่าชาวบ้านย่อมมีความระแวดระวังและพยายามกลั่นกรองเรื่อง
ราวที่จะนำเสนอเพื่อสร้างความพอใจแก่ผู้ฟัง
เช่นเดียวกันกับที่ผู้นำเสนอเรื่องราวผ่านสื่อสาธารณะหรือแม้แต่งานวิชาการ
ก็ได้เลือกนำเสนอภาพแทนปาเกอะญอเฉพาะเพียงบางแง่มุม
แต่ภาพแทนนั้นได้ส่งผลให้หลายคนติดอยู่กับภาพแทนแบบโรแมนติกจนไม่ได้ให้ความ
สำคัญกับความเป็นไปและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง
ในพื้นที่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิเหนือทรัพยากรกับรัฐ
ชาวบ้านบนพื้นที่สูงมักถูกผูกติดอยู่กับภาพลักษณ์ “คนอยู่กับป่า”
ปาเกอะญอถูกนำเสนอเพียงแบบเดียว คือ การเป็นนักอนุรักษ์
แต่ในชีวิตประจำวันชาวบ้านซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากหน้าหลายตาไม่ได้ยึด
ติดกับภาพแทนแบบใดแบบหนึ่ง
พวกเขาเลือกนำเสนอตัวตนอย่างระมัดระวังและเลื่อนไหลผันแปรไปตามสถานการณ์ที่
เผชิญอยู่ต่อหน้า
เปลี่ยนระบบการผลิต เปลี่ยนชุมชน
บ้านก่อวิละตั้งอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
พื้นที่เกษตรส่วนใหญ่ที่เคยทำไร่หมุนเวียนถูกเปลี่ยนเป็น “ไร่ถาวร”
ขนาดใหญ่เพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ความเปลี่ยนแปลงในชุมชนบนพื้นที่สูงมีเหตุปัจจัยและเงื่อนไขแวดล้อมมากมาย
นำพาให้แต่ละชุมชนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
บ้านก่อวิละปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกครัวเรือน แต่ละปีใช้เมล็ดพันธุ์
50-200 กิโลกรัมต่อครัวเรือน (คิดเป็นเนื้อที่ปลูก 10-40ไร่)
เริ่มปลูกปลายเดือนพฤษภาคมและเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน
นอกจากการทำไร่ข้าวโพดแล้ว
ในช่วงฤดูฝนชาวบ้านยังคงปลูกข้าวนาและข้าวไร่เพื่อบริโภคในครัวเรือน
ขณะที่ในฤดูแล้งมีการปลูกพืชเชิงพาณิชย์อื่น ๆ
ในที่ดินที่ใกล้แหล่งน้ำหรือสามารถต่อท่อส่งน้ำไปยังแปลงเกษตรได้
โดยเฉพาะหอมแดง นอกจากนี้ชาวบ้านบางส่วนยังเลี้ยงวัว
และมีหนึ่งครัวเรือนที่เลี้ยงแพะ
การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจได้ยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน
ทำให้พวกเขามีกำลังซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค มากขึ้น
ครัวเรือนที่ทำนามีรถไถเดินตามขนาดเล็ก
และทั้งชุมชนมีสองครัวเรือนที่ซื้อรถโม่เอาไว้รับจ้างชาวบ้านในชุมชนโม่
เมล็ดข้าวโพดออกจากฝักในฤดูเก็บเกี่ยว
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาในชุมชนมีรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งยานพาหนะเหล่านี้เป็นอุปกรณ์การผลิตที่สำคัญในการขนส่งปัจจัยการผลิตและ
ผลผลิตระหว่างชุมชนกับไร่นา และระหว่างชุมชนกับตัวอำเภอ
การปลูกพืชเศรษฐกิจกลายเป็นแรงผลักดันและเป็นเหตุผลที่ชาวบ้านใช้เรียก
ร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงถนนเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งผล
ผลิตการเกษตร
ที่ผ่านมาการพัฒนาถนนจากตัวอำเภอมายังหมู่บ้านถูกจำกัดเพราะที่ดินทั้งหมด
อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
หน่วยงานที่มีอำนาจเหนือพื้นที่จึงไม่อนุญาตให้มีพัฒนาถนนและสาธารณูปโภค
ต่าง ๆ มากเกินความจำเป็น เฉพาะบางช่วงของถนนในระยะทางทั้งหมด16
กิโลเมตรเท่านั้นที่ได้รับการปรับปรุงเป็นคอนกรีต
ขณะที่ส่วนที่เป็นดินลูกรังยังคงทำให้การเดินทางในช่วงฤดูฝนเป็นไปด้วยความ
ยากลำบาก
โชคดีที่สภาพถนนดังกล่าวไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรเชิงพาณิชย์มากนักเพราะ
ชาวบ้านขนผลผลิตการเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และหอมแดง
ในช่วงฤดูแล้ง
เสียงเรียกร้องให้ปรับปรุงถนนดังขึ้นเรื่อย ๆ
ตามขนาดการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขยายเพิ่มขึ้น
ในที่สุดองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่มาจากชุมชนที่ปลูกข้าวโพด
ทั้งบ้านก่อวิละและหมู่บ้านอื่น ๆ
ทำโครงการปรับปรุงถนนโดยไม่รอการอนุมัติจากหน่วยงานที่มีอำนาจเหนือพื้นที่
(เชื่อกันว่าไม่ว่าอย่างไรหน่วยงานก็จะไม่อนุมัติให้ปรับปรุงถนน)
แต่เนื่องจากงบประมาณของ อบต. มีจำกัดการปรับปรุงจึงค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ทาง อบต.
ยังพยายามประสานสำนักเร่งรัดพัฒนาชนบทเพื่อขอช่วยปรับปรุงถนนเพิ่มเติม
เปลี่ยนระบบการผลิต เปลี่ยนตัวตน
การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนไป
จากที่ไม่ค่อยเร่งรีบกลายเป็นวิถีชีวิตที่คร่ำเคร่ง โหมทำงานหนัก
ความตึงเครียดทางด้านเศรษฐกิจทำให้ชาวบ้านปรับตัวด้วยการสร้างความหลากหลาย
ในระบบการผลิต เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดิน การเลือกและหมุนเวียนพืชปลูก
การจัดการน้ำ และการบริหารจัดการแรงงาน
วิถีการผลิตที่เข้มข้นขึ้นทำให้ในชุมชนต้องการแรงงานตลอดทั้งปี
พลบอกว่าหนุ่มสาวในชุมชนนี้ไม่ค่อยออกไปเป็นแรงงานรับจ้างในเมืองเหมือนคนบน
พื้นที่สูงอื่น ๆ
พลไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เชิงโรแมนติกทำนองที่ว่าคนหนุ่มสาว
“รักถิ่นฐานบ้านเกิด”
แต่เขาอธิบายว่าที่คนหนุ่มสาวอยู่ติดบ้านก็เพราะพวกเขามีงานทำและสามารถ
เลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องดิ้นรถออกไปรับจ้าง
ในช่วงที่พวกเราอยู่ในหมู่บ้านสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในหมู่บ้านมีแรง
งานวัยหนุ่มสาวอยู่เป็นจำนวนมาก หนุ่มสาวหลายคู่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย
บางคู่แต่งกันขณะที่ฝ่ายชายมีอายุ 16 ปี ขณะที่ฝ่ายหญิงมีอายุเพียง 13 ปี
นอกจากนั้นพวกเรายังทราบว่าหนุ่มสาวหลายคนเลือกที่จะไม่เรียนต่อในระดับ
มัธยมศึกษา
ในช่วงเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิต
เป็นช่วงที่ต้องการแรงงานอย่างเข้มข้น
ชาวบ้านใช้วิธีแลกเปลี่ยนแรงงานในกลุ่มเครือญาติและเพื่อนบ้าน
แต่ถ้ายังไม่พออีกก็จะจ้างแรงงานจากนอกชุมชน
บางกรณีต้องไปหาแรงงานรับจ้างมาจากอำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ผู้ว่าจ้างมีหน้าที่จัดหาที่พักและอาหารตลอดช่วงเวลาของการทำงานซึ่งนานเป็น
สัปดาห์ไปจนถึงเป็นเดือน ค่าจ้างแรงงานในหมู่บ้านอยู่ที่วันละ 120 บาท
แต่หากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตซึ่งต้องการแรงงานอย่างมากค่าจ้างอาจสูงถึง
วันละ 180 บาท
ในช่วงเก็บข้าวโพดแรงงานที่นำมอเตอร์ไซค์มาลำเลียงผลผลิตออกจากแปลงไปยังจุด
กองพักเพื่อรอโม่แยกเมล็ดได้ค่าจ้างวันละ 200 บาท
ในบ้านก่อวิละขนาด 70 กว่าหลังคาเรือน
แทบทุกครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์และบางครัวเรือนมีหลายคัน พลบอกว่าใน พ.ศ.2551
ที่เขาซื้อรถปิกอัพมือสองทั้งหมู่บ้านมีรถยนต์ไม่เกินห้าคัน
แต่ในช่วงต้นปี พ.ศ.2553 รถปิกอัพเพิ่มขึ้นเป็น 27 คัน
ชาวบ้านซื้อรถยนต์ด้วยเงินจากการปลูกข้าวโพดและหอมแดงขาย
บางส่วนกู้เงินจากสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธกส.เชียงใหม่
สาขาแม่แจ่ม (สกต.) ด้วยคำอธิบายว่ารถยนต์เป็นอุปกรณ์การเกษตรแบบหนึ่ง
ในชุมชนมีหนี้สินกันทุกครัวเรือนแต่มี 16 ครัวเรือนที่มียอดหนี้สูง 130,000
บาท ขึ้นไป ครัวเรือนเหล่านี้ทั้งหมดมีรถยนต์ ส่วนใหญ่เป็นการซื้อรถมือสอง
ในจำนวนนี้ มี 13 ครัวเรือนที่กู้เงินจาก สกต. โดยมียอดกู้ตั้งแต่ 1
แสนบาทจนถึง 2 แสนบาท
แน่นอนว่ารถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ถูกนำมาใช้ทำการเกษตร
ขณะเดียวกันยานพาหนะเหล่านี้ก็เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำให้การใช้ชีวิต
ของชาวบ้าน “สะดวกสบาย” มากขึ้น
ในสายตาของหลายคนรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์เป็นปัจจัยชี้วัด “ความฟุ่มเฟือย”
ของชาวชนบท แต่สำหรับชาวไร่ชาวนายานพาหนะพวกนี้อาจหมายถึง “การกินดีอยู่ดี”
หรือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ในช่วงที่พวกเราเข้า-ออกหมู่บ้านเป็นเวลาหลายเดือนพลมักชวนพวกเราติดรถ
ยนต์ของเขาไป “เที่ยวป่า” หรือบางครั้งเขาตั้งใจพาพวกเรา “ไปเที่ยว”
เป็นการเฉพาะ
เขาขับรถยนต์ลัดเลาะไปตามสันดอยและแวะทักทายเยี่ยมเยียนผู้คนตามหมู่บ้าน
ต่าง ๆ มีครั้งหนึ่งพวกเราใช้เวลาช่วงวันหยุดสงกรานต์เพื่อ “ทำงาน”
เก็บข้อมูลในหมู่บ้าน ปรากฏว่าพลใช้วันสงกรานต์เพื่อ “ไปเที่ยว”
การเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง
หรือการไปเที่ยวป่าไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ในวัฒนธรรมปาเกอะญอ
แต่ที่น่าแปลกใจคือพลพาพวกเราไปเที่ยวที่ยอดดอยอินทนนท์ในบริเวณซึ่งเป็นที่
นิยมของนักท่องเที่ยวจากเชียงใหม่และที่อื่น ๆ ทั้ง ๆ
ที่หมู่บ้านก่อวิละเองก็อยู่ในเทือกเขาถนนธงชัยอันเป็นที่ตั้งของดอยอิน
ทนนท์ อยู่แล้ว
พลขับรถปิกอัพขับเคลื่อนสี่ล้อของเขาบรรทุกญาติพี่น้องไปเต็มลำรถ
เขาบอกว่าเป็นการ “เที่ยวพักผ่อนวันหยุด นานทีปีหน”
ซึ่งพวกเราเห็นว่านั่นคือวิถีชีวิตแบบคนในเมืองซึ่งแลดูแปลกไปจากวิถีชีวิต
ของปาเกอะญอ “ดั้งเดิม” ที่ “เรียบง่าย” แบบที่พวกเราเคยเข้าใจ
เรามักเข้าใจกันว่าเกษตรกรรายย่อยเพลี่ยงพล้ำในระบบทุนนิยมจนสิ้นเนื้อ
ประดาตัว
ซึ่งหากสำรวจตัวเลขเราอาจพบว่าการปลูกข้าวโพดและหอมแดงไม่ได้ทำให้ชาวบ้าน
ก่อวิละ “ร่ำรวย” ขึ้นมา ตรงกันข้ามกลับยังมีหนี้สินมากขึ้น
แต่ในข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งที่พวกเราพบก็คือการผลิตพืชเศรษฐกิจได้ช่วย
ให้ชาวบ้านก่อวิละมีเงินมาลงทุนพัฒนาระบบการผลิต มีทุนหมุนเวียน
และมีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยคล่องมือมากขึ้น
นอกจากนั้นเรายังพบว่าชาวบ้านหลายคนสามารถสะสมทุนได้มากขึ้น
ซึ่งทุนในที่นี้คือที่ดิน
การสำรวจพบว่าชาวบ้าน 17 ครัวเรือน
ซื้อที่ดินเพิ่มจากคนเมืองที่อยู่ชุมชนถัดลงไปรวมทั้งสิ้น 23 แปลง
คิดเป็นเนื้อที่รวม 157 ไร่ เป็นจำนวนเงินรวม 1,121,800 บาท
เจ้าของที่ดินเดิมโดยส่วนใหญ่ขายที่ดินเพราะไม่มีแรงงานทำเกษตรเนื่องจากลูก
หลานในหมู่บ้านออกไปทำงานในเมืองกันหมด
ชาวบ้านก่อวิละเริ่มซื้อที่ดินกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 ช่วงแรก ๆ
ซื้อเฉพาะที่นาไว้ปลูกข้าว แต่เจ้าของที่ดินบางรายขายรวมทั้งที่นาและที่ไร่
จนกระทั้งปี พ.ศ. 2551 ชาวบ้านจึงเริ่มหันมาซื้อที่ไร่กันมากขึ้น
ในสภาวะที่ชาวบ้านก่อวิละไม่มีความมั่นคงในสิทธิเหนือที่ดิน
การซื้อที่ดินจากคนเมืองไม่ได้ช่วยให้พวกเขามั่นคงมากขึ้น
เพราะที่ดินที่ซื้อมาก็ไม่ได้มีเอกสารสิทธิใด ๆ
แต่ผู้ซื้อที่ดินได้ขยายกำลังการผลิตของตนในที่ดินที่ซื้อมาอย่างเต็มกำลัง
โดยหวังจะสร้างรายได้เพิ่ม และจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากขึ้น
ทั้งยังสามารถที่จะสะสมทุนเพิ่มขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม
จำเป็นต้องเน้นย้ำว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั้งหมดที่สามารถสะสมทุนเช่นนี้
เพราะแต่ละครัวเรือนในบ้านก่อวิละมีความแตกต่างทางฐานะทางเศรษฐกิจและ
สถานภาพทางสังคมจึงทำให้โอกาสสะสมทุนของแต่ละครัวเรือนมีไม่เท่ากัน
ตัวตนแบบไหน
ผู้เขียนเชื่อว่าชาวบ้านก่อวิละโดยส่วนใหญ่รับรู้ว่าคนภายนอกอยากให้
พวกเขาดำเนินชีวิตและนำเสนอตัวตนอย่างไร
แต่ระบบการผลิตและวิถีชีวิตที่พวกเราได้เรียนรู้ตลอดหลายเดือนที่เข้า-ออก
หมู่บ้านเป็นตัวตนที่พวกเขาเลือกที่จะเป็นอยู่จริง
อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาขณะนั้น ท่ามกลางสภาวะและเงื่อนไขต่าง ๆ
ที่พวกเขาเผชิญ
ตัวตนแบบที่ชาวบ้านก่อวิละเลือกอาจไม่ “เรียบง่าย” และ
“เป็นมิตรกับธรรมชาติ” แบบที่หลายคนอยากเห็น แต่ตัวตนที่ไปไกลจากภาพ
“ชาวเขา” ผู้ “ด้อยพัฒนา” ล้าหลัง
คงเป็นตัวตนที่พึงน่าปรารถนาสำหรับชาวบ้านเอง
และสิ่งที่มากไปกว่าภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาคือ
พวกเขาเชื่อว่าวิถีชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตที่ “ดีขึ้น” ในแบบที่พวกเขาต้องการ
มีรายได้และเงินหมุนเวียนคล่องมือจนสามารถซื้อที่ดินทำการผลิตเพื่อสะสมทุน
เพิ่มขึ้นได้
นอกจากนั้นยังทำให้พวกเขามีอำนาจและอาจทัดเทียมกับคนอื่นได้มากขึ้น เช่น
สามารถผลักดันให้มีการปรับปรุงถนนหนทางเข้าหมู่บ้าน
และได้เดินทางไปเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวของคนเมือง เป็นต้น
หากเราถกเถียงกันเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้านบนพื้นที่สูงภายใต้โจทย์
แบบเดิม ๆ ด้วยกรอบคิดที่จำกัดอยู่เพียงแต่เรื่อง “อนุรักษ์ธรรมชาติ”
เพื่อผลประโยชน์ของ “ส่วนรวม”
ชาวบ้านก่อวิละจะถูกตัดสินว่าไม่มีสิทธิและความชอบธรรมใดที่มีวิถีการผลิต
และการดำเนินชีวิตแบบที่เป็นอยู่
แต่หากเรายอมรับว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่สูงหรือพื้นราบก็ควรจะ
มีสิทธินิยามและเลือก “ชีวิตที่ดี” แบบที่ตนเองต้องการ
พวกเราก็ควรพยายามทำความเข้าใจกับตัวตนของชาวบ้านก่อวิละในแง่มุมนี้ด้วย
ผู้เขียนไม่กล้าตัดสินว่าวิถีชีวิตที่ชาวบ้านก่อวิละเลือกและแลกมานี้
ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ดีต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า ยั่งยืนพอไหม
เพราะพวกเราเห็นอยู่แล้วว่าในสังคมมีคนที่คอยบอกว่าคนอื่นควรหรือไม่ควรทำ
อะไรมากเกินพอแล้ว
แต่พวกเราเห็นว่าสังคมยังขาดความเข้าใจที่เพียงพอว่าเหตุใดคนในแต่ละแห่งแต่
ละที่จึงเลือกวิถีชีวิตแบบที่เขาเป็นอยู่ และเหตุใดพวกเขาจึงเห็นว่านั่นคือ
“ชีวิตที่ดี”
ผู้เขียนมองว่า “ชีวิตที่ดี” มักเป็นนิยามจากการเปรียบเทียบ
หากไม่มีถนนลาดยางคุณภาพดีแบบในเมือง ไม่มีรถยนต์ที่คนเมืองใช้กันเกร่อ
ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่คนเมืองชอบไปพักผ่อนในวันหยุด
ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพที่ทำให้ชีวิตคนในเมืองสะดวกสบายไปเสีย
ทุกอย่าง
คนบนพื้นที่สูงก็อาจไม่ดิ้นรนปรับเปลี่ยนระบบการผลิตเพื่อจะได้มีตัวตนแบบ
ใหม่ที่มีความสะดวกสบายและมีศักดิ์ศรีทัดเทียมกับคนเมือง
ดังนั้น หากคนเมืองอยากกำหนดให้ตัวตนของคนบนพื้นที่สูงเป็น
“นักอนุรักษ์” ที่มีวิถีชีวิตเรียบง่ายเป็นมิตรกับธรรมชาติแล้วละก็
คนเมืองอาจต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเองให้ไม่สุขสบายกว่า ไม่มีมากกว่า และไม่อยู่เหนือกว่าจนเป็นที่เปรียบเทียบของคนบนพื้นที่สูงเสียก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น