แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

TDRI: ข้อเสนอกลไกยกระดับค่าจ้างแรงงานเพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย

ที่มา ประชาไท



เจตนารมณ์ของการประกาศใช้ค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทยเป็นไปเพื่อคุ้มครอง แรงงานให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐาน ซึ่งในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมาพบว่าแนวโน้มลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ มีสัดส่วนน้อยลง  และแม้ว่าการประกาศใช้ค่าจ้างขั้นต่ำจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครอง แรงงาน แต่การประกาศใช้ค่าจ้างขั้นต่ำก็นับเป็นการแทรกแซงกลไกตลาด ซึ่งผลกระทบของค่าจ้างขั้นต่ำมีทั้งผลดีและผลเสีย
การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันทั่วประเทศในต้นปี 2556 นี้แม้ว่าเป็นไปภายใต้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลตามที่หาเสียงไว้ และดูเป็นธรรมกับลูกจ้างระดับหนึ่งเพราะทำให้ความเหลื่อมล้ำของค่าจ้างลดลง  อย่างไรก็ดี การที่ตลาดแรงงานของไทยเป็นตลาดที่เน้นใช้แรงงานราคาถูก ส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นตัวขับ เคลื่อน จึงต้องพยายามรักษาขีดความสามารถของการแข่งขันของสินค้าไทย เน้นการลดต้นทุนการผลิตด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำและมีนโยบายผ่อนปรนให้แรงงาน ต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ผู้ประกอบการจึงไม่มีแรงจูงใจที่จะปรับกลไกการผลิต
จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ภายใต้โครงการสำรวจความคิดเห็นและทัศนคติทางสังคมรายไตรมาส : การศึกษาคุณภาพชีวิตแรงงานไทย  เสนอต่อ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม  ผลการศึกษาระบุว่า  หนทางหนึ่งที่จะหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ที่เกิดจากการไม่สามารถสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการผลิตเพื่อเพิ่ม มูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าได้ และเป็นหนทางนำไปสู่การยกระดับค่าจ้างหรือรายได้ของแรงงานเพื่อคุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้นของคนในประเทศคือ การหันเหทิศทางการจ้างงานที่เน้นการแข่งขันเรื่องค่าจ้างไปสู่การพัฒนา คุณภาพผลิตภัณฑ์ การปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน พร้อมกับยกระดับรายได้แรงงานให้กินดีอยู่ดี จนหลุดพ้นการติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยการสร้างระบบที่มีกลไกสร้างทั้งแรงจูงใจและแรงกดดัน นำไปสู่การใช้ปัจจัยการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้น และต้องการจ้างแรงงานที่มีฝีมือสูงขึ้น สร้างกลไกกดดันผ่านกลไกราคาปัจจัยการผลิตซึ่งในส่วนของแรงงานก็คือค่าจ้าง ที่สูงขึ้น เป็นการบังคับให้นายจ้างต้องดิ้นรนหาหนทางปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต กลไกดังกล่าวคือ
1.การปฏิรูปโครงสร้างภาษี เช่น ลดหย่อนภาษีเครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อปรับเปลี่ยนราคาเปรียบเทียบ (relative prices) ของปัจจัยการผลิต ในการจูงใจ (incentive) และสร้างแรงกดดัน (pressure) บังคับให้ผู้ประกอบการปรับโครงสร้างการผลิตสู่ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี และผลิตสินค้ามูลค่าสูง ซึ่งการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น จะส่งผลต่อความต้องการแรงงานที่มีคุณภาพ และมีค่าตอบแทนสูง
2. การให้สิทธิพิเศษในการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลง ทุน (BOI) โดยเน้นการให้สิทธิพิเศษกรณีลงทุนด้านเทคโนโลยีในระยะเริ่มต้น และใช้เกณฑ์ด้าน performance based incentive ในการให้สิทธิดังกล่าวในระยะติดตามผล
3.การทยอยปรับความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานบางด้าน เพื่อทำให้ต้นทุนในการจ้างงานสูงขึ้น เช่น การตั้งเป้าหมายว่าจะบังคับกฎหมายโดยอาจเริ่มจากการตรวจแรงงานเพื่อให้นาย จ้างจ่ายค่าจ้างวันหยุดประจำสัปดาห์ ค่าจ้างวันหยุดประเพณีอย่างน้อยปีละ 5-7 วัน ส่วนลูกจ้างที่ทำงานในภาคบริการเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ต้องได้ค่าล่วงเวลา (OT) หรือค่ารถกลับบ้านดึก เป็นต้น กำหนดพื้นที่เป้าหมายว่าจะเริ่มในพื้นที่ไหน สาขาอะไร ค่อยๆ ทำให้กฎหมายตึงขึ้นทีละน้อย เพื่อไม่ให้เป็นช็อคต่อระบบการผลิตและเศรษฐกิจ และให้เวลานายจ้างปรับตัว นอกจากนี้ ควรสร้างกลไกในการให้แรงจูงใจ (incentive) แก่นายจ้างที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ให้นายจ้างที่มีโครงสร้างการปรับค่าจ้างประจำปี มีการจัดสวัสดิการที่ดี สามารถนำหลักฐานมาประกอบเพื่อยื่นลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น
4.การเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน (labour productivity) ซึ่งเป็นบทบาทของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการเร่งพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีสมรรถนะสูงโดยจัดฝึกอบรมทักษะที่จำเป็น และสร้างวัฒนธรรมการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ (best practice) ตั้ง “มาตรฐานฝีมือแรงงาน” ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมว่าต้องการความสามารถเฉพาะทาง (competencies) เพียงใด เพื่อนำไปสู่กรอบการฝึกอบรมและทดสอบสมรรถนะที่สามารถควบคุมคุณภาพและ รับประกันคุณภาพของแรงงาน เน้นพัฒนาคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ให้แก่บุคลากร รวมทั้งภาครัฐควรสนับสนุนการพัฒนาแรงงานในธุรกิจ SMEs ด้วย นอกจากนี้ เนื่องจากข้อจำกัดสำคัญของแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมคือต้องทำงานล่วงเวลา (OT) เพื่อให้ได้เงินเพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการใช้จ่ายหรือดูแลครอบครัว จึงเหนื่อยล้าและไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ในการสะสมความรู้ความ ชำนาญ ดังนั้นการเพิ่มบทบาทขององค์กรลูกจ้าง/สหภาพแรงงานในฐานะที่มีความใกล้ชิด รู้จักและเข้าใจความต้องการของแรงงานได้ดี ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ของแรงงาน เช่น การค้นคว้าข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น จึงเป็นเรื่องสำคัญ
5.การเปิดโอกาสให้องค์กรลูกจ้าง/สหภาพแรงงานเข้ามามีบทบาทเป็นกลไกในเกิด การมีโครงสร้างค่าจ้างในสถานประกอบการด้วยการเป็นองค์กรเพื่อการเจรจาต่อรอง ภายในสถานประกอบการ หากไม่สัมฤทธิ์ผล องค์กรลูกจ้างก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้ทำหน้าที่เข้ามาเจรจากับผู้ ประกอบการเพื่อให้ดำเนินการปรับค่าจ้างตามโครงสร้างค่าจ้าง หากแต่ละองค์กร (นายจ้าง ลูกจ้าง รัฐ) สามารถประสานความร่วมมือและดำเนินการปรับค่าจ้างในระดับสถานประกอบการให้ อยู่ในระดับยอมรับกันได้แล้ว ก็จะทำให้แรงงานไม่ต้องมาพึ่งองค์กรแรงงานระดับชาติในการเจรจาต่อรองเรื่อง การค่าจ้างขั้นต่ำเหมือนที่ผ่านมา
6.การทบทวนนโยบายแรงงานต่างด้าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือ ในระยะสั้นควรพิจารณาว่าหากมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าวแล้วจะดำเนิน นโยบายหรือมีมาตรการอย่างไรให้ได้แรงงานต่างชาติระดับแรงงานฝีมือมากกว่าแรง งานกรรมกร เพราะนอกจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานฝีมือที่สูงกว่าแล้ว ยังมีเหตุผลด้านอื่นๆ เช่น ภาระในการดูแลและปัญหาสังคม
7.การยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยสถาบันการศึกษาจัดการเรียนการสอนแบบ work-basedมีการประเมินการสอนแบบ competency based และเรียนพื้นฐานวิชาเพื่อให้สามารถปรับตัวเปลี่ยนงานได้เมื่อเทคโนโลยี เปลี่ยนแปลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น