ไทยเปิดแล้วตั้งแต่พศ. 2546แล้วไม่ใช่หรือ?
แม้ว่าในยุครัฐบาลทักษิณ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรทำสุรากลั่น ชุมชนของประชาชนในท้องถิ่น การส่งเสริมดังกล่าวมีข้อจำกัดมากจนเกินกว่าจะเรียกได้ว่าไทยเปิดเสรีสุรา แล้ว ข้อจำกัดที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
1. อนุญาตให้ผลิตสุราชุมชนแบบ“สุรากลั่น”แต่ไม่อนุญาตให้ผลิต“สุราแช่” และกำหนดว่าสุรากลั่นชุมชนต้องมีแรงแอลกอฮอล์เกินกว่า 15 ดีกรีแต่ไม่เกิน 40 ดีกรี
สุราแช่อาศัยการหมักซึ่งให้สุราที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าสุรากลั่น สุราแช่มีแอลกอฮอล์ระหว่าง 4-23 ดีกรี (อาทิ ไวน์คูลเลอร์ เบียร์ ไวน์ พอร์ต) ประเด็นสำคัญคือมติครม.สงวนสุราแช่ไว้ให้ผู้ผลิตรายใหญ่ไม่กี่ราย การไม่เปิดเสรีหมายความว่ารัฐบาลยินยอมให้ผู้ผลิตสุราไม่กี่รายเป็นอภิมหา เศรษฐีโดยไม่แบ่งกำไรให้ผู้ผลิตชุมชน ประชาชนที่ถือศีล 5 อาจจะหวาดกลัวว่าการเปิดเสรีจะทำให้อาชญากรรมเพิ่มขึ้น ขอแนะนำให้ศึกษากรณีของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นอนุญาตให้รายย่อยผลิตสุราแช่ได้ ญี่ปุ่นมีสุราแช่สารพัดยี่ห้อจนนับไม่ถ้วน แต่ญี่ปุ่นมีอาชญากรรมน้อยติดอันดับโลก
2. กำหนดว่าสุรากลั่นชุมชนต้องติดฉลากว่า“สุราขาว”
การจำกัดฉลากว่าสุราขาวหรือที่เรียกกันว่า “เหล้าขาว”ทำให้มีภาพพจน์ว่าสุราชุมชนเป็นสินค้าคุณภาพต่ำทั้งๆที่สุรากลั่น ในต่างประเทศมีคุณภาพหลากหลายและมีชื่อเรียกสารพัดแล้วแต่ว่าใช้วัตถุดิบ อะไร ที่จริงแล้วสุรากลั่นที่ตีตลาดโลกจนขายดีทีสุดในโลกคือสุรากลั่นเกาหลีใต้ ที่ทำจากข้าว(เดี๋ยวนี้ใช้แป้งชนิดต่างๆรวมทั้งแป้งมันสำปะหลังด้วย) รัฐบาลควรยกเลิกการจำกัดฉลากสุราชุมชนด้วยคำว่า “สุราขาว”และตั้งชื่อใหม่ตามแต่วัตถุดิบเพื่อยกระดับภาพพจน์ของสุรากลั่น ที่สำคัญ ถ้ารัฐบาลอนุญาตให้ผู้ผลิตสุราชุมชนผลิตสุราแช่ได้ สุราชุมชนสามารถติดฉลาก “ไวน์คูลเลอร์”หรือ “ไวน์” หรือ “เบียร์” ได้เหมือนผู้ผลิตรายใหญ่ ไวน์ไม่จำเป็นต้องผลิตจากองุ่นเท่านั้น ในต่างประเทศมีไวน์ข้าวสารพัดยี่ห้อ ไวน์ผลไม้ก็มีสารพัดชนิด เช่น ไวน์สัปปะรด แทนที่รัฐบาลไทยจะสงวนฉลาก “ไวน์”ไว้ให้ไวน์นำเข้าและไวน์องุ่นของผู้ผลิตรายใหญ่ รัฐบาลน่าจะให้ฉลาก“ไวน์”กับสุราชุมชนเพื่อขยายตลาดข้าว(และสินค้าเกษตร ต่างๆ)ให้กว้างขึ้น
3. อำนาจของอธิบดีกรมสรรพสามิตที่จะอนุญาตให้ผลิตสุราชุมชนหรือไม่ยังอ้างอิงพรบ.สุราพศ. 2493 ที่กีดกันการแข่งขัน
สาระสำคัญของพรบ.ดังกล่าวคือการส่งเสริมการผูกขาดการผลิตและจำหน่ายสุรา โดยผู้ผลิตรายใหญ่ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล การกีดกันด้วยอัตราภาษีนำเข้าทำให้ผู้ผลิตในประเทศไม่กี่รายที่รัฐบาลคุ้ม ครองอยู่ขายสุราด้วยราคาแพงได้ พรบ.สุราพศ.2493โดนแก้มาหลายครั้งโดยเฉพาะทีเกี่ยวข้องกับอัตราภาษีแต่ ยังไม่ยกเลิก ที่สำคัญ อำนาจของอธิบดีกรมสรรพสามิตที่จะอนุญาตให้ผลิตสุราหรือนั้นไม่เคยเปลี่ยน แปลง พรบ.นี้เก่าแก่ล้าหลังและสนับสนุนการผูกขาดยิ่งกว่าพรบ.การธนาคารพาณิชย์
ก้าวไปให้พ้นการจำนำข้าว
การเปิดเสรีสุราสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการตลาดเพื่อช่วยชาวนาและเกษตรกร โดยรวมในระยะยาวได้ การเปิดเสรีสุราเป็นนโยบายทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ หรือประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปตะวันตก การเปิดเสรีไม่ได้หมายความว่าใครก็ลุกขึ้นมาผลิตสุราขายได้เหมือนขาย เสื้อ แต่หมายความว่ากระบวนการให้ใบอนุญาตโปร่งใสและตรวจสอบได้กว่ากระบวนการของ ไทย และกฎหมายสนับสนุนการแข่งขันไม่ใช่ส่งเสริมการผูกขาด การเปิดเสรีสุราดีกว่าการจำนำข้าวที่มีผลระยะสั้น ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกผันผวนมากดังนั้นรัฐบาลควรเลิกยึดติดกับ สถานะ“ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ในตลาดโลก” การเปิดเสรีสุราจะช่วยขยายตลาดในประเทศให้แก่ข้าวและผลผลิตการเกษตรอื่นๆ
ว่าแต่ว่านักการเมืองที่โจมตีการจำนำข้าวจะผลักดันการเปิดเสรีสุราไหม? หรือว่าขี่หลังสิงห์หลังช้างแล้วลงไม่ได้?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น