วันที่ 21 ธันวาคม 2555 (go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องของส.ส.พรรคเพื่อไทย
ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบกรณีการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวม
4 หน้ากระดาษ ระบุว่า การดำเนินการระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลในช่วงปี
2552-2553 มีการดำเนินการเป็นความลับ
ไม่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการเพียงบางราย
เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่นไม่ให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม
มีการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบในการจำหน่ายโดยมิชอบ
และจำหน่ายในราคาต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือ
ฮั้วประมูล และความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1
.เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบมติกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)
โดยเห็นชอบในหลักการให้พิจารณาระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล
โดยให้ระบายไปยังตลาดต่างประเทศที่นอกเหนือตลาดปกติของผู้ส่งออกข้าว
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้พิจารณาจำหน่ายข้าวสารในรูปแบบจีทูจี
ด้วยความระมัดระวัง มิให้กระทบต่อระบบตลาดครั้งละไม่เกิน 300,000 ตัน และจำหน่ายแก่เอกชนเพื่อการส่งออกจำนวนไม่เกิน 100,000 ตัน แล้วรายงานให้กขช.ทราบก่อนลงนามสัญญากับคู่สัญญาต่อไป
2
.เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2553
ครม.ได้มีมติรับทราบกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินการระบายข้าวตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาลที่กขช.เสนอ
และเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการพิจารณาระบาบข้าวกำหนดหลักเกณฑ์และกรอบยุทธศาสตร์
รวมถึงปริมาณการจำหน่ายด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะราคาตลาด
และให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารเป็นผู้ดำเนินการและนำเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารพิจารณาอนุมัติ
แล้วเสนอประธานกขช.หรือรองประธานกขช.พิจารณาให้ความเห็นสอบก่อนลงนามสัญญา
โดยมีข้อสังเกตว่า มติครม. 29 มิ.ย.2553 ได้แก้ไขมติครม.วันที่ 18 พ.ค. 2553 ในประเด็นสำคัญ คือ
การเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบจำหน่ายข้าวในสต็อกรัฐบาล
จากคณะกรรมการกขช. เป็นประธาน หรือรองประธานกขช.
3
.ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2553
ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการระบายข้าวจากเดิม มาเป็นการให้เอกชนผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศในปริมาณมาก
ยื่นคำเสนอขอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวน
เนื่องจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ในฐานะรองประธาน กขช.
ระบุว่าการจำหน่ายข้าวในสต็อกต้องทำเป็นความลับ
ทั้งนี้เมื่อเอกชนผู้ส่งออกข้าวยื่นคำขอซื้อแล้ว คณะทำงานพิจารณาระบายข้าวจะนำเสนอผลการเจรจาให้รมว.พาณิชย์อนุมัติแล้วเสนอรองประธาน
กขช. ให้ความเห็นชอบ
จากนั้นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งให้เอกชนที่ผ่านการพิจารณาเข้าทำสัญญากับอตก.หรืออคส.
โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องส่งออกข้าวไปต่างประเทศภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น
ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเอกชนเข้าทำสัญญาเพียง 9 ราย
จากจำนวนผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 317
ราย โดยที่ผู้ส่งออกรายอื่นไม่ได้รับสิทธิเป็นคู่สัญญาเนื่องจากไม่ทราบเรื่อง
ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีปริมาณข้าวที่ระบายออกจากสต็อกจำนวน 4,126,656 ตัน คิดเป็นมูลค่า 53,070,216,395 บาท
4
.ราคาจำหน่ายข้าวขาวชนิด 5%
ที่จำหน่ายจากวิธีระบายข้าวดังกล่าว มีราคาเฉลี่ยตันละ 12,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10%
และต่ำกว่าราคาที่ควรจะขาย โดยมีราคาต่างจากการระบายข้าวของรัฐบาลปัจจุบันตันละ 4,300 บาท จึงก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 15,000
ล้านบาท
5
.การที่กขช.และครม.กำหนดนโยบายระบายข้าวโดยปล่อยให้มีการ
ใช้วิธีระบายโดยให้เอกชนที่มีคำสั่งซื้อในปริมาณมากยื่นคำเสนอขอซื้อในสต็อก
รัฐบาล
เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวสามารถเลือกช่องทางแสวงหา
ผลประโยชน์ได้โดยง่าย
แม้จะกำหนดให้เป็นการขายแบบจีทูจี แต่ท้ายที่สุดไม่ได้มีการขายแบบจีทูจี
แต่ขายให้เอกชนในประเทศเพื่อส่งออกแทน
นอกจากนี้ในการทำสัญญามีการจำหน่ายข้าวมากกว่าสัญญาละ 100,000 ตัน ซึ่งไม่ตรงตามมติกขช.และมติครม. จึงเป็นการดำเนินการที่เกินอำนาจ
6
.พบว่าไม่มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อข้าวของเอกชน
เป็นผลให้เอกชนหลายรายที่เป็นคู่สัญญาไม่ส่งออกข้าวออกนอกประเทศภายในเวลาที่กำหนด
มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25% ของสัญญาส่งออกข้าว
และมีการคืนหลักประกันเนื่องจากเอกสารการส่งออกไม่ครบถ้วน
ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย
7
.มีการจำหน่ายข้าวให้กับหนองลังกาฟาร์ม โดยทำสัญญาในนาม
น.ส.เสาวลักษณ์ เย็นใส โดยน.ส.เสาวลักษณ์เป็นลูกจ้างของนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา
ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ โดยเมื่อได้รับข้าวสารแล้วได้นำส่งให้บริษัทกาญจนาอาหารสัตว์
ซึ่งเป็นบริษัทของนางบุญยิ่ง โดยมีข้อสังเกตว่ามีการจำหน่ายในราคาถูกมากเพียง 5,400
บาท/ตัน ต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ในราคาตันละ 12,800 บาท ซึ่งทำให้ขาดทุนไปถึงตันละ 7,400 บาท
มี
ข้อน่าสังเกตว่า บริษัท หนองลังกาฟาร์ม มีกรรมการผู้ถือหุ้นใหญ่
เป็นรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย และนางบุญยิ่ง
เป็นภรรยาของรองหัวหน้าพรรคฯ คนดังกล่าว
ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
โดยมีประกาศราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นหลักฐาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น