แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทราย เจริญปุระ:ถ้าชอบ ฉันก็เป็นนางฟ้า ถ้าไม่ชอบ ฉันก็เป็นกะหรี่คนหนึ่ง

ที่มา Thai E-News


โดย ทราย เจริญปุระ  charoenpura@yahoo.com 
ที่มาคอลัมน์รักคนอ่าน มติชนสุดสัปดาห์

คนไทยเป็นเชื้อชาติที่ด่าได้ยอกย้อนและเจ็บปวด

เทียบกับคำด่าฝรั่งที่มีไม่กี่คำ ด่ากันซ้ำไปซ้ำมาแล้ว

ของไทยต้องนับว่าชนะขาดลอย

อาจเป็นเพราะเรามักไม่พูดกันตรงๆ วิจารณ์กันตรงๆ แต่เก็บมาพูดกันเอง

จะด้วยอยากวิจารณ์หรือพูดเอาสะปากก็เถอะ 

ภาษาด่าของเราถึงได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน กระทบกระเทียบเปรียบเปรยไปได้แบบต่อให้ไม่เห็นตัว

แต่พอได้ยินคำด่าก็นึกภาพออกเป็นฉากๆ



เขาว่าคำด่าที่เจ็บปวดและดูจะได้รับความนิยมที่สุด

ก็คือคำด่าที่พาดพิงไปเกี่ยวกับผู้หญิงหากิน

ไล่มาตั้งแต่นับญาติว่าเป็นลูก เป็นแม่ เป็นสามีของเธอเหล่านั้น

ไปจนถึงด่ากันตรงๆ ดื้อๆ ว่าเจ้าตัวเป็นเสียเอง

เห็นใครที่ไม่ถูกตาถูกใจเกิดมีอาการร่าเริงสดใสขึ้นมาล่ะก็

พนันได้เลยว่าเดี๋ยวจะต้องมีคำด่าประเภทนี้ลอยมาเข้าหู

ซึ่งก็มักจะได้ยินบ่อยๆ

เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ สุดท้ายก็ไม่พ้นความร่าเริง

แล้วพอร่าเริงขึ้นมาเมื่อไหร่ คนที่ไม่ชอบเขาก็ได้สมใจ ใช้คำด่ามาระบุตัวตนทันที

ทั้งดอกทอง, โสเภณี, ชอกการี ไปจนถึงง่ายๆ ลุ่นๆ อย่าง "กะหรี่"

บางทีได้ยินแล้วก็ให้นึกถึงคนที่ประกอบอาชีพนี้

โดนด่าทั้งทางตรงทางอ้อมทุกวันๆ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคู่ขัดแย้งนั่นแม้แต่น้อย

ด่าคนที่แม้ไม่ได้ทำอาชีพ แต่มีกริยาอาการบางอย่างให้ขวางตาก็ตีกระทบไปถึงงานขายบริการทางเพศ

อาจเพราะเธอเหล่านี้ไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ของสังคม อาชีพก็ดูเป็นสีเทาๆ

แลกความออดอ้อนฉอเลาะและสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาทำให้กันฟรีๆ เพื่อสิ่งที่เรียก ว่าความรักกับเงิน

เลยตกเป็นเหยื่อความสะปากกันไปได้ง่ายๆ



เราเองอาจจะบอกว่าเราก็พูดไปอย่างนั้น

คนบางคนมันแย่กว่ากะหรี่เสียอีก

แต่ไม่รู้จะด่าอย่างไรให้สาสม ก็เลยได้แต่พูดไปซ้ำๆ ด้วยความมันปาก

ว่าคนนั้นกะหรี่อย่างนี้ คนนี้กะหรี่อย่างนั้น

เบะปากใส่ ทำตัวห่ออย่างขยะแขยง เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบไม่ขอข้องแวะด้วย

โดยไม่ได้คิดหรอกว่าเธอเหล่านั้นก็เป็นคน

และการตัดสินใจของกะหรี่ก็มีส่วนช่วยคนดีๆ ได้หลายคน


จากภาพยนต์ เรื่อง the flowers of war 2011 

13 บุปผาแห่งนานกิงยกเอาฉากหนึ่งในสงครามอันอื้อฉาวมาใช้

ก่อนจะใส่ตัวละครอันมีสีสันเพิ่มเข้าไป

เรื่องจริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่, ไม่มีใครยืนยันได้

หรือที่จริงต้องบอกว่า, แทบจะไม่มีใครรอดมายืนยันได้

ช่วง ทหารญี่ปุ่นบุกยึดเมืองนานกิงในปี 1937 นั้นถือว่าเป็นความเลวร้ายอย่างที่สุด จากพฤติกรรมที่นอกจากจะยึดเมืองด้วยเล่ห์กลทางการทหารแล้ว

ยังฆ่าคนไปเป็นจำนวนมาก

โดยไม่ได้แค่ฆ่าเฉยๆ

แต่ยังข่มขืนและกระทำทารุณต่อผู้หญิงและเด็กแทบทุกชีวิตในเมืองนั้น

คนที่รอดมาได้ไม่ได้รอดเพราะความเมตตา

แต่รอดเพราะโชคชะตาส่วนตัวและความช่วยเหลือของคนบางกลุ่ม

ตามประวัติศาสตร์จริง ผู้ช่วยให้รอดนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

บ้างเป็นหมอ บ้างเป็นนักการทูต

แต่หนังสือเล่มนี้เลือกหยิบเอาชะตากรรมที่รอดพ้นความวิบัติครั้งนั้นของนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง

ซึ่งมีชีวิตต่อมาได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้หญิงจากหอนางโลม

ใช่, เธอรอดตายเพราะกะหรี่



อาจเพราะพวกเธอเคยถูกกดขี่มาจนเคยชิน

อาจเพราะพวกเธออยากพิสูจน์ให้ได้เห็นว่าเธอก็มีประโยชน์

อาจเพราะเธออยากทำให้ดูว่าสิ่งที่รังเกียจกันนั้น สุดท้ายมันก็คืออำนาจที่จะต่อรองและซื้อเวลา

อาจเพราะเธออยากให้เห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าจะแลกกับชีวิต

ชีวิตของคนดีๆ ที่พร่ำด่าแล้วชักสีหน้ารังเกียจใส่พวกเธออยู่ทุกวันนั่นล่ะ

จะอะไรก็เถอะ

ฉันเห็นใจพวกเธอ

ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีสิทธิเป็นได้ทั้งนางฟ้าและกะหรี่

ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะไปปรากฏตัวต่อหน้าใคร

และเขาจะชอบใจฉันหรือไม่

ถ้าชอบ, ฉันก็เป็นนางฟ้า

ถ้าไม่ชอบ, ฉันก็เป็นกะหรี่คนหนึ่ง

ไม่ได้วัดจากความประพฤติหรือข้อเท็จจริงอะไร

เขาดูกันง่ายๆ ที่ใจของพวกเขานั่นเอง

******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:การเมืองเรื่องกาแฟ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น