ข้อมูลจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาคสี่ส่วนหน้า
ระบุว่าชายฉกรรจ์ประมาณ 50 คนแต่งกายด้วยชุดทหาร สวมเสื้อเกราะ
มีผ้าพันคอสีขาวได้ขับรถกระบะ 3 คันและจักรยานยนต์ 2 คัน
พร้อมอาวุธสงครามในมือเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ
ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาสในเวลาประมาณตีหนึ่งของวันที่ 13
กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังปะทะกันประมาณ 10-15 นาที “ผู้ก่อเหตุรุนแรง”
เสียชีวิตที่บริเวณข้างฐาน 14 คน อีก 2
คนเสียชีวิตในการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ติดตามไปขณะล่าถอย
หนึ่งในผู้เสียชีวิตมีนายมะรอโซ จันทรวดี
แกนนำกลุ่มติดอาวุธที่มีค่าหัวสองล้านรวมอยู่ด้วย
ซึ่งแหล่งข่าวทหารในพื้นที่ระบุว่าเป็นหัวหน้าระดับ “กอมปี” (กองร้อย)
ที่คุมพื้นที่อ.บาเจาะ และอ.ยี่งอ ในจ.นราธิวาส และอ.สายบุรี จ.ปัตตานี
(บางส่วน)
เหตุการณ์โจมตีฐานทหารในพื้นที่ขัดแย้งในชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นก่อนหน้า
นี้อย่างน้อย 5 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่จำกันได้ดี
คือการบุกปล้นปืนจากค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง)
ในอ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาสเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ขบวนการกวาดปืนไปกว่า
400 กระบอกและทหารถูกยิงเสียชีวิต 4 นาย ซึ่งนับเป็นการเปิดฉากการต่อต้าน
“อาณานิคมสยาม” อย่างเต็มรูปแบบขึ้นอีกครั้ง
หลังจากนั้นอีกเจ็ดปีก็ไม่มีการโจมตีค่ายทหารอีกเลย จนกระทั่งวันที่ 9
มกราคม 2554 ในเหตุการณ์ที่เรียกกันติดหูว่าการโจมตี “ฐานพระองค์ดำ”
ในเหตุการณ์นั้นกลุ่มติดอาวุธได้โจมตีฐานกองร้อยทหารราบในอ.ระแงะ
จ.นราธิวาส ปล้นปืนไปกว่า 50 กระบอกและยิงทหารเสียชีวิตไป 4 คน
ทั้งสองเหตุการณ์นับเป็นความพ่ายแพ้ที่อดสูของฝ่ายทหาร
นับจากนั้นมีความพยายามโจมตีฐานทหารอีกอย่างน้อย 3 ครั้ง
ทั้งหมดเกิดขึ้นในปีที่แล้ว ครั้งแรก คือ
การบุกโจมตีฐานปฏิบัติการหมวดของทหารนาวิกโยธินที่บ้านส้มป่อย ต.กาเยาะมาตี
ในอ.บาเจาะ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ในเหตุการณ์นั้นมีการปะทะเดือดประมาณ 20
นาทีแต่กลุ่มติดอาวุธไม่สามารถเข้าไปภายในฐานได้ เหตุการณ์ต่อมา
เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9
พฤษภาคมที่ฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารราบในพื้นที่บ้านกาโดะ อ.รือเสาะ
จ.นราธิวาส ทหารได้รับข่าวสารจากชาวบ้านก่อน
จึงได้ออกลาดตระเวนและเกิดการปะทะนอกฐานขึ้น ฝ่ายขบวนการเสียชีวิต 2 คน
ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในอ.รือเสาะเช่นกัน เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม
กลุ่มติดอาวุธเปิดฉากด้วยการบุกกราดยิงบ้านคนพุทธข้างฐาน
ก่อนกระหน่ำยิงฐานกองร้อยทหารราบที่บ้านท่าเรือ
ในเหตุการณ์นั้นมีทหารเสียชีวิต 1 นาย ชาวพุทธ 2 คน
เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธที่โดนยิงบาดเจ็บน่าจะเสียชีวิตด้วย 2 – 3
คน
เหตุการณ์ที่บ้านยือลอในครั้งนี้นับเป็นการโจมตีฐานทหารครั้งแรกในปีนี้ ผู้เขียนอยากจะตั้งข้อสังเกต 3 ประการ
ประการแรก ความสำเร็จในทางยุทธวิธีของทหารครั้งนี้อาจจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ การใช้ทหารมืออาชีพในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีการต่อสู้ทั้งทางการรบ และงานมวลชนอย่างแหลมคม
ตามข้อมูลสัมภาษณ์ของผู้บังคับการของทหาร นาวิกโธยินในศูนย์ข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการค้นพบข้อมูลของฐานที่ถูกวางเป็นเป้าหมายในการ โจมตีจากวัตถุที่ยึดมาได้จากกลุ่มติดอาวุธในช่วงสิบวันก่อนหน้า ที่สำคัญคือภาพวาดเล็กๆ ด้วยปากกาสีน้ำเงินเป็นแผนที่ค่ายซึ่งพบที่ตัวของนายสุไฮดี ตะเหหลังถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมที่อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประกอบกับการให้ข่าวจากประชาชนในพื้นที่
การ ที่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าทำให้ทหารเริ่มเตรียมพร้อมและเสริมกำลัง งานการข่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในพื้นที่ขัดแย้งที่ความซับซ้อน ฉะนั้นการปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพจำเป็นจะต้องใช้มืออาชีพที่เกาะติด พื้นที่อย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้เป็นปัญหาของกองทัพมาโดยตลอด ทหารนอกพื้นที่มาประจำการเพียงหนึ่งปีก็กลับไป แม้บางคนบางหน่วยจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่ก็ขาดความต่อเนื่อง ในขณะที่การแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการใช้ทหารพรานมาปฏิบัติหน้าที่แทนทหาร หลัก ก็อาจจะสร้างมากกว่าแก้ปัญหา เนื่องจากคุณภาพของบุคลากรและการฝึกอบรมที่ไม่อาจเทียบกับทหารอาชีพได้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่ควบคุมของทหารพราน ผลลัพธ์อาจไม่ออกมาในลักษณะนี้ก็เป็นได้ นโยบายในการใช้ทหารพรานแทนทหารหลักของกองทัพจึงควรจะมีการทบทวน
ประการแรก ความสำเร็จในทางยุทธวิธีของทหารครั้งนี้อาจจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ การใช้ทหารมืออาชีพในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีการต่อสู้ทั้งทางการรบ และงานมวลชนอย่างแหลมคม
ตามข้อมูลสัมภาษณ์ของผู้บังคับการของทหาร นาวิกโธยินในศูนย์ข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการค้นพบข้อมูลของฐานที่ถูกวางเป็นเป้าหมายในการ โจมตีจากวัตถุที่ยึดมาได้จากกลุ่มติดอาวุธในช่วงสิบวันก่อนหน้า ที่สำคัญคือภาพวาดเล็กๆ ด้วยปากกาสีน้ำเงินเป็นแผนที่ค่ายซึ่งพบที่ตัวของนายสุไฮดี ตะเหหลังถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมที่อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประกอบกับการให้ข่าวจากประชาชนในพื้นที่
การ ที่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าทำให้ทหารเริ่มเตรียมพร้อมและเสริมกำลัง งานการข่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในพื้นที่ขัดแย้งที่ความซับซ้อน ฉะนั้นการปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพจำเป็นจะต้องใช้มืออาชีพที่เกาะติด พื้นที่อย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้เป็นปัญหาของกองทัพมาโดยตลอด ทหารนอกพื้นที่มาประจำการเพียงหนึ่งปีก็กลับไป แม้บางคนบางหน่วยจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่ก็ขาดความต่อเนื่อง ในขณะที่การแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการใช้ทหารพรานมาปฏิบัติหน้าที่แทนทหาร หลัก ก็อาจจะสร้างมากกว่าแก้ปัญหา เนื่องจากคุณภาพของบุคลากรและการฝึกอบรมที่ไม่อาจเทียบกับทหารอาชีพได้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่ควบคุมของทหารพราน ผลลัพธ์อาจไม่ออกมาในลักษณะนี้ก็เป็นได้ นโยบายในการใช้ทหารพรานแทนทหารหลักของกองทัพจึงควรจะมีการทบทวน
(ดูคลิปพิธีฝังศพ )
ช่วงต้นของคลิปนี้ มีคำพูดที่เขียนในภาษามาเลย์แปลได้ว่า “พวกเจ้าอย่าได้กล่าวถึงคนที่ตายในหนทางแห่งพระเจ้าว่าพวกเขาตายแล้ว แท้จริงพวกเขายังมีชีวิต แต่พวกเจ้าไม่อาจรับรู้” ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ แต่ก็เชื่อว่าไม่ได้มีการอาบน้ำศพ ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติสำหรับ “นักต่อสู้ทางศาสนา” (นักญิฮาด) ที่เสียชีวิต (เป็นการตายในหนทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือเรียกว่า “ชะฮีด”) มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ก่อการร้ายในทัศนะของคนๆ หนึ่งอาจเป็นวีรชนสำหรับคนอีกคนหนึ่ง” สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในภาคใต้
ศาสนา อิสลามได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในจักรวาลทัศน์ (cosmology) ของคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้ในยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้พวกเขามีวิธีคิดในการปฏิบัติการ การกำหนดว่าใครเป็นศัตรูและใครเป็นเป้าโจมตีที่ชอบธรรมแตกต่างไปจากขบวนการ ในอดีต แม้จะมีเป้าหมายสุดท้ายไปสู่เอกราชเหมือนกัน ในสายตาของพวกเขา พื้นที่ในชายแดนใต้ที่พวกเขาเรียกว่า “ปาตานี” เป็น “ดารุล ฮารบี” (ดินแดนแห่งสงคราม) เพราะถูกสยามเข้ามายึดครอง ซึ่งเป็นการตีความตามหลักคิดในเทววิทยาของศาสนาอิสลาม (Islamic theology) คนพุทธในพื้นที่นี้จึงเป็น “กาฟิร ฮารบี” (คนนอกศาสนาที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินสงคราม) การสังหารคนพุทธจึงเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมในสภาวะเช่นนี้
ประการที่สาม
การต่อสู้ที่เน้นการทหารซึ่งถูกชี้นำด้วยจักรวาลทัศน์เช่นนี้กำลังทำให้
ขบวนการสูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองในสายตาของคนที่เคยเห็นอกเห็นใจต่อ
ความขมขื่นของคนมลายูมุสลิมที่ถูกผู้นำสยามรุกรานและพยายามที่จะกลืนกินอัต
ลักษณ์ทางชาติพันธุ์มาในอดีต
การที่คนมลายูมุสลิมไม่ได้รับความยุติธรรมหรือถูกข่มเหงรังแก
ไม่อาจสร้างความชอบธรรมต่อการสังหารคนพุทธซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ได้
แม้พวกเขาจะมีคำอธิบายในทางศาสนา (ตามการตีความทัศนะหนึ่งจากหลายๆ ทัศนะ)
แต่สิ่งนั้นกำลังถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อครั้งผู้แทนของ องค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) มาเยือนภาคใต้ของไทยในกลางปีที่แล้ว นาย Sayed Kassem El Masry ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของเลขาธิการโอไอซีได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการทำ ร้ายผู้บริสุทธิ์ โดยอ้างถึงคำกล่าวในอัลกุรอ่านว่า “การฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งคน เสมือนการสังหารมนุษยชาติทั้งโลก” กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนก็เริ่มกล่าวในทำนองว่าการกระทำของขบวนการนั้นอาจเข้า ข่าย “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (crime against humanity) หรือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” (genocide) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ แนวทางที่เป็นอยู่กำลังทำให้ขบวนการสูญเสียความชอบธรรมในทางการเมืองมากขึ้น เรื่อยๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
เมื่อครั้งผู้แทนของ องค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) มาเยือนภาคใต้ของไทยในกลางปีที่แล้ว นาย Sayed Kassem El Masry ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของเลขาธิการโอไอซีได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการทำ ร้ายผู้บริสุทธิ์ โดยอ้างถึงคำกล่าวในอัลกุรอ่านว่า “การฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งคน เสมือนการสังหารมนุษยชาติทั้งโลก” กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนก็เริ่มกล่าวในทำนองว่าการกระทำของขบวนการนั้นอาจเข้า ข่าย “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (crime against humanity) หรือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” (genocide) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ แนวทางที่เป็นอยู่กำลังทำให้ขบวนการสูญเสียความชอบธรรมในทางการเมืองมากขึ้น เรื่อยๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
เราควรจะทำอะไรเพื่อช่วยกันนำสันติภาพมาสู่ชายแดนภาคใต้ ?
มีหลายเรื่องที่รัฐบาลควรจะดำเนินการ ซึ่งไม่อาจจะอธิบายได้หมดในบทความนี้
สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการพูดคุยกับพวกเขา (peace
dialogue)
เพื่อแสวงหาทางออกที่จะอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดียวกันอย่างสันติ
แม้ว่าทหารจะชนะในสนามรบเล็กๆ ในครั้งนี้ แต่การ “จับตาย”
ทั้งหมดทำให้เราสูญเสียโอกาสที่จะได้นำพวกเขามานั่งพูดคุย
ซึ่งย่อมมีประโยชน์ต่อสันติภาพและความมั่นคงของประเทศมากกว่าศพที่ไร้
วิญญาณ
หมายเหตุ รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช เป็นนักวิจัยที่ติดตามสถานการณ์ภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง เธอเป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group บทความนี้แก้ไขปรับปรุงจากฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชนราย วัน ฉบับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 2.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น