เตรียมพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2015 “หนึ่งวิสัยทัศน์
หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” บนก้าวย่างสู่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
สิ่งที่ภาคประชาสังคมต้องเตรียมพร้อมรับมือคืออะไร การเปิดเสรีทางการค้า
การรวมกันเป็นตลาดเดียว การหมุนเวียนสินค้าทางการเกษตร
และอีกหลากหลายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอาเซียนภายใต้กระแสทุนนิยมโลก
นั่นอาจไม่ได้มีเพียงภาพที่สวยงามเสมอไป
เมื่อวันที่ 13 ก.พ.56 ภาควิชารัฐศาสตร์
วิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับ
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
จัดสัมมนารัฐศาสตร์รังสิตวิชาการ 2556 ‘อาเซียนภิวัตน์’ (ASEANIZATION) ณ
มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก โดยมีการแตกประเด็นเสวนาย่อยในเรื่อง
‘ผลกระทบของประชาคมอาเซียนต่อภาคประชาสังคม’
‘อาเซียน’ ในฐานะสายพานการผลิต มองมุมประเทศพัฒนา
กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า
อาเซียนอาจมองได้ในฐานะตลาดที่มีผู้บริโภคถึง 600 ล้านคน
แต่ในสายตากลุ่มประเทศ G8 หรือกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก
เราคือผู้รับจ้างผลิต ยิ่งเมื่อเราเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC
ภาพสายพานการผลิตสินค้าจากประเทศหนึ่งส่งต่อไปยังอีกประเทศหนึ่งก็จะชัดเจน
ขึ้น
ในส่วนของไทยที่ถือได้ว่าเป็นผู้นำการส่งออกสินค้าเกษตรที่ติดอันดับ
โลก ทั้งมันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย ไก่และกุ้ง
อย่างไรก็ตามสินค้าเหล่านี้แม้ผลิตจำนวนมากแต่มูลค่าไม่สูง
เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าเพื่อการลงทุนที่เรานำเข้ามาจำนวนมาก
และสัดส่วนเม็ดเงินที่มีผลต่อ GDP
ของประเทศก็มาจากการส่งออกสินค้าที่รับจ้างผลิตและการบริการ
ซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ฐานทรัพยากรทางชีวภาพที่อยู่ในซีกโลกตะวันออกจะเป็นขุมทรัพย์ในอนาคต
‘เปิดเสรีการลงทุนภาคเกษตร’ เปิดทางขุดขุมทรัพย์สำหรับอนาคต
กิ่งกร กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของโลกนั้นมักเกิดพร้อมๆ
กับวิกฤติพลังงานและวิกฤติอาหาร โดยวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551
นั้นน้ำมันมีราคาพุ่งขึ้นสูงถึงกว่า 40 บาทต่อลิตร
ขณะที่คนประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร
ในครั้งนั้นธนาคารโลกได้ทำนายว่าวิกฤติดังกล่าวจะกลายเป็นวิกฤติอาหารถาวร
เราจะเข้าถึงอาหารได้ยากขึ้นเรื่อย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง
กระบวนการแย่งยึดที่ดินได้เกิดขึ้นอย่างมหาศาล คาดการณ์ว่ามีจำนวนถึงกว่า
300 ล้านไร่ ทั่วโลก
ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากความตระหนักว่าต่อให้มีเงินก็ไม่ได้หมายความว่าจะ
ซื่ออาหารได้ในช่วงภาวะวิกฤติ
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายประเทศต้องปรับตัว ยกตัวอย่าง
สิงคโปร์มีการส่งเสริมการลงทุนทำเกษตรในพื้นที่สมบูรณ์
บางประเทศมีการนำกองทุนบำเหน็จบำนาญไปกว้านซื้อที่ดินและซื้อผลผลิตทางการ
เกษตรล่วงหน้า
ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลไกราคาสินค้าเกษตรผิดเพี้ยน
กิ่งกร กล่าวถึงการเปิดเสรีสินค้าว่า ที่ผ่านมามีการทยอยทำมานานแล้ว
ตั้งแต่ AFTA หรือเขตการค้าเสรีอาเซียน เมื่อปี 2538
มาจนถึงปัจจุบันจึงค่อนข้างเสรีอยู่แล้ว
และตรงนี้ส่งผลทำให้การตัดสินใจของรัฐอยู่ภายใต้ทุน
ไม่ได้เป็นการตัดสินใจโดยอิสระ
แต่ข้อตกลงของอาเซียนมีสิ่งที่น่าจับตาคือ
‘การเปิดเสรีการลงทุนในภาคเกษตร’ ทั้งการผลิต เลี้ยงสัตว์ ประมง เพาะปลูก
ไปจนถึงพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์ และเหมืองแร่
“กิจกรรมทางการเกษตรตรงนี้เป็นขุมทรัพย์การลงทุนในอนาคต
โดยเฉพาะการผลิตพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์ซึ่งเป็นปัจจัยในการผลิต
การเปิดเสรีการลงทุนในภาคเกษตรแสดงถึงการที่ทุนต้องการเคลื่อนย้ายการลงทุน
ในเรื่องนี้อย่างเสรี” กิ่งกรกล่าว
รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวถึงแผนการผลิตในอาเซียนว่า
มีการวางให้ลาวและพม่าเป็นฐานการผลิตทางการเกษตร ส่วนไทย ฟิลิปปินส์
และเวียดนาม เป็นประเทศที่ทำการผลิตขั้นที่ 2
คือทำการแปรรูปและผลิตปัจจัยการผลิต
เพื่อป้อนประชากรในประเทศที่ทำข้อตกลงทางการค้ากับอาเซียน ทั้งอาเซียน+3 +6
และ +10 จำนวนกว่า 3,200 ล้านคน
ทั้งนี้เพราะภูมิภาคนี้ยังมีทรัพยากรชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ เป็น
‘ประเทศหน้าดินใหม่’ ขณะที่แอฟริกาแห้งแล้งเกินไป
ส่วนลาตินอเมริกาทรัพยากรชีวภาพถูกใช้จนพรุนไปหมดแล้ว
การป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ตรงนี้ทำได้โดยใช้ภาษี
แต่ไทยกลับเปิดหมดทุกอย่าง ไม่มีการสงวนสิทธิ์ในสินค้าที่อ่อนไหว
เพราะประเมินว่าเราได้เปรียบทางการค้า
และคิดว่าจะส่งผลดีต่อการไหลเวียนของวัตถุดิบในการผลิต เช่น
ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
แต่ในทางตรงข้าม
จากข้อมูลที่มีกลับพบว่าไทยเก่งเพียงในเชิงปริมาณแต่ไม่มีผลิตภาพ
ยกตัวอย่าง การปลูกข้าว ของไทยนั้นมีผลผลิตต่อไร่ต่ำ โดยอยู่ที่ 440
กิโลกรัมต่อไร่ เป็นอันดับที่ 7 ของอาเซียน
ขณะที่ต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงกว่าเพื่อนบ้านมาก
อย่างไรก็ตามไทยก็ยังมีความได้เปรียบในเรื่องปริมาณพื้นที่ในการผลิต
และรอบการผลิตที่สูงกว่าซึ่งก็ทำให้คุณภาพของข้าวลดลงด้วย
กิ่งกร กล่าวด้วยว่า
กระเทียมเป็นตัวอย่างของผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า
ที่ผลผลิตจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดภายในประเทศ
ทำให้เกิดความหวั่นเกรงต่อพืชผลที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศที่ต้องแข่ง
ขันอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนล้วนแต่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน
ซึ่งก็คงจะต้องแข่งขันจนตายกันไปข้างหนึ่ง
นอกจากนี้ การเปิดเสรีการค้าการลงทุนกับยุโรป (FTA) และอเมริกา (TPP)
ที่กำลังจะมีขึ้น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่อย่าง ซินเจนทา ดูปองท์
และมอนซานโต้ ฯลฯ จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์
โดยบริษัทเหล่านี้จะร่วมกับนักลงทุนในภูมิภาคเข้ามาแย่งยึดเมล็ดพันธุ์ซึ่ง
เป็นหัวใจในการผลิตทางการเกษตรและยังเป็นหัวใจของโลกในอนาคตไป
ตรงนี้จะทำให้เกษตรกรสูญเสียความสามารถในการผลิตและเปิดทางให้บริษัทยักษ์
ใหญ่ของโลกเข้ามาครอบครองทรัพยากรพันธุกรรม
ฝากความหวัง ‘คนรุ่นใหม่’ มองปัญหากว้าง ตื่นตัวเป็นพลเมืองที่มีสิทธิมีเสียง
ในส่วนของข้อเสนอ กิ่งกร กล่าวว่า
ควรมีการปรับโครงสร้างการผลิตภายในให้เข้มแข็ง พัฒนาผลิตภาพการผลิต
ส่งเสริมการชลประทานให้ครอบคลุม และให้มีการปฏิรูปที่ดิน
ตรงนี้จะเป็นทางรอดของเกษตรกร คนกิน และเศรษฐกิจของประเทศด้วย นอกจากนี้
รัฐควรปิดกันนักลงทุนบ้าง
ในขณะเดียวกันก็ควรส่งเสริมวิสาหกิจของเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้สามารถไปสู้
กับทุนได้
กิ่งกร ยังได้ฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่า
อยากให้มองปัญหาให้กว้างไปถึงในบริบทของโลก
ใช้กระบวนการของโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีการสื่อสารให้เป็นประโยชน์
ศึกษาข้อมูลในฐานะพลเมืองของประเทศ ของอาเซียน และของโลก
เมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และการเปิดเสรีทางการค้าก่อผลกระทบจริงๆ และใกล้ตัวเรามากขึ้น
คนรุ่นใหม่จะลุกขึ้นมาทำตัวเองให้เป็นพลเมืองที่มีสิทธิมีเสียง
แสดงความตื่นตัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
“เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ ทำความเข้าใจต่อโลก ภูมิภาค และท้องถิ่นที่ตนเองอยู่” กิ่งกรฝากความหวังต่อคนรุ่นใหม่
หนุนแนวคิดดูแล ‘ลูกของแผ่นดิน’ คุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ
อิฐ บูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวให้ข้อมูลว่า ตัวเลขสินค้าเข้าและสินค้าออก ปี 2555 จากเว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ พบว่าสินค้านำเข้าอันดับ 1-5 ของไทย คือ 1.น้ำมันดิบ 2.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 3.เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 4.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และ 5.เคมีภัณฑ์ ตามลำดับ เหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าเพื่อการลงทุน
ขณะที่สินค้าส่งออกอันดับต้นๆ
ของไทยส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรม
โดยมีน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในอันดับ 4 และยางพาราที่เป็นสินค้าภาคเกษตรอยู่ใน
อันดับ 5
น้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยส่งออกนั้น ผลิตได้จาก 2
ส่วนคือน้ำมันดิบน้ำเข้าและโรงกลั่น 6 แห่งที่มีอยู่ภายในประเทศ
โดยได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษี (BOI) การนำเข้าวัตถุดิบ
แต่ราคาขายสำหรับผู้บริโภคในประเทศกลับไม่ได้ต่ำลง
และมีการตั้งราคาขายตามราคาสิงคโปร์
ส่วนน้ำมันที่ส่งออกไปยังสิงคโปร์กลับไม่บวกค่าขนส่งโดยให้เหตุผลว่าเพื่อ
การแข่งขันทางการตลาด ส่งผลให้น้ำมันสำเร็จรูปในไทยราคาแพง
ทั้งที่เรามีความสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ยกตัวอย่างแนวคิดของมาเลเซีย
ในเรื่องการปกป้องคุ้มครองลูกของแผ่นดิน
โดยรัฐดูแลให้คนในประเทศได้ใช้สินค้าราคาถูกกว่าคนภายนอก
ซึ่งไม่ใช่การอุดหนุนเงินของคนกลุ่มหนึ่งไปให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง
โดยเทียบกับการที่ประเทศไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปให้พม่าเป็นอันดับ 10
แต่คนพม่ากลับได้ใช้น้ำมันถูกกว่าคนไทย
อิฐบูรณ์ กล่าวว่า การรวมตัวเป็น AEC
ที่มีการพูดถึงข้อดีว่าสินค้าจะไหลเวียนเปลี่ยนผ่าน
แต่นั่นจะไม่รวมไปถึงน้ำมันสำเร็จรูป
เพราะรัฐไทยมีการสร้างกำแพงโดยมาตรการพิเศษ
จากการที่เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซียผลิตน้ำมันภายใต้มาตรฐานยู
โรทู
แต่โรงกลั่นในไทยใช้มาตรฐานยูโรโฟร์เพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งสูงก
ว่า ทำให้น้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐานนี้ไม่สามารถเข้ามาขายได้
ตรงนี้คือมาตรการกีดกันทางการค้า ทั้งที่คนทั่วไปต้องการซื้อน้ำมันราคาถูก
“เมื่อเศรษฐกิจมีการแข่งขันสูงขึ้น ประชาชนแทนที่จะได้ประโยชน์
แต่ภาคธุรกิจเห็นเป็นลบกีดกันไม่ให้ประชาชนได้ประโยชน์จากการแข่งขัน”
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ชี้ ‘ทุน’ มีอำนาจเหนือรัฐ ยิ่งมี ‘AEC’ รัฐยิ่งจำกัดกรอบอำนาจ
อิฐบูรณ์ กล่าวต่อมาว่า
ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนมีทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง
และกลไกลตลาดเสรีแบบ AEC รวมทั้งนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐ
สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกออกแบบไว้อยู่แล้วโดยคนกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลของโลก
การรวมตัวของอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าสู่ประชาคมโลก
ซึ่งจะก้าวสู่ลัทธิจักรวรรดินิยมโดยที่ไม่ต้องมีการสู้รบเพื่อยึดครอง
อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องถึงผลดี
แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือมาตรการที่ค่อยเป็นค่อยไป
และปัญหาที่ยังไม่ได้มีการเตรียมการแก้ไข
ในส่วนของประเทศไทย อิฐบูรณ์ กล่าวว่า
กฎหมายเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลอย่างกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้
บริโภคถูกดอง การเข้าสู่ AEC ทำให้มีการปลดล็อคทางเศรษฐกิจ
การส่งออก-นำเข้า แต่กลับไม่ปลดล็อคการมีส่วนร่วม
การมีปากมีเสียงของประชาชน
“ขอย้ำว่าทุนมีอำนาจเหนือรัฐในทุกด้าน
โดยเฉพาในการเข้าถึงการจัดสรรทรัพยากร และ AEC
จะยิ่งทำให้รัฐจำกัดกรอบอำนาจของตัวเองและเปิดให้ทุนต่างชาติเข้าถึง
ทรัพยากร
ส่งผลให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรมและจะเกิดการแย่งชิงทรัพยากร
ขึ้นในทุกพื้นที่” อิฐบูรณ์กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น