แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: แกนนอน “แนวร่วม 29 มกราฯ” กับแกนนำนปช.

ที่มา Thai E-News


รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556

การ เคลื่อนไหวของ “แนวร่วม 29 มกราฯ ปลดปล่อยนักโทษการเมือง” ที่ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมผู้ ต้องขังคดีการเมือง ได้สร้างผลสะเทือนที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงขนาดใหญ่ครั้งแรกที่ไม่ได้นำโดยแกน นำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่ประสานงานโดยคณะแนวร่วมที่ประกอบด้วย “แกนนอน” จากกลุ่มย่อยหลายกลุ่มที่เป็นอิสระจากนปช.

แกนนอนกลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษสามประการคือ หลากหลาย กระจายศูนย์ และเป็นเสรีนิยมที่ก้าวหน้า

กลุ่ม “แกนนอน” เหล่านี้ประกอบด้วยผู้คนที่หลากหลายมากกว่าแกนนำนปช. มีทั้งนักศึกษา ปัญญาชน นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวสหภาพแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนส่วนที่ก้าวหน้า อดีตคนเดือนตุลาฯ ประชาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไปจนถึงแกนนอนจากหัวเมืองต่างจังหวัดอีกจำนวนหนึ่ง กลุ่มคนเหล่านี้เคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระต่อกัน และที่สำคัญคือ เป็นอิสระจาก นปช.และพรรคเพื่อไทย แต่ละกลุ่มมีแนวทางและเป้าหมายเฉพาะตัว เช่น บางกลุ่มเน้นนักโทษการเมือง บางกลุ่มเน้นสิทธิเสรีภาพพลเมือง บางกลุ่มเน้นบทบาทสหภาพแรงงาน บางกลุ่มเน้นลัทธิสวัสดิการนิยม เป็นต้น แต่ทุกกลุ่มก็มีเป้าหมายและยุทธศาสตร์เดียวกันคือ ต่อต้านระบอบจารีตนิยม ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง

การเกิด ขึ้นและพัฒนาของกลุ่มแกนนอนเหล่านี้มีลักษณะ “กระจายศูนย์” คือเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มย่อยกระจัดกระจาย บางกลุ่มมีบทบาทต่อต้านรัฐประหารทันทีหลัง 19 กันยายน 2549 บางกลุ่มเกิดจากการรวมตัวเพื่อต่อต้านพวกอันธพาลเสื้อเหลืองที่เข้ายึด ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2551 บางกลุ่มเกิดจากการรณรงค์ให้ความช่วยเหลือเชิงมนุษยธรรมล้วน ๆ แก่มวลชนผู้ต้องขังคดีการเมือง แล้วภายหลังยกระดับเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่วิจารณ์และท้าท้ายอำนาจ ตุลาการโดยตรง กลุ่ม “แกนนอน” เหล่านี้เริ่มต้นจากประเด็นอันหลากหลายที่มีสาเหตุร่วมกันคือ การกดขี่ของพวกจารีตนิยม ยกระดับจากการเคลื่อนไหวที่กระจัดกระจาย มาเป็นการร่วมมือเฉพาะกิจในประเด็นสำคัญ เวทีของพวกเขาจะเป็นห้องประชุมสัมนา การแถลงข่าว การปราศรัยย่อยนอกสถานที่ในวันสำคัญ และการจัด “เวทีคู่ขนาน” กับเวทีใหญ่เมื่อนปช.มีการชุมนุมใหญ่ทุกครั้ง

การที่พวก เขารวมตัวกันเป็น “แนวร่วม 29 มกราฯ” ในครั้งนี้จึงเป็นการตกผลึกของการเคลื่อนไหวร่วมกันมาอย่างยากลำบากและยาว นานหลายปี ยกระดับจากความร่วมมือเฉพาะกิจแต่ละครั้งขึ้นเป็นองค์กรแนวร่วมที่มีลักษณะ ของ “สภาประชาชน” รวมศูนย์ปรึกษาหารือ ระดมความคิดและการเคลื่อนไหวร่วมกัน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งลักษณะพื้นฐานเดิมที่เป็นการกระจายศูนย์กลุ่มแกนนอนในการ เคลื่อนไหวประเด็นเฉพาะของแต่ละกลุ่ม

ลักษณะ สำคัญที่สุดของกลุ่ม “แกนนอน” เหล่านี้ก็คือ ลักษณะเสรีนิยมที่ก้าวหน้า โดยมีชุดความคิดชี้นำทั้งหมดรับทอดโดยตรงมาจากกลุ่มนักวิชาการ ประกอบด้วยความคิดชี้นำหลักสามชุดคือ ประเมินสถาบันกษัตริย์ (รวมต่อต้านป.อาญา ม.112) วิพากษ์อำนาจตุลาการ และเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับนิติราษฎร์ โดยปัจจุบันได้ตกผลึกเป็นยุทธศาสตร์เฉพาะหน้าคือ ผลักดันการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมด (รวมนักโทษคดี ป.อาญา ม.112)

ในช่วงปี 2552-53 ที่มีการเคลื่อนไหวมวลชนเสื้อแดงขนาดใหญ่ต่อเนื่องหลายระลอก แกนนอนกลุ่มนี้ก็เคลื่อนไหวจัดตั้ง “เวทีคู่ขนาน” ไปกับเวทีนปช. โดยมีลักษณะเด่นคือ การปราศรัยที่เน้นสร้างความเข้าใจทางการเมืองระดับสูงให้กับมวลชน และเนื่องจากไม่มีเพดานกั้นทางการเมืองดังเช่น นปช. พวกเขาจึงสามารถเผยแพร่แนวคิดวิเคราะห์ที่เจาะทะลุเปลือกมายาหลอกลวงของ ระบอบจารีตนิยมอย่างได้ผล สามารถสร้างฐานมวลชนขนาดย่อมของตนเองได้ และก็ได้กลายเป็นการชุมนุมเวทีเล็ก คู่ขนานกับการชุมนุมเวทีใหญ่ของนปช.ทุกครั้งนับแต่นั้นมา

การชุมนุม ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา แม้จำนวนคนจะไม่ล้นหลามเหมือนการชุมนุมของ นปช. แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสามารถระดมมวลชนจำนวนมากถึงหลายพันคนทั้ง จากกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เข้ามาเคลื่อนไหวด้วยยุทธศาสตร์ คำขวัญ และข้อเรียกร้องที่เป็นของตนเอง และเป็นครั้งแรกที่ความคิดชี้นำจากกลุ่มนักวิชาการได้กลายเป็นยุทธศาสตร์การ เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างแท้จริงอีกด้วย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มแกนนอนเหล่านี้พัฒนาเติบโตขึ้นได้ก็คือ “ช่องว่าง” อันเกิดจากแกนนำ นปช.เอง

ความเป็น จริงก็คือ แกนนำนปช.ที่เคยนำทางความคิดในหมู่มวลชนได้มาตั้งแต่ช่วงปี 2551 นั้น นับแต่หลังการชุมนุมใหญ่มีนาคม-พฤษภาคม 2553 ก็ได้ค่อย ๆ สูญเสียการนำทางความคิดนั้นไป เกิดช่องว่างทางความคิดและความรับรู้ระหว่างมวลชนคนเสื้อแดงส่วนใหญ่กับแกน นำนปช. และช่องว่างดังกล่าวยิ่งถ่างกว้างมากขึ้นเมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและ แกนนำนปช.เข้าไปมีตำแหน่งในรัฐบาลและในสภา

ความคิด และความรับรู้ของมวลชนเหล่านี้ได้ยกระดับไปถึงขั้นทะลุเปลือกมายาของการ เมืองไทยไปสู่แก่นแกนของอำนาจรัฐที่แท้จริง เข้าใจถึง “ประเด็นหลัก” ในปัญหาประชาธิปไตยของไทยว่า อยู่ที่ “สถาบันกษัตริย์ อำนาจตุลาการและรัฐธรรมนูญ” แต่แกนนำนปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคนที่พยายามวางตัวเป็น “ผู้นำทางทฤษฎี” กลับมีข้อจำกัดทางความคิด มีความรับรู้และประสบการณ์ที่พ้นสมัย ไม่สามารถเสนอคำตอบและทางออกแก่มวลชนอย่างเป็นรูปธรรมได้ กลุ่มแกนนอนข้างต้นนี้แหละที่เข้ามา “เติมเต็ม” ช่องว่างดังกล่าวด้วยความคิดชี้นำที่เป็นระบบและเป็นรูปธรรมจากคณะนัก วิชาการ
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า แกนนำ นปช.บางคนกลับมีความคิดจิตใจคับแคบ มองกลุ่มแกนนอน “แนวร่วม 29 มกราฯ” เป็นคู่แข่งทางการเมือง ด่าทอพวกเขาอยู่เนือง ๆ ว่า “แย่งชิงมวลชน แย่งชิงการนำ ตกปลาในบ่อเพื่อน ฯลฯ” แม้ภายหลังการชุมนุมวันที่ 29 มกราคม แกนนำบางคนทำรายการทางสื่อวิทยุโทรทัศน์ หรือไปขึ้นเวทีปราศรัย ก็ยังใช้วาจาเสียดสีแดกดัน  กระทั่งกล่าวหาว่า มีท่าทีไม่เหมาะสมต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยของพวกตน

ท่าทีของ นักประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องใจกว้าง เผื่อแผ่ และส่งเสริมสนับสนุนกันอย่างเต็มกำลัง โดยยึดเอาภารกิจประชาธิปไตยโดยรวมเป็นที่ตั้ง เมื่อเห็นกลุ่มแกนนอนอื่น ๆ เติบใหญ่ขึ้น ก็ควรจะเรียนรู้จากพวกเขา เห็นพวกเขาเป็นมิตรที่มาเติมเต็มความคิดและความรับรู้ของมวลชน ผลักดันภารกิจประชาธิปไตยที่ยึดถือร่วมกันให้คืบหน้า อดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างและเสียงวิจารณ์ที่ดำรงอยู่
การใช้สื่อหรือเวทีสาธารณะเสียดสีโจมตีแกนนำ-แกนนอนกลุ่มอื่น ๆ นั้น มีแต่จะทำให้แกนนำนปช.คนนั้น “เสื่อม” ในสายตามวลชน เพราะมวลชนเห็นคนเสื้อแดงทุกคนเป็นดั่งพี่น้อง เห็นแกนนำและแกนนอนทุกคนเป็นดั่งญาติสนิท พวกเขาเกลียดชังเผด็จการจารีตนิยมอย่างที่สุด ถัดจากนั้นคือ พวกเขาเกลียดการทะเลาะเบาะแว้งกันเองอย่างเปิดเผยในหมู่แกนนำและแกนนอน

คนที่ ทึกทักผูกขาดความเป็นเจ้าของมวลชน เห็นมวลชนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว สั่งซ้ายหันขวาหันได้ เห็นกลุ่มอื่นเป็นคู่แข่งที่ต้องกีดกัน ขับไล่ไสส่ง คนเช่นนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตย เป็นแค่นักเคลื่อนไหวที่อ้างประชาธิปไตยไปสร้างอาณาจักรส่วนตัวเพื่อผล ประโยชน์บางอย่างเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น