ที่มา Thai E-News
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556
การ
เคลื่อนไหวของ “แนวร่วม 29 มกราฯ ปลดปล่อยนักโทษการเมือง”
ที่ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมผู้
ต้องขังคดีการเมือง ได้สร้างผลสะเทือนที่สำคัญยิ่ง
เพราะเป็นการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงขนาดใหญ่ครั้งแรกที่ไม่ได้นำโดยแกน
นำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
แต่ประสานงานโดยคณะแนวร่วมที่ประกอบด้วย “แกนนอน”
จากกลุ่มย่อยหลายกลุ่มที่เป็นอิสระจากนปช.
แกนนอนกลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษสามประการคือ หลากหลาย กระจายศูนย์ และเป็นเสรีนิยมที่ก้าวหน้า
กลุ่ม
“แกนนอน” เหล่านี้ประกอบด้วยผู้คนที่หลากหลายมากกว่าแกนนำนปช.
มีทั้งนักศึกษา ปัญญาชน นักวิชาการ
นักเคลื่อนไหวสหภาพแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนส่วนที่ก้าวหน้า
อดีตคนเดือนตุลาฯ ประชาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯและปริมณฑล
ไปจนถึงแกนนอนจากหัวเมืองต่างจังหวัดอีกจำนวนหนึ่ง
กลุ่มคนเหล่านี้เคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระต่อกัน และที่สำคัญคือ
เป็นอิสระจาก นปช.และพรรคเพื่อไทย แต่ละกลุ่มมีแนวทางและเป้าหมายเฉพาะตัว
เช่น บางกลุ่มเน้นนักโทษการเมือง บางกลุ่มเน้นสิทธิเสรีภาพพลเมือง
บางกลุ่มเน้นบทบาทสหภาพแรงงาน บางกลุ่มเน้นลัทธิสวัสดิการนิยม เป็นต้น
แต่ทุกกลุ่มก็มีเป้าหมายและยุทธศาสตร์เดียวกันคือ ต่อต้านระบอบจารีตนิยม
ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง
การเกิด
ขึ้นและพัฒนาของกลุ่มแกนนอนเหล่านี้มีลักษณะ “กระจายศูนย์”
คือเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มย่อยกระจัดกระจาย
บางกลุ่มมีบทบาทต่อต้านรัฐประหารทันทีหลัง 19 กันยายน 2549
บางกลุ่มเกิดจากการรวมตัวเพื่อต่อต้านพวกอันธพาลเสื้อเหลืองที่เข้ายึด
ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2551
บางกลุ่มเกิดจากการรณรงค์ให้ความช่วยเหลือเชิงมนุษยธรรมล้วน ๆ
แก่มวลชนผู้ต้องขังคดีการเมือง
แล้วภายหลังยกระดับเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่วิจารณ์และท้าท้ายอำนาจ
ตุลาการโดยตรง กลุ่ม “แกนนอน”
เหล่านี้เริ่มต้นจากประเด็นอันหลากหลายที่มีสาเหตุร่วมกันคือ
การกดขี่ของพวกจารีตนิยม ยกระดับจากการเคลื่อนไหวที่กระจัดกระจาย
มาเป็นการร่วมมือเฉพาะกิจในประเด็นสำคัญ
เวทีของพวกเขาจะเป็นห้องประชุมสัมนา การแถลงข่าว
การปราศรัยย่อยนอกสถานที่ในวันสำคัญ และการจัด “เวทีคู่ขนาน”
กับเวทีใหญ่เมื่อนปช.มีการชุมนุมใหญ่ทุกครั้ง
การที่พวก
เขารวมตัวกันเป็น “แนวร่วม 29 มกราฯ”
ในครั้งนี้จึงเป็นการตกผลึกของการเคลื่อนไหวร่วมกันมาอย่างยากลำบากและยาว
นานหลายปี
ยกระดับจากความร่วมมือเฉพาะกิจแต่ละครั้งขึ้นเป็นองค์กรแนวร่วมที่มีลักษณะ
ของ “สภาประชาชน” รวมศูนย์ปรึกษาหารือ ระดมความคิดและการเคลื่อนไหวร่วมกัน
แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งลักษณะพื้นฐานเดิมที่เป็นการกระจายศูนย์กลุ่มแกนนอนในการ
เคลื่อนไหวประเด็นเฉพาะของแต่ละกลุ่ม
ลักษณะ
สำคัญที่สุดของกลุ่ม “แกนนอน” เหล่านี้ก็คือ ลักษณะเสรีนิยมที่ก้าวหน้า
โดยมีชุดความคิดชี้นำทั้งหมดรับทอดโดยตรงมาจากกลุ่มนักวิชาการ
ประกอบด้วยความคิดชี้นำหลักสามชุดคือ ประเมินสถาบันกษัตริย์
(รวมต่อต้านป.อาญา ม.112) วิพากษ์อำนาจตุลาการ
และเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับนิติราษฎร์
โดยปัจจุบันได้ตกผลึกเป็นยุทธศาสตร์เฉพาะหน้าคือ
ผลักดันการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมด (รวมนักโทษคดี ป.อาญา ม.112)
ในช่วงปี
2552-53 ที่มีการเคลื่อนไหวมวลชนเสื้อแดงขนาดใหญ่ต่อเนื่องหลายระลอก
แกนนอนกลุ่มนี้ก็เคลื่อนไหวจัดตั้ง “เวทีคู่ขนาน” ไปกับเวทีนปช.
โดยมีลักษณะเด่นคือ
การปราศรัยที่เน้นสร้างความเข้าใจทางการเมืองระดับสูงให้กับมวลชน
และเนื่องจากไม่มีเพดานกั้นทางการเมืองดังเช่น นปช.
พวกเขาจึงสามารถเผยแพร่แนวคิดวิเคราะห์ที่เจาะทะลุเปลือกมายาหลอกลวงของ
ระบอบจารีตนิยมอย่างได้ผล สามารถสร้างฐานมวลชนขนาดย่อมของตนเองได้
และก็ได้กลายเป็นการชุมนุมเวทีเล็ก
คู่ขนานกับการชุมนุมเวทีใหญ่ของนปช.ทุกครั้งนับแต่นั้นมา
การชุมนุม
ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา
แม้จำนวนคนจะไม่ล้นหลามเหมือนการชุมนุมของ นปช.
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสามารถระดมมวลชนจำนวนมากถึงหลายพันคนทั้ง
จากกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เข้ามาเคลื่อนไหวด้วยยุทธศาสตร์ คำขวัญ
และข้อเรียกร้องที่เป็นของตนเอง
และเป็นครั้งแรกที่ความคิดชี้นำจากกลุ่มนักวิชาการได้กลายเป็นยุทธศาสตร์การ
เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างแท้จริงอีกด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มแกนนอนเหล่านี้พัฒนาเติบโตขึ้นได้ก็คือ “ช่องว่าง” อันเกิดจากแกนนำ นปช.เอง
ความเป็น
จริงก็คือ แกนนำนปช.ที่เคยนำทางความคิดในหมู่มวลชนได้มาตั้งแต่ช่วงปี 2551
นั้น นับแต่หลังการชุมนุมใหญ่มีนาคม-พฤษภาคม 2553 ก็ได้ค่อย ๆ
สูญเสียการนำทางความคิดนั้นไป
เกิดช่องว่างทางความคิดและความรับรู้ระหว่างมวลชนคนเสื้อแดงส่วนใหญ่กับแกน
นำนปช.
และช่องว่างดังกล่าวยิ่งถ่างกว้างมากขึ้นเมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและ
แกนนำนปช.เข้าไปมีตำแหน่งในรัฐบาลและในสภา
ความคิด
และความรับรู้ของมวลชนเหล่านี้ได้ยกระดับไปถึงขั้นทะลุเปลือกมายาของการ
เมืองไทยไปสู่แก่นแกนของอำนาจรัฐที่แท้จริง เข้าใจถึง “ประเด็นหลัก”
ในปัญหาประชาธิปไตยของไทยว่า อยู่ที่ “สถาบันกษัตริย์
อำนาจตุลาการและรัฐธรรมนูญ” แต่แกนนำนปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
บางคนที่พยายามวางตัวเป็น “ผู้นำทางทฤษฎี” กลับมีข้อจำกัดทางความคิด
มีความรับรู้และประสบการณ์ที่พ้นสมัย
ไม่สามารถเสนอคำตอบและทางออกแก่มวลชนอย่างเป็นรูปธรรมได้
กลุ่มแกนนอนข้างต้นนี้แหละที่เข้ามา “เติมเต็ม”
ช่องว่างดังกล่าวด้วยความคิดชี้นำที่เป็นระบบและเป็นรูปธรรมจากคณะนัก
วิชาการ
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า แกนนำ นปช.บางคนกลับมีความคิดจิตใจคับแคบ
มองกลุ่มแกนนอน “แนวร่วม 29 มกราฯ” เป็นคู่แข่งทางการเมือง
ด่าทอพวกเขาอยู่เนือง ๆ ว่า “แย่งชิงมวลชน แย่งชิงการนำ ตกปลาในบ่อเพื่อน
ฯลฯ” แม้ภายหลังการชุมนุมวันที่ 29 มกราคม
แกนนำบางคนทำรายการทางสื่อวิทยุโทรทัศน์ หรือไปขึ้นเวทีปราศรัย
ก็ยังใช้วาจาเสียดสีแดกดัน กระทั่งกล่าวหาว่า
มีท่าทีไม่เหมาะสมต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยของพวกตน
ท่าทีของ
นักประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องใจกว้าง เผื่อแผ่
และส่งเสริมสนับสนุนกันอย่างเต็มกำลัง
โดยยึดเอาภารกิจประชาธิปไตยโดยรวมเป็นที่ตั้ง เมื่อเห็นกลุ่มแกนนอนอื่น ๆ
เติบใหญ่ขึ้น ก็ควรจะเรียนรู้จากพวกเขา
เห็นพวกเขาเป็นมิตรที่มาเติมเต็มความคิดและความรับรู้ของมวลชน
ผลักดันภารกิจประชาธิปไตยที่ยึดถือร่วมกันให้คืบหน้า
อดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างและเสียงวิจารณ์ที่ดำรงอยู่
การใช้สื่อหรือเวทีสาธารณะเสียดสีโจมตีแกนนำ-แกนนอนกลุ่มอื่น ๆ นั้น
มีแต่จะทำให้แกนนำนปช.คนนั้น “เสื่อม” ในสายตามวลชน
เพราะมวลชนเห็นคนเสื้อแดงทุกคนเป็นดั่งพี่น้อง
เห็นแกนนำและแกนนอนทุกคนเป็นดั่งญาติสนิท
พวกเขาเกลียดชังเผด็จการจารีตนิยมอย่างที่สุด ถัดจากนั้นคือ
พวกเขาเกลียดการทะเลาะเบาะแว้งกันเองอย่างเปิดเผยในหมู่แกนนำและแกนนอน
คนที่
ทึกทักผูกขาดความเป็นเจ้าของมวลชน เห็นมวลชนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
สั่งซ้ายหันขวาหันได้ เห็นกลุ่มอื่นเป็นคู่แข่งที่ต้องกีดกัน ขับไล่ไสส่ง
คนเช่นนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตย
เป็นแค่นักเคลื่อนไหวที่อ้างประชาธิปไตยไปสร้างอาณาจักรส่วนตัวเพื่อผล
ประโยชน์บางอย่างเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น