:สืบเนื่องจากการตัดสินจำคุก ‘สมยศ’ ๑๑ ปี
"ทว่ากฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปฏิบัติการโดยสร้างตัวอย่างจากผู้ที่โชคร้ายบางคนเพื่อฝังความหวาดกลัวในหัวของคนอื่นๆ ทั้งหลาย โทรเลขวิกิลี้คปี ๒๕๕๒ ชี้ให้เห็นถึงยุทธวิธี 'เชือดไก่ให้ลิงดู' คนที่โชคร้ายกลายเป็นเหยื่อจะพบตัวเองตกอยู่ในภาวะฝันร้ายทางกฏหมายแบบคัฟคาเอสก์ ซึ่งการขอประกันตัวถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเชื่อแน่ได้ว่าจะต้องถูกพิพากษาให้ผิด คนที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่ยอมรับสารภาพเพื่อจะได้ลดหย่อนผ่อนโทษ แต่สมยศแสดงพลังใจอันแน่วแน่ของเขาที่จะไม่ยอมรับเช่นนั้น"
แอนดรูว์
แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ประจำประเทศไทยซึ่งตีพิมพ์เว็บไซท์เกี่ยวกับประเทศไทยชื่อว่า
Zenjournalist ได้เขียนบนหน้าเฟชบุ๊คของเขาเมื่อวันเสาร์ที่
๒ กุมภาพันธ์ ศกนี้ วิพากษ์การนิ่งเฉยของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทย
หรือ FCCT* ที่ไม่ยอมกล่าวถึงกรณีศาลอาญาพิพากษาจำคุกนายสมยศ
พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin ถึง ๑๑
ปี
“ถึงเวลาต้องบอกความจริงเกี่ยวกับสถาบันอันคร่ำครึ ยะโส และเร้นลับ
ซึ่งนับวันจะยิ่งหลงระเริงไปจากความจริง และทำให้ประชาชนในประเทศไทยในศตวรรษที่ ๒๑
ผิดหวังมากขึ้น.....แน่ละผมหมายถึงเอฟซีซีที”
แอนดรูว์เริ่มต้นข้อเขียนบนเฟชบุ๊คอันยาวเหยียดของเขาก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาบอกว่าทำให้สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศซึ่งก่อตั้งมานานถึง
๕๗ ปีแห่งนี้ “จมดิ่งถึงก้นบึ้ง”
ของความ “น่าสลด และดัดจริต”
ในค่ำวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖
ก่อนการเสวนาปัญหากฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ไทย
หรือที่เรียกกันแพร่หลายว่า Lèse majesté law
เมื่อนายเนอร์มอล กอสช์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสโมสรขึ้นไปพูดตัดบทว่าจะไม่มีการพูดถึงกรณีที่เกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้น
อันถือว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพด้านสื่อสารมวลชนในประเทศไทยอย่างรุนแรงที่สุดในชั่วอายุคนทีเดียว
“สมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการคนไทยวัย ๕๑ ปี
ถูกนำตัวมาศาลด้วยโซ่ตรวนเพื่อฟังคำพิพากษาในความผิดเกี่ยวเนื่องกับบทความสองชิ้นที่เขาไม่ได้เป็นคนเขียน
และไม่ได้ระบุถึงพระบรมวงศานุวงศ์โดยตรง เขาต้องถูกคุมขังมาเป็นเวลาเกือบสองปี
และถูกปฏิเสธการประกันตัว ๑๒ ครั้งระหว่างรอการพิจารณาคดี”
แอนดรูว์เล่าพร้อมแสดงความเห็นว่า
คำพิพากษาให้จำคุก
๑๑ ปีนั้นมันรุนแรงอย่างน่าสยดสยอง มีผลกระทบอย่างชนิดผิดผีผิดไข้ต่อเสรีภาพของการแสดงออกในประเทศไทย
และการลงโทษสมยศทำให้ทั่วโลกวิตกกังวล ดังเห็นได้จากประดาแถลงการณ์ต่างๆ ที่มาจาก ข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน, สหภาพยุโรป, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเอเซีย, คณะกรรมการปกป้องนักหนังสือพิมพ์,
ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน, Human Rights Watch, และ นิรโทษกรรมสากล
กรรมการอำนวยการของสโมสรได้รับคำสั่งไม่ให้แสดงความคิดเห็นใดๆ
ต่อคดีสมยศ สโมสรฯ เงียบกริบในเรื่องนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ จนกระทั่งนายเนอร์มอล
นายกสโมสรออกมาให้เหตุผลว่า “เอฟซีซีทีเป็นสโมสร ไม่ใช่สมาคม
ดังนั้นจึงเป็นการไม่เหมาะสมที่จะมีถ้อยแถลงใดๆ
ออกมาจากสโมสรในเรื่องที่ล่อแหลมอย่างนี้ จำเป็นที่สโมสรจะต้องหลีกเลี่ยงการเข้าไปเป็นฝักฝ่าย
เพื่อจะได้รักษาแนวเป็นกลางสำหรับการถกเถียง และปรึกษา
ผู้สื่อข่าวต่างชาติไม่ควรที่จะไปสอนทางการบ้านเมืองของไทยว่าจะบริหารปกครองประเทศอย่างไร
และควรที่จะยึดติดกับการรายงานข่าวมากกว่าพยายามจะโน้มน้าวนโยบาย
พวกเขาควรที่จะรายงาน ไม่ใช่ตัดสิน”
แต่
แอนดรูว์บอกว่านี่เป็นการแสดงออกที่น่าละอายเมื่อนายกสโมสรนักหนังสือพิมพ์
ล้างมือของตนจากความรับผิดชอบในการยืนหยัดเพื่อเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ด้วย
กัน
หลังจากที่เขาถูกยื่นโทษอันไม่ต้องตามสัดส่วนของความผิดโดยกฏหมายที่เสื่อม
ค่า
และน่าขัน ข้ออ้างของเนอร์มอลไม่ยอมยืนขึ้นสู้การกดขี่
และเซ็นเซอร์ทำให้ดูเหมือนเขาจะลืมหลักการของสโมสรที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซ
ต์ว่า “เป้าหมายหลักของเอฟซีซีที
และสมาชิกคือการเสริมสร้าง และปกป้องสิทธิของนักหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย
และทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้”
แอนดรูว์ชี้ว่าการส่งเสริมเสรีภาพของสื่อมวลชนมักจะรวมถึงการต่อต้านโทษจำคุกยาวนานต่อนักเขียน
และบรรณาธิการด้วย การนี้แม้บนเว็บไซต์ของสโมสรฯ ก็ยังมีส่วนตอนพิเศษสำหรับเสรีภาพนักหนังสือพิมพ์ระบุไว้ว่า
“สโมสรมุ่งมั่นในด้านเสรีภาพนักหนังสือพิมพ์ กับเป็นหลักหินแห่งประชาสังคมในดินแดนที่ผุดขึ้นสู่ประชาธิปไตย
และเป็นทางออกสำหรับการแลกเปลี่ยนข่าวสารอย่างเปิดเผย”
การอ้างว่าสโมสรฯ
ไม่ควรออกแถลงเป็นทางการในเรื่องสลักสำคัญต่อความปลอดภัย
และเสรีภาพของนักหนังสือพิมพ์นั้นไม่จริง ในเมื่อสโมสรเคยออกแถลงการณ์ต่อการเสียชีวิตของฮิโร
มูราโมโต้ ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ และฟาบิโอ โปเล็นกี ช่างภาพอิสระ ในปี ๒๕๕๓
“ทำไมสมยศจึงไม่ได้รับความใส่ใจจากสโมสรฯ เป็นเพราะสโมสรไร้น้ำยาเสียจนต้องให้นักข่าวถูกฆ่าตายจึงจะพูดอะไรออกมาได้
หรือว่าแค่เห็นใจต่างชาติด้วยกัน แต่ไม่ยี่หระกับคนไทยกันแน่”
ต่อ
กรณีที่เนอร์มอล
ก้อสช์ และสมาชิกบอร์ดของสโมสรฯ กล่าวถึงคดีสมยศเป็นการส่วนตัวว่า
แม้จะไม่เห็นด้วยกับประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
พวกเขาก็เห็นว่าถ้าสื่อต่างชาติเข้าไปสนับสนุนการปฏิรูปกฏหมายอื้อฉาวนี้จะ
กลายเป็นการย้อนศรไม่สร้างสรรเสียมากกว่า
แล้วทำให้พวกกษัตริย์นิยมสุดโต่งยิ่งกร้าวแกร่งขึ้น
แอนดรูว์แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ที่นักข่าวจะรายงานการเมืองในประเทศไทยอย่างตรงต่อความจริง
และไม่ลำเอียงโดยไม่ถูกข้อหาละเมิดกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เขาอธิบายว่าในใจกลางของความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทยยุคศตวรรษที่
๒๑ นี้ มีการต่อสู้ทางการเมืองสองเรื่องพัลวันพัลเกกันอยู่
เป็นความไม่ลงตัวในสมดุลอำนาจของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ราชการ ผู้ได้รับเลือกตั้ง
และประชาสังคม กับอีกเรื่องหนึ่งคือความไม่ลงรอยกันในเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ที่ว่ารัชกาลที่
๑๐ จะเป็นเช่นไร
แอนดรูว์วิพากษ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศอย่างหนักต่อการที่มิได้รายงานให้ทั่วโลกรับรู้เกี่ยวกับประเทศไทยอย่างครบถ้วนในความเป็นจริง
“ไม่มีประเทศใดในโลกที่คณะผู้สื่อข่าวต่างชาติหลีกเลี่ยง ‘อย่างนบนอบ’ ที่จะรายงานข้อเท็จจริงพื้นฐานทั้งๆ
ที่รู้แก่ใจว่ามันเป็นความจริง ไม่ว่าจีน หรือเกาหลีเหนือซึ่งจำกัดการรายงานข่าว
และเสรีภาพหนังสือพิมพ์อย่างที่สุดแล้ว
ยังเทียบไม่ได้กับความสามารถของอำมาตย์ไทยในการชักนำนักข่าวต่างชาติให้เซ็นเซอร์ตัวเองอย่างว่าง่าย...
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศมีหน้าที่ต้องเป็นคนนำ
และรายงานความจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
และการเมืองร่วมสมัยของประเทศไทยอย่างให้เกียรติ และไม่ลำเอียง”
ทั้งนี้เนื่องจากแอนดรูว์เห็นว่าชนชั้นนำของไทยจะไม่ยินยอมให้มีการปฏิรูปมาตรา ๑๑๒ ในเวลาอันใกล้นี้ได้อย่างแน่นอน โดยตัวตนของกฏหมายเลสมาเจสตี้นี้ก็กำหนดไว้ขัดขวางต่อการกดดันให้เกิดการปฏิรูปด้วยมติมหาชนอยู่แล้ว ทั้งที่ในทางส่วนตัวคนไทยจำนวนมากต้องการให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากแอนดรูว์เห็นว่าชนชั้นนำของไทยจะไม่ยินยอมให้มีการปฏิรูปมาตรา ๑๑๒ ในเวลาอันใกล้นี้ได้อย่างแน่นอน โดยตัวตนของกฏหมายเลสมาเจสตี้นี้ก็กำหนดไว้ขัดขวางต่อการกดดันให้เกิดการปฏิรูปด้วยมติมหาชนอยู่แล้ว ทั้งที่ในทางส่วนตัวคนไทยจำนวนมากต้องการให้เกิดขึ้น
แอนดรูว์ยกตัวอย่างคดีของอดีตนักวิจัยหุ้นคนไทยรายหนึ่ง
เมื่อเดือนธันวาคมนายคธา พัชริยะพงษ์ ถูกตัดสินจำคุก ๖ ปี ลดโทษเหลือ ๔
ปีเพราะยอมรับสารภาพ จากการที่เขียนข้อความสองชิ้นแสดงความเห็นในเว็บบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่าเป็นเรื่องของการ ‘ตกเป็นเหยื่อ’ เพียงเพราะกล่าวความจริงธรรมดาๆ และแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ซึ่งสื่อมวลชนต่างประเทศมีส่วนในการสร้างบรรยากาศแห่งการ ‘ยั้งไม่อยู่’
ของอำนาจกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยนี้ด้วย
โดยที่สโมสรนักข่าวต่างประเทศในไทยมีกำหนดประชุมใหญ่ประจำปีพร้อมทั้งเลือกตั้งคณะกรรมการบอร์ดชุดใหม่ในวันที่
๑๕ กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่สมาชิก
และเป็นผู้ที่ต้องหนีคดีจากระบบยุติธรรมไทย
แอนดรูว์เสนอให้ผู้เข้าประชุมพิจารณาแนวทางสามประการ
หนึ่ง
การเลือกตั้งบอร์ดชุดใหม่ต้องคำนึงถึงหลักการที่ว่ารับไม่ได้ถ้ามีเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ต้องถูกตัดสินจำคุกนานกว่าทศวรรษ
สอง คณะกรรมการชุดใหม่ต้องร่วมกันแสดงต่อทางการไทยว่าจะยืนหยัดปกป้อง
และป้องกันผู้สื่อข่าวที่เสนอรายงานความจริงพื้นฐานในการเมืองไทย และสาม สโมสรควรกำหนดเป็น
‘คำเตือนสุขภาพ’
ไว้สำหรับปะหน้ารายงานข่าวเกี่ยวกับเมืองไทยทุกชิ้น อาทิว่า “รายงานชิ้นนี้จัดทำขึ้นภายใต้ข้อจำกัดของกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เป็นต้น
ต่อมาได้มีการตอบโต้ต่อข้อเขียนของแอนดรูว์จากกรรมการบอร์ดสโมสรนักข่าวต่างชาติในไทยคนหนึ่ง
ซึ่งแอนดรูว์นำลงในหน้าเฟชบุ๊คของเขาเพื่อตอบกลับ
จิม
พอลลาร์ด
เป็นบรรณาธิการผู้ช่วยของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น
และเป็นกรรมการอำนวยการคนหนึ่งของสโมสรนักข่าวต่างชาติ เขาเขียนตอบแอนดรูว์ว่า
“ไม่
มีใครในหมู่พวกเราอยากเห็นคำพิพากษาอย่างนี้มาทำร้ายเสรีภาพในการแสดงออก
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำตัดสินต่อสมยศโดยมาตรฐานตะวันตกแล้วชวนให้น่าโต้
แย้งอย่างยิ่ง
แต่...เป็นที่รู้กันดีว่ารัฐธรรมนูญของไทยไม่ได้มองการวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน
กษัตริย์อย่างเห็นแจ้งเท่าไรนัก
ดังนั้นสิ่งที่เกิดกับสมยศเป็นเรื่องที่คาดหมายได้อย่างเต็มที่
ถึงขั้นที่ทำให้จินตนาการไปได้ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ให้มาสู่จุดที่เป็น
อยู่ก็ได้
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกรณีนี้
คณะกรรมการบอร์ดเอฟซีซีทีมีความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่ายว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องสนองต่อคำพิพากษาศาลทุกเรื่อง
หรือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะพวกเราบางคน
รวมทั้งตัวผม ไม่ได้จัดอันดับสมยศว่าเป็นบุคคลที่มีคุณค่าควรแก่การให้ความเห็นใจมากมาย
จากการที่เขาทำงานบนเศษกระดาษที่เชิดชูทักษิณ ไม่ใช่หนังสือพิมพ์แท้จริง
แต่เป็นนิตยสารการเมือง ที่สำหรับในประเทศไทยแล้วถือว่ามีวาระทางการเมือง
ไม่เพียงแต่เขาน่าจะรู้แก่ใจดีแล้วว่าจะต้องเจอเข้ากับผลสะท้อนทางลบจากศาล
มีบางคนสงสัยเสียด้วยว่าเขาน่าจะได้รับคำมั่นเกื้อหนุนจากเจ้าของนิตยสาร
และพวกแกนนำเสื้อแดง ในกรณีที่เขาถูกจับกุมดำเนินคดี”
จิม
พอลลาร์ด เขียนแสดงความเห็นต่อคดีสมยศ และข้อหามาตรา ๑๑๒ ในประเทศไทยอีกพอสมควร
ซึ่งหาอ่าน (ภาษาอังกฤษ) ได้จากหน้าเฟชบุ๊คของแอนตรูว์เรื่อง การตอบโต้จากเอฟซีซีที
แต่ข้อเขียนของจิมให้เหตุผลต่อการไม่ให้ความสำคัญแก่คดีสมยศไว้อย่างน่าทึ่งว่า
“โดยเหตุที่กรรมการบอร์ดของสโมสรฯ
บางคนเคยเข้าไปติดกับในคำเตือนของตำรวจต่อกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่อื้อฉาวทางการเมืองบางคดี
คนเหล่านั้น (รวมทั้งตัวผม) เดี๋ยวนี้ต้องระวังตัวไม่เข้าไปติดร่างแหในเรื่องอย่างนี้ ถ้าหากไม่แน่ใจจริงๆ
ว่ามีความชอบธรรมเพียงพอที่จะตอบสนอง”
แอนดรูว์เขียนต่อท้ายตอบกลับอีกมากมายเป็นวิวาทะต่อความเห็นส่วนตัว
และความรู้สึกของจิมในคดีสมยศ รวมทั้งประเด็น ‘มาตรฐานตะวันตก’ ที่
ว่าคำพิพากษาควรแก่การโต้แย้ง
ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นมาตรฐานเดียวของเรื่องสิทธิมนุษยชนที่มีอยู่ทั่วทุก
คาบสมุทรของโลก
แอนดรูว์ยังได้ตอบคำสบประมาทร้ายแรงต่อนิตยสารที่สมยศเป็นบรรณาธิการ
แอนดรูว์กล่าวถึงการเชิดชูอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ
ชินวัตร โดยนิตยสาร Voice of the Oppressed/Voice of Taksin ว่าคล้องจองกับความรู้สึกของเสียงส่วนใหญ่ประชาชนไทย
เห็นได้จากชัยชนะเลือกตั้งของพรรคการเมืองค่ายทักษิณครั้งแล้วครั้งเล่าในเดือนธันวาคม
๒๕๕๐ และเดือนกรกฏาคม ๒๕๕๔
ขณะที่จิมเป็นเพียงบรรณาธิการผู้ช่วยในหนังสือพิมพ์ที่ผู้สังเกตุการณ์เรื่องประเทศไทยไม่ให้ความสำคัญกันแล้ว
เพราะ ‘เดอะเนชั่น’ กลายเป็นกระบอกเสียงของฝ่ายกษัตริย์นิยมสุดโต่ง
ดังปรากฏบ่อยๆ ในข้อเขียนของบรรณาธิการบริหาร ทนง ก้านทอง
“จิมเกลียดทักษิณ” แอนดรูว์โต้ในตอนหนึ่ง “ผมเองก็ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขานัก ดังปรากฏใน บทความเมื่อเดือนมิถุนายน
๒๕๕๓ ของผม” “ไม่ว่าความเห็นของผมต่อทักษิณจะเป็นอย่างไร
ผมคิดว่าเป็นสิทธิในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนไทยที่จะกำหนดข้อวินิจฉัยด้วยตนเอง
การที่จิมกล่าวหานิตยสารที่สนับสนุนทักษิณว่า ‘หัวรุนแรง’ แสดงว่าจิมไม่มีความเข้าใจเอาเสียเลยต่อความมุ่งมาตรปรารถนาของผู้ใช้สิทธิออกเสียงชาวไทย”
ต่อการที่จิมอ้างว่าคำตัดสินคดีสมยศเป็นเรื่องคาดหมายกันไว้แล้วอย่างกว้างขวางว่าจะเป็นเช่นนั้น
แอนดรูว์ค้านว่า ‘เหลวไหล’ สมยศติดคุกบนความผิดของบทความสองชิ้นที่เขานอกจากไม่ได้เขียนแล้ว
ยังเป็นบทความที่ไม่ได้ข่มขู่ หรือให้ร้ายต่อเชื้อพระวงศ์แต่อย่างใด
หลักฐานเอาผิดเขาอ่อนมากอย่างเห็นได้ชัด
ทว่ากฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปฏิบัติการโดยสร้างตัวอย่างจากผู้ที่โชคร้ายบางคนเพื่อฝังความหวาดกลัวในหัวของคนอื่นๆ
ทั้งหลาย โทรเลขวิกิลี้คปี
๒๕๕๒ ชี้ให้เห็นถึงยุทธวิธี 'เชือดไก่ให้ลิงดู' คนที่โชคร้ายกลายเป็นเหยื่อจะพบตัวเองตกอยู่ในภาวะฝันร้ายทางกฏหมายแบบคัฟคาเอสก์
ซึ่งการขอประกันตัวถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และเชื่อแน่ได้ว่าจะต้องถูกพิพากษาให้ผิด คนที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่ยอมรับสารภาพเพื่อจะได้ลดหย่อนผ่อนโทษ
แต่สมยศแสดงพลังใจอันแน่วแน่ของเขาที่จะไม่ยอมรับเช่นนั้น
ท้ายที่สุดแอนดรูว์กล่าวถึงความกล้าหาญของนักศึกษาซึ่งแสดงการสนับสนุนสมยศในการแข่งขันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์
ดังที่การไล่ล่าอันน่าเกลียดต่อนักศึกษาหญิงที่ชื่อเล่นว่า ‘ก้านธูป’ เคยประสพ
เมื่อปรากฏว่านักศึกษาที่คัดค้านกฏหมายหมิ่นฯ
จะพบกับการข่มเหงอย่างน่ากลัวภยันตราย ร้ายแรงยิ่งกว่านักข่าวต่างชาติคนใดเคยได้เผชิญ
แต่นักศึกษาเหล่านั้นยังกล้าเสี่ยงไม่ขี้ขลาด ต่างกับที่เอฟซีซีทีเป็น
*หมายเหตุ :Foreign Correspondents’
Club of Thailand ผู้เขียนแปลชื่อต่างไปจากชื่อทางการในภาษาไทยที่ว่า
‘สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย’ เพื่อให้ตรงกับคำในภาษาอังกฤษป้องกันความสับสนในที่นี้
เนื่องจากเนื้อความต่อไปจะมีการกล่าวถึงความแตกต่างของคำ Club กับ Association
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น