ทั้งนี้ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ นี้ ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาในคดีสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการนิตยสารเสียงทักษิณ ซึ่งถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา ๑๑๒ ในที่สุด ศาลพิพากษาให้สมยศมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ๑๐ ปี จากความผิด ๒ กรรม บวกกับโทษเดิมเมื่อปี ๒๕๕๒ คดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่รอลงอาญาไว้อีก ๑ ปี รวมเป็นจำคุก ๑๑ ปี
ในคำอธิบายของคำพิพากษาได้อ้างอิงถึงบทความ ๒ บทความในนิตยสารเสียงทักษิณฉบับเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ๒๕๕๓ ชื่อว่า ‘แผนนองเลือด ยิงข้ามรุ่น’ และ ‘๖ ตุลาแห่งพ.ศ.๒๕๕๓’ ตามลำดับ โดยผู้เขียนใช้นามแฝงว่า ‘จิตร พลจันทร์’ว่า เป็นบทความที่ตีความได้ว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แม้ว่า ตามพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ ไม่ได้กำหนดให้บรรณาธิการต้องรับผิดชอบกับบทความที่ผู้อื่นเขียน แต่ความผิดในกรณีมาตรา ๑๑๒ ไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย ศาลจึงวินิจฉัยว่า แม้ว่าจำเลยจะไม่ได้เขียนบทความก็ถูกลงโทษได้
หลังจากการอ่านคำพิพากษา องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มต่างประเทศหลายกลุ่ม ได้ออกแถลงการณ์ประณามคำตัดสินโดยระบุว่า คำตัดสินวันนี้ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อหลักนิติธรรมของประเทศไทยและ จะทำให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเองในอนาคต และตัวแทนสหภาพยุโรปได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการลงโทษครั้งนี้ โดยระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่ออย่างรุนแรง และกระทบต่อภาพลักษณ์สังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพของประเทศไทย
คุณสมยศถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔ และถูกขังคุกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะศาลไม่ยอมให้ประกันตัว แม้ว่าต่อมา ทนายจะขอประกันตัวถึง ๑๐ ครั้ง แต่ศาลก็ไม่ยอมอนุมัติโดยอ้างเพียงแต่ว่าเป็นคดีที่มีโทษสูง กลัวผู้ต้องหาหลบหนี การสืบพยานคดีของสมยศสิ้นสุดลงเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ แต่ศาลได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษามาจนถึงเดือนมกราคมนี้
เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม หลังจากการตัดสินคดี นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวถึงกรณีที่แถลงการณ์ของสหภาพยุโรปต่อกรณีคำพิพากษานายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ว่า การพิจารณาคดีของศาลอาญา มีหลักการพิจารณาเป็นสากลเหมือนกับศาลยุติธรรมอื่นทั่วโลก คือพิจารณาตามกฎหมายที่บัญญัติเอาไว้ การละเมิดกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ก็เป็นความผิดตามกฎหมายของประเทศไทย การที่นายสมยศนำบทความดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งแม้จะเป็นบทความของคนอื่นมาลง ก็เข้าข่ายเป็นความผิด เพราะบทความที่เผยแพร่ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ แต่เป็นข้อความที่มีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยาม ทำให้สถาบันได้รับความเสียหาย
ก่อนอื่นคงจะต้องขอเห็นแย้งกับคุณทวี ประจวบลาภ เพราะการตัดสินของศาลไทยกรณีของคุณสมยศครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแบบมาตรฐานสากล จะขอเริ่มอธิบายตั้งแต่การตัดสินเรื่องคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง ก็ไม่ถูกต้อง เพราะ พล.อ.สพรั่งขณะนั้นเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นนายทหารที่ร่วมก่อการรัฐประหาร และยังมีบทบาทเป็นผู้นำระดับสูงในกองทัพ การวิจารณ์บทบาทในทางสาธารณะย่อมเป็นสิ่งทำได้ การตัดสินลงโทษถึงขั้นติดคุกในคดีหมิ่นประมาทลักษณะนี้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาตรฐานสากลอยู่แล้ว
ต่อมา การตัดสินให้คนติดคุกถึง ๑๐ ปี โดยบทความที่เขาไม่ได้เขียน จะอธิบายด้วยมาตรฐานอะไร ในต่างประเทศ การเขียนบทความใดก็ตาม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเขาก็เขียนบทความมาตอบโต้ ให้ประชาชนพิจารณา ไม่มีใครเขาเอาคนเขียนบทความที่ตนไม่เห็นด้วยไปติดคุกเช่นในประเทศไทย แต่ปัญหาที่ยิ่งกว่านั้นคือ คนติดคุกไม่ได้เขียน และตามกฎหมายการพิมพ์ บรรณาธิการก็ไม่ต้องรับผิดชอบ การที่ศาลอธิบายว่า แม้จะไม่ผิดกฎหมายการพิมพ์แต่ยังผิดตามาตรา ๑๑๒ นั้น ศาลได้ทำการเขียนกฎหมายขึ้นเอง เพราะถ้าหากกฎหมายมาตรา ๑๑๒ เป็นข้อยกเว้น ตามหลักการทางด้านนิติศาสตร์ เขาต้องระบุข้อยกเว้นไว้ในกฎหมายการพิมพ์ด้วย เมื่อไม่มีระบุข้อยกเว้นเช่นนี้ โดยทั่วไปต้องยกประโยชน์ให้จำเลย
ปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องคือ บทความที่ศาลอ้างทั้ง ๒ บท ไม่ได้เข้าข่ายการหมิ่นตามมาตรา ๑๑๒ เพราะตามกฎหมายมาตรานี้ ได้ระบุการคุ้มครอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการ แต่บทความทั้งสองที่อ้าง ล้วนเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ และไม่มีข้อความหมิ่นบุคคลคนใดตามมาตรา ๑๑๒ เลย ไม่ได้เอ่ยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันเลยเสียด้วยซ้ำ เช่น ในส่วนที่ศาลตัดสินจากข้อความจากบทความที่อ้างถึง”โคตรตระกูล”ว่า “พอได้ดีก็โค่นนายตัวเอง จับนายไปจองจำ ชัดว่าสติไม่ดี ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ แล้วก็จับลงถุงแดง ฆ่าทิ้งอย่างทารุณ” อธิบายไม่ได้เลยว่าเป็นความผิดตามกฎหมายนี้ แม้จะอ้างตามนัยคำตัดสินของศาล คือ ตีความว่า เป็นเรื่องสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่กรณีนี้ก็มีปัญหาในการตีความ เพราะจิตร พลจันทร์ อธิบายว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น”ตั้งสองร้อยกว่าปีมาแล้ว” บทความนี้ เขียนเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๓ สองร้อยปี คือ ปี พ.ศ.๒๓๕๓ ล่วงพ้นจากสมัยรัชกาลที่ ๑ มาแล้วเป็นต้นรัชกาลที่ ๒ จึงอาจจะตีความได้ด้วยซ้ำว่า ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้ากรุงธนบุรี ยิ่งกว่านั้น ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีถูกประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะ ผู้ที่ถูก”จับลงถุงแดง”จึงไม่น่าจะหมายถึงพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่กระนั้น สมมตว่า เรื่องนี้กล่าวถึงเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีจริง มาตรา ๑๑๒ ก็ไม่ได้มีบทบัญญัติคุ้มครองไปถึงพระมหากษัตริย์ในอดีตแต่อย่างใด การอ้างเอาความผิดแก่คุณสมยศจึงไม่น่าจะเป็นไปได้
กรณีต่อมา การกล่าวถึงหลวงนฤบาลแห่งโรงแรมผี ที่ออกกฎหมายตั้งทรัพย์สินส่วนตัว พ.ศ.๒๔๙๑ หนุนอำนาจเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โค่นรัฐบาลถนอม-ประภาส และอยู่เบื้องหลังการสังหารฝ่ายซ้าย การมีส่วนในการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้น ก็ไม่สามารถตีความตามที่คำพิพากษาของศาลได้เลยว่า หมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างน้อยที่สุด การเอ่ยถึงการออกกฎหมาย พ.ศ.๒๔๙๑ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังอยู่ต่างประเทศ ดังนั้น เรื่องหลวงนฤบาลจึงเป็นการตีความโดยความไม่รู้ข้อมูลประวัติศาสตร์ของศาลเอง อาจจะพิจารณาได้ด้วยซ้ำว่า คำพิพากษาของศาลที่ตีความเช่นนี้ เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่กรณีจะเห็นได้ชัดว่าเป็นการมุ่งตีความเพื่อหาเรื่องเอาผิดแก่คุณสมยศให้ จงได้
สรุปแล้ว การดำเนินการของศาล เช่น การห้ามประกันตัว และการตัดสินคดีในลักษณะตีความเอาเองเช่นนี้ มีแต่จะสร้างความเสื่อมเสียในเชิงภาพลักษณ์ของศาลเอง และยังเป็นการชี้ให้เห็นด้วยว่า กฎหมายมาตรา ๑๑๒ นั้น ขัดกับหลักนิติธรรมและหลักความยุติธรรม ทั้งยังเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน ทำให้ประชาชนไม่ได้รับเสรีภาพอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเสรีภาพในด้านความคิด ที่มุ่งจะบังคับให้คนคิดและเชื่อในแบบเดียวกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย
เผยแพร่ครั้งแรกที่ โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ ๓๙๗ วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น