เดือนมิถุนายนปีนี้
เป็นเดือนแห่งเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองประชาธิปไตยของคณะราษฎรอย่างชัดเจน
ดังจะเห็นได้จากแนวโน้มการจัดกิจกรรมของประชาชนฝ่ายคนเสื้อแดงหลายกลุ่ม
เพื่อเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนายน แต่กลุ่มคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี
หน้ากากขาว เขาไม่จัด เพราะเขายึดหลักการที่ตรงข้ามกับฝ่ายคณะราษฎร
แต่กระนั้น ในกลุ่มคนเสื้อแดง ยังไม่ค่อยเป็นที่ทราบกันว่า ปี
พ.ศ.2476 ก็มีความสำคัญไม่น้อยในกระบวนการทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย
เพราะเป็นปีแห่งการต่อต้านการรุกกลับของฝ่ายอนุรักษ์นิยมเจ้าและทำให้ระบอบ
รัฐธรรมนูญของคณะราษฎรยังคงอยู่ตอไปอีก 14 ปี
จุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ปฏิวัติ พ.ศ.2475 ที่นำโดยคณะราษฎร
ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม
แล้วเริ่มสถาปนาระบอบรัฐธรรมนูญที่ยอมรับอำนาจสูงสุดของราษฎร
และจะเป็นครั้งแรกที่ดำเนินการให้ราษฎรจะได้ใช้สิทธิทางการเมืองโดยผ่านการ
เลือกตั้ง ในครั้งนั้น คณะราษฎรได้เชิญให้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน
หุตะสิงห์) มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรก
บริหารประเทศด้วยระบบคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกเช่นกัน สำหรับ
พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร เป็นรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบก
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช ผู้ก่อการคณะราษฎรคนสำคัญ
เป็นรัฐมนตรีและรองผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ
ในครั้งนั้น การปฏิวัติของคณะราษฎร
ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ซึ่งก็คือ คณะเจ้า
หรือฝ่ายอนุรักษ์นิยมเจ้า โดยกลุ่มนี้ไม่ยอมรับในหลักการประชาธิปไตย
แต่กลับเห็นว่า
ระบอบเก่าที่อำนาจอยู่ในมือของเจ้านายและขุนนางจำนวนน้อยนั้นเป็นสิ่งที่ถูก
ต้อง เพราะชนชั้นสูงเหล่านี้มีความรู้ความสามารถ
ขณะที่ราษฎรส่วนมากนั้นโง่เขลา ไม่มีความรู้
ระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิกับราษฎรย่อมไม่ถูกต้อง นอกจากนี้
ยังมีความเห็นว่า ถ้าสยามจะมีรัฐธรรมนูญ
ควรมาจากการพระราชทานเองของพระเจ้าอยู่หัว
ราษฎรไม่มีสิทธิที่จะไปยึดและจำกัดอำนาจของพระมหากษัคริย์
การกระทำของคณะราษฎรจึงถือว่าเป็นกบฏ
จึงควรที่จะถวายพระราชอำนาจคืนให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจวินิจฉัยทางการเมือง
กลุ่มอนุรักษ์นิยมเจ้า จึงได้คอยเวลาและหาจังหวะที่จะล้มอำนาจของคณะราษฎร
สิ่งที่คณะราษฎรส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักในขณะนั้น คือ
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
ที่รับเชิญมาเป็นนายกรัฐมนตรีความจริงแล้วเป็นผู้ที่มีความคิดโน้มไปทาง
ระบอบเก่า และเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมเจ้า
พระยามโนปกรณ์ฯจึงหาจังหวะจากความขัดแย้งภายในของคณะราษฎร ซึ่งในขณะนั้น
เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา และฝ่ายของ
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช ปรากฏว่า พระยามโนปกรณ์ประสบความสำเร็จในการชักชวน
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช มาสนับสนุน
ดังนั้น เมื่อถึงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2476 ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา จึงได้ออกพระราชกฤษฎีการปิดสภา
และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
ซึ่งถือเป็นการรัฐประการครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย
เพราะการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่ไม่มีการระบุว่ามาตราไหนบ้าง
เท่ากับเป็นการงดใช้ทั้งฉบับ และการปิดไม่มีการประชุมสภาราษฎร คือ
การเปิดโอกาสให้คณะรัฐมนตรีออกกฎหมายมาบังคับใช้ได้ด้วยตนเอง
ไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งต่อมา
รัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯได้ออกกฎหมายลักษณะนี้มาหลายฉบับ นอกจากนั้น
ยังมีการดำเนินการเนรเทศหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
ผู้นำคนสำคัญของคณะราษฎร ให้เดินทางไปต่างประเทศ
แล้วออกกฎหมายคอมมิวนิสต์ฉบับแรกในประวัติศาสตร์
เพื่อเป็นเครื่องมือในการเล่นงานหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
การรัฐประหารของพระยามโนปกรณ์ฯจึงเป็นขั้นตอนสำคัญแรกสุดในการทำลายระบอบรัฐ
ธรรมนูญ
สถานการณ์เช่นนี้ สร้างความกดดันอย่างมากแก่คณะราษฎรส่วนใหญ่ ต่อมา
มีข่าวลือว่า รัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯมีเป้าหมายที่จะปราบปรามคณะราษฎรด้วย
ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ฝ่ายคณะราษฎรส่วนใหญ่ที่นำโดย
พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา
ได้เคลื่อนกำลังทหารเข้ายึดอำนาจเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตย
โดยมีผู้นำคณะราษฎรที่สนับสนุนคือ พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ)
ฝ่ายทหารบก น.ท.หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) ฝ่ายทหารเรือ และ
หลวงนฤเบศมานิตย์ (สงวน จูฑะเตมีย์) ฝ่ายพลเรือน
รัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาจึงสิ้นสุดลง
พระยามโนปกรณ์นิติธาดาต้องไปลี้ภัยการเมืองที่ปีนังตลอดชีวิต สำหรับฝ่ายของ
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช ก็ถูกลดบทบาทลงเช่นเดียวกัน
เมื่อฝ่ายของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจแล้ว
ก็ได้รื้อฟื้นการใช้รัฐธรรมนูญ ให้เปิดประชุมสภาราษฎรเช่นเดิม
และเตรียมดำเนินการให้มีการเลือกตั้งครั้งแรกโดยเร็ว จากนั้น พ.อ.พระยาพหลฯ
ก็ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง
และได้เรียกตัวหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับมาจากต่างประเทศ การยึดอำนาจ 20
มิถุนายน จึงถือเป็นการฟื้นคืนอำนาจของคณะราษฎรอย่างแท้จริง
แต่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2476
ทหารฝ่ายอนุรักษ์นิยมเจ้าได้รวมตัวกันที่เมืองนครราชสีมา
ตั้งเป็น”คณะกู้บ้านกู้เมือง” โดยมี พล.อ.พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นผู้นำ
พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) เป็นแม่ทัพหน้า
แล้วยกกำลังมาล้อมพระนคร ยื่นคำขาดให้ฝ่ายคณะราษฎรยอมจำนน
แต่ฝ่ายคณะราษฎรตัดสินใจที่จะต่อสู้ จึงแต่งตั้งให้ พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม
เป็นแม่ทัพ และสามารถเอาชนะฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองได้
พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม เสียชีวิตในการรบที่หินลับ พล.อ.พระองค์เจ้าบวรเดช
เสด็จหนีไปลี้ภัยที่อินโดจีนฝรั่งเศส
กรณีนี้จึงเรียกกันในประวัติศาสตร์ว่า “กบฏบวรเดช”
สรุปแล้วจะเห็นได้ว่า ปี พ.ศ.2476
เป็นปีแห่งการต่อสู้ขั้นดุเดือดรุนแรง
ระหว่างฝ่ายคณะราษฎรที่รักษาระบอบประชาธิปไตยกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมเจ้าที่
มุ่งฟื้นระบอบเก่า
ชัยชนะของฝ่ายคณะราษฎรโดยการรื้อฟื้นระบอบรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20
มิถุนายน พ.ศ.2476
ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างรากฐานของประชาธิปไตยต่อมาจนถึงปัจจุบัน
และในวันนี้ เราก็มารำลึกถึงการครบรอบ 80 ปี ของการฟื้นฟูประชาธิปไตยในครั้งนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น