โดยจำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ด้วยการจุดไฟเผากองยางรถยนต์
ยางรถจักรยานยนต์ ใช้กำลังผลักดันเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ
และบุกรุกเข้าไปในอาคารที่ทำการสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 1 ขอนแก่น
ตระเตรียมเพื่อวางเพลิงอาคารและทรัพย์สิน มูลค่า 222,552,600 บาท
ซึ่งต่อมามีคนร้ายวางเพลิงสถานที่ดังกล่าวจนได้รับความเสียหาย
ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 91, 215, 217, 218, 219,
362, 364, 365 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 5,
9, 11, 18 ขอให้ริบของกลาง แต่จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ และจำเลยแล้ว มีข้อวินิจฉัยประการแรกว่า
จำเลยร่วมกันมั่วสุม กระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
กระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
บุกรุกเข้าไปในที่ทำการสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 1 ขอนแก่น
และมีเหตุการณ์ตามฟ้องหรือไม่
ซึ่งศาลเห็นว่าพยานโจทก์เบิกความยืนยันอย่างสอดคล้องต้องกัน
ประกอบกับมีพยานหลักฐานอื่น เช่น ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว
ส่วนจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างในข้อนี้ จึงฟังได้ว่าจำเลยมีความผิด
ส่วนข้อวินิจฉัยประการที่สองที่จำเลยร่วมกันตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผา
อาคารสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 1 ขอนแก่น ตามฟ้องหรือไม่
ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ไม่เบิกความยืนยันว่ารู้เห็นถึงการกระทำของจำเลย
และมีเหตุสงสัยตามสมควรที่จำเลยกระทำความผิดในข้อหานี้หรือไม่
จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษาให้จำเลยมีความผิดตามข้อวินิจฉัยประการแรก
โดยข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
โดยใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม
พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ซึ่งเป็นบทความผิดที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
ลงโทษจำคุก 2 ปี ข้อหาร่วมกันบุกรุกลงโทษจำคุก 1 ปี รวมความผิดสองกระทง
ลงโทษจำคุก 3 ปี
กรณีมีเหตุบรรเทาโทษจากคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน
และคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้หนึ่งในสาม
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 2 ปี
พิเคราะห์พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองใน
ภาวะที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายแตกแยก
และเพื่อมิให้บุคคลอื่นถือเป็นเยี่ยงอย่าง จึงไม่รอการลงโทษ
นายประยง แก้วฝ่ายนอก
ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภาคอีสาน
กล่าวว่า คดีนี้คงจะไม่ยื่นอุธรณ์ หากยื่นอุธรณ์ต้องต่อสู้ทางคดีอีกนาน
คงให้ผู้ต้องหาต้องโทษในเรือนจำต่อ
เพราะที่ผ่านมานายอุดมถูกจำคุกในคดีนี้มาแล้วประมาณ 1 ปี 2 เดือน
หากจำคุกต่ออีกไม่ถึงปีก็น่าจะทำเรื่องลาพักโทษได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น